สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

แรงจริยธรรม

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ CSR Talk โดย สุรีพันธุ์ เสนานุช สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ

"ป.ป.ช.ผิดหวัง ! ไทยคะแนนความโปร่งใสต่ำ เหตุโดนใช้เกณฑ์ ปชต.ประเมิน" พาดหัวข่าวของมติชนออนไลน์ วันที่ 26 ม.ค. 60 แสดงให้เห็นว่าจริยธรรมประเทศไทยเข้าข่ายวิกฤต เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบยังมีแนวคิดผิดเพี้ยนในทางปฏิบัติ

เช่นเดียวกับผู้บริหารหน่วยงานภาครัฐ รวมไปถึงองค์กรต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นมาภายใต้ภาครัฐ เมื่อได้รับผลประเมินการปฏิบัติงานแทนที่จะทบทวนว่ายังมีข้อบกพร่องอะไรบ้างที่ต้องแก้ไข ปรับเปลี่ยน กลับชี้ปัญหาไปที่การประเมินตัวชี้วัด จึงพบว่าเวลาที่องค์กรใดได้รับการจ้างให้ไปทำการประเมิน ก็จะมีการล็อกตัวชี้วัด หรือวิธีการประเมินให้ผลออกมาดีที่สุดเสมอ ทำให้ไม่สามารถสะท้อนความเป็นจริง

เกณฑ์ประเมิน วิธีการประเมิน เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดสำหรับการวัดความโปร่งใส ถ้าบิดเบี้ยวไปตั้งแต่ต้น ก็เหมือนเครื่องจักรชำรุด ซึ่งเป็นประเด็นหนึ่งในจริยธรรมที่ประเทศไทยไม่สามารถประกาศความขาวสะอาด ปราศจากมลทินได้ ตราบใดที่ยังมีคดีทุจริตที่รัฐบาลไม่เคยยอมรับ และยังจับกุมผู้ที่ส่งสัญญาณเพื่อเชือดไก่ให้ลิงดูเสียอีก


คะแนนดัชนีการจัดอันดับความโปร่งใส หรือ Corruption Perceptions Index (CPI) ปี พ.ศ. 2559 ที่ประเทศไทย ได้ 35 คะแนน อยู่อันดับที่ 101 จากปี พ.ศ. 2558 ได้ 38 คะแนน ผู้บริหาร ป.ป.ช. ยังกล้าพูดว่าน่าจะได้ 38 คะแนนเท่าเดิม ซึ่งแสดงให้เห็นว่าไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาประเทศด้านความโปร่งใสให้ดีขึ้นอย่างจริงจังในฐานะผู้ที่รับผิดชอบในเรื่องนี้

ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นเหมือนมะเร็งร้ายที่กัดกร่อนความก้าวหน้าของประเทศไปทุกหย่อมหญ้าจนภาคเอกชนและภาคประชาชนต้องออกมาเคลื่อนไหวไม่ได้มีแต่ในประเทศไทย ประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ ภาคประชาชนก็มีการออกมาเคลื่อนไหวการเอื้อผลประโยชน์ของภาครัฐต่อกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เรียกว่า Democracy Spring เนื่องจากพรรคการเมืองได้รับการสนับสนุนจากเงินของกลุ่มทุนเหล่านี้ และทำให้กลุ่มทุนมีสิทธิ์มีเสียงทางการเมืองมากกว่าประชาชน ที่เห็นได้ชัดคือการกำหนดนโยบาย การเลือกนักการเมืองเข้ามาบริหารประเทศ

จริง ๆ แล้วภาคธุรกิจเป็นความหวังที่ดูจะมีความเป็นไปได้มากกว่าภาครัฐที่มีปัญหาทุจริต คอร์รัปชั่นกัดกร่อนจนยากจะเยียวยา ภาคธุรกิจที่มีจิตสำนึกในเรื่องความรับผิดชอบต่อสังคมที่เข้มแข็ง จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับสังคมร่วมกับภาคประชาชนได้อย่างแน่นอน เพราะข้อดีของภาคธุรกิจคือมีการบริหารจัดการที่มีทิศทาง มีเป้าหมายที่ชัดเจน มีกระบวนการบริหารจัดการที่มีเครื่องมือทำให้เกิดประสิทธิผล มีคนที่ได้รับการบ่มเพาะสมรรถนะอย่างต่อเนื่อง จึงพบว่ามีองค์กรธุรกิจที่ดีหลายแห่ง เป็นกำลังสำคัญในการคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับโลกด้วยการดำเนินการที่เรียกว่า CSR

จริยธรรมในการดำเนินธุรกิจเป็นส่วนหนึ่งใน CSR เช่นกัน และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเป็นรากฐานสำคัญของความยั่งยืน มีตัวอย่างธุรกิจยักษ์ใหญ่มากมายที่ล้มครืนเพราะประเมินคุณค่าของจริยธรรมต่ำเกินไป การติดสินบนเพื่อให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่มักคิดกันว่าจำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด แต่ระยะยาวคือสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจไปไม่รอดในที่สุด

ได้มีโอกาสคุยกับท่านที่ปรึกษาและวิทยากรอาวุโสซึ่งมีประสบการณ์สูงในวงการธุรกิจท่านเล่าให้ฟังถึงบริษัทใหญ่แห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีค่านิยมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับจริยธรรม และเพื่อให้บุคลากรมีหลักยึดในการปฏิบัติงานอย่างมีจริยธรรม องค์กรจึงกำหนดหลักคิดขึ้นมา 7 ข้อเพื่อเป็นตัวกรองให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างถูกต้อง

หลักการนั้นก็คือเมื่อจะตัดสินใจกระทำสิ่งใดให้พิจารณาว่า1.การกระทำนั้นผิดกฎหมายหรือไม่2.ถ้าไม่ผิด ผิดอุดมการณ์ของบริษัทหรือไม่ 3.ถ้าทำไปจะรู้สึกไม่ดีหรือไม่ 4.จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรื่องปรากฏในหนังสือพิมพ์ 5.เมื่อคิดว่าไม่ถูก ยังคิดว่าจะทำหรือไม่ 6.ถ้าไม่แน่ใจให้ตั้งคำถาม 7.ให้เพียรถามจนกว่าจะได้คำตอบ ระหว่างนั้นอย่าทำ

หลายครั้งจริยธรรมเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผู้ปฏิบัติงานหรือแม้แต่ผู้บริหารก็อาจไปไม่แน่ใจว่ามันคือสีขาวหรือสีดำหรือสีเทา ผลประโยชน์ ความสำเร็จของงานมักจะเร่งเร้าให้ตัดสินใจเข้าข้างมันเสมอ

การติดสัญญาณไฟเขียว ไฟแดงอาจจะช่วยให้เกิดความยับยั้งชั่งใจได้บ้าง หลักการในข้อ 4 จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเรื่องปรากฏในหนังสือพิมพ์ อาจสัญญาณไฟแดงที่เด่นชัดที่สุดสำหรับที่จะหยุดเพื่อไตร่ตรอง

บางทีการหยุดสักพัก จะทำให้น้ำหนักของจริยธรรมเพิ่มขึ้น จนสมดุลกับผลประโยชน์ทางธุรกิจ ซึ่งจะทำให้ทิศทางแห่งความยั่งยืนมีความสว่างไสวและไปได้จริง


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : แรงจริยธรรม

view