จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ Thai Startup Cafe โดย พงศ์พีระ ชวาลาธวัช www.facebook.com/thaistartupcafe

มีคนถามคำถามยาก ๆ กับผมมาครับ ว่าถ้าเขามีความสามารถทำงานให้กับ Startup แต่เขาไม่ได้อยากรับความเสี่ยงในการทำ Startup เอง เพราะเขารู้ว่ามันเสี่ยงเกินไป และเขาคิดว่าหากจะทำงานกับ Startup แบบ Full Time นั้น เขาควรจะระวังอะไรบ้าง? หรือต้องรู้อะไรก่อนที่จะไปทำบ้าง

เมื่อมีคำถามผมมาเช่นนี้ ผมอาจจะมีคำตอบที่ "ไม่ได้ดีที่สุด" แต่ผมอาจพอจะแนะนำ บางสิ่งบางอย่าง ให้ได้บ้าง ซึ่งคำแนะนำนี้ผมเคยให้กับเพื่อนผมคนหนึ่งไป แล้วมันทำให้ผมเองนึกไม่ถึงเลยว่าสิ่งที่ผมแนะนำไปนั้น จะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เพื่อนผมมีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างทุกวันนี้


เอกลักษณ์ วิริยะโกวิทยา

เพื่อนผมคนนั้นชื่อ "เอกลักษณ์ วิริยะโกวิทยา" หรือ คุณหลุยส์ COO (Chief Operating Officer) แห่ง Wongnai.com ครับ

ก่อนหน้านี้ "หลุยส์ COO" เริ่มจากงาน Software Engineer และ Analyst Programmer ให้กับบริษัทข้ามชาติบริษัทหนึ่งมาประมาณ 7 ปี จุดหันเหที่ทำให้หลุยส์เริ่มเข้ามาทำงานกับ "วงในดอทคอม" เริ่มมาจากสองอย่างมาบรรจบกัน ในจังหวะที่เกือบ ๆ จะพอดี

ตอนนั้นเป็นช่วงที่หลุยส์เริ่มอยากหาอะไรใหม่ๆ ทำ เพราะรู้สึกว่างานที่ทำอยู่นั้นไม่น่าจะใช่สิ่งที่เขาอยากทำจริงๆ ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า (ซึ่งตอนนั้นเขาก็ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไรกันแน่) และแล้วเพื่อนที่เป็นทีมก่อตั้ง "วงในดอทคอม" ได้มาเล่าให้หลุยส์ฟังว่ากำลังเริ่มทำ "วงในดอทคอม" พร้อมทั้งชวนให้เขาไปลองทำงานด้วยกันดู หลุยส์รู้สึกสนใจทีมงานมาก แต่มีข้อจำกัดคือไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจหรือการตลาดอะไรเลย

แต่ด้วยความสนใจในทีมงานซึ่งเป็นเพื่อนเรียนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ มาด้วยกัน ก็พอจะรู้ฝีมือกันอยู่บ้างว่าแต่ละคนเป็นอย่างไร เก่งแค่ไหน และที่สำคัญมีส่วนผสมของทีมที่ดี เป็นกลุ่มที่คุยกันรู้เรื่อง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าทีมนี้น่าจะทำอะไรดี ๆ ร่วมกันได้ และถ้าได้ทำงานด้วยกันก็น่าจะสนุกพร้อมทั้งได้เรียนรู้อะไรอีกมากมายหลายอย่าง ดังนั้น หลุยส์จึงตัดสินใจเข้าร่วมงานกับทีมวงในดอทคอม

ผมว่าจุดที่น่าสนใจที่สุดในชีวิตของแต่ละคน ก็คือจุดเปลี่ยนของชีวิตตรงนี้แหละครับ เรียกว่าถ้าตัดสินใจผิดพลาด เล่นเอาชีวิตเปลี่ยนไปเลยทีเดียว

ในกรณีของหลุยส์นั้น เขาตัดสินใจได้ถูกต้องและได้วางกลยุทธ์ขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงตัวเองจากพนักงานองค์กร มาทำงานกับ Startup โดยมีข้อพิจารณาหลัก 3 ประการ คือ หนึ่ง-การรับความเสี่ยงทางการเงิน คือจะต้องรู้ว่ารายได้ใหม่นี้จะเพียงพอหรือไม่? หาก Startup ที่ทำไปล้มเหลวทำให้เราตกงานจะเป็นอย่างไร?

สำหรับหลุยส์เขามีเงินเก็บสะสมไว้นิดหน่อยจากการทำงานกับบริษัทที่ผ่านมา เมื่อนั่งคำนวณดูแล้วคิดว่าหากเลวร้ายที่สุดเกิดพลาดต้องหางานใหม่ เงินที่เขาสะสมจำนวนนี้ก็น่าจะทำให้ใช้ชีวิตไปได้อีก 1 ปีแบบประหยัด ๆ ดังนั้น เขาจึงคิดว่า "พร้อมที่จะลุย" และแน่นอนว่าการใช้จ่ายหลังจากนี้เขาต้องรัดกุมขึ้นอีกมากถึงมากที่สุด

สอง-การบริหารความสัมพันธ์กับคนใกล้ตัว แน่นอนว่าเมื่อเขากระโดดลงมาทำ Startup การดำเนินชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไปมาก เพราะการทำงานกับ Startup ต้องการเวลาอย่างมาก-มากกว่าการทำงานเป็นพนักงานบริษัท และหลาย ๆ ครั้ง เวลาทำงานก็ไม่แน่นอน ดังนั้น จะทำอย่างไรให้คนรอบข้างหรือคนใกล้ตัวเข้าใจ ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก

ในเหตุผลข้อนี้ สิ่งที่หลุยส์ทำคืออันดับแรกแสดงให้คนเห็นว่าเราดูแลตัวเองได้ก่อน เพื่อให้คนใกล้ตัวหรือคนรอบข้างไม่ต้องห่วงเรามากมาย และพยายามสื่อสารกับคนเหล่านั้นด้วยการเล่าถึงความคืบหน้าของงานที่ทำเป็นระยะ ในหลาย ๆ แบบ เช่น เปิดแอปให้ลองเล่นดูว่ามีคนใช้เยอะแล้วนะ หรือเล่าถึงงานที่ทำอยู่ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้ว

สาม-การพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว เพื่อตอบรับกับความรับผิดชอบใหม่ ๆ ส่วนนี้เริ่มต้นจากการปรับ Mindset ว่าจะมีอะไรที่เราไม่เคยทำมาก่อนอีกมาก และเราต้องทำมันให้ได้ ซึ่งมักจะมีคำถามต่อมา คือ ถ้าเช่นนั้นจะทำอย่างไร?

อย่างหนึ่งที่ผมจะแนะนำเสมอ คือพยายามสำรวจตรวจสอบตัวเองก่อนว่าเรามีจุดอ่อนด้านไหน ตัวอย่างเช่นกรณีของหลุยส์ในตอนนั้น เขารู้ทันทีว่าเขาอ่อนด้านการตลาด และนั่นคือสิ่งที่เขาต้องเรียนรู้อย่างเร่งด่วน เขาจึงเลือกหาอ่านจากอินเทอร์เน็ต ซื้อหนังสือมาอ่านบ้าง หรือหาคนช่วยแนะนำ ส่วนสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ในระยะยาว เช่น ความรู้ด้านธุรกิจ เขาเลือกที่จะเรียนต่อปริญญาโทเพื่อให้เห็นภาพได้ชัดและกว้างขึ้น โดยเน้นในด้านที่ตนเองสนใจ คือการตลาด หลุยส์ตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโทที่ MIM มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

หลังจากนั้นชีวิต Startup ของหลุยส์ก็เริ่มขึ้น กระทั่งทำเป็น Part Time มาได้เกือบสองปี ก็มาถึงวันหนึ่งที่เขาอยากทำงานจริงจังมากขึ้น ไม่ใช่เพียงพาร์ตไทม์อีกต่อไป จึงคิดทบทวนและได้ปรึกษากับทีมงาน การพูดคุยหารือครั้งนี้ทำให้เขารู้ว่ายังมีงานใหม่ ๆ ที่อยากทำอยู่อีกมาก แต่ข้อสำคัญคืองานใหม่ ๆ ที่เขาอยากทำนี้ต้องการเวลาที่จะอยู่กับมันอย่างมาก ซึ่งเป็นแค่พาร์ตไทม์ เวลาไม่พอ ในที่สุดเขาจึงตัดสินใจลาออกจากงานที่ทำอยู่ เพื่อมาทำ Full Time กับวงในเต็มตัว

หลุยส์เคยเล่าให้ผมฟังเพิ่มเติมถึงความแตกต่างระหว่างการทำงานองค์กร กับ Startup เขาว่าอย่างนี้ครับ

สิ่งแรกเลยคือ ความเร็ว ความคล่องตัว และความยืดหยุ่นในการทำงานตรงนี้ผมคิดว่ามีความแตกต่างสำหรับองค์กรใหญ่หรือกลาง และ Startup

การทำงานกับ Startup จะเน้นการส่งมอบงานด้วยความรวดเร็ว และอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงที่บ่อยกว่าองค์กรขนาดใหญ่หรือกลางในเชิงภาพรวม ดังนั้น คนที่จะทำงานใน Startup ต้องมีความเร็วในการทำงานที่สูง และมีความยืดหยุ่นมากกว่า เพื่อตอบโจทย์ลักษณะการทำงานกับ Startup นี่คือสิ่งที่ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจครับ

ระหว่างคุยกันนั้น หลุยส์ขอประชาสัมพันธ์ด้วยว่า ปีนี้เป็นปีที่วงในดอตคอม ขยายออกไปทำอะไรใหม่ ๆ หลายอย่าง โดยเขาเล่าเป็น 2 เรื่องหลัก ๆ คือ

1.การขยายสาขาใหม่ ซึ่งปีนี้ (2560) จะมีครบ 8 สาขา ใน 8 จังหวัดท่องเที่ยวของไทย เพื่อเพิ่มคุณภาพการให้บริการข้อมูลทั่วไทยให้ดียิ่งขึ้น 2.การเปิดบริการใหม่ คือ Delivery อาหาร ตอนนี้ร่วมมือกับ LINE MAN ให้บริการสั่งอาหารผ่านแอป Wongnai และ Line Man โดยสามารถสั่งจากร้านใด ๆ ก็ได้ในกรุงเทพมหานคร โดยที่ร้านเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีบริการส่งอาหารเองเลย แต่จะให้พนักงาน Line Man ไปซื้อ แล้วนำไปส่งได้เลย สะดวก ประหยัดเวลาได้มาก และเปิดโอกาสให้ผู้ใช้บริการได้ลองร้านใหม่ ๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้กินด้วย

ก่อนจากกัน ผมกับหลุยส์ได้คุยกันถึงความเป็นห่วงต่อเด็ก ๆ รุ่นน้องที่อยากทำ Startup แต่ยังจับทางไม่ถูก และไม่รู้จะเริ่มอย่างไร หลุยส์มีคำแนะนำว่า ทำ Startup ต้องเตรียมตัว เตรียมใจ และเตรียมเสบียงครับ (ฮา) สำหรับผมก็คงมีคำตอบเดียวกัน คือ ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่าเราพร้อมแค่ไหน เรามีทางหนีทีไล่อย่างไร และทีมเราเป็นอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่ผมมอง คือ Ecosystem บ้านเรา ยังไม่ได้ไปไกลเหมือนกับที่อเมริกา จีน หรือสิงคโปร์ ดังนั้น การทำ Startup ในไทยให้ไปถึง Milestone สำคัญ ๆ อาจจะใช้เวลามากกว่าที่คิด ทั้งนี้ ผมไม่ได้บอกว่าทำไม่ได้ หรือห้ามทำ นะครับ แต่ถ้าคิดว่าคุณพร้อมแล้วจริง ๆ ก็ลองลุยกันได้ครับ

สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน