สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เอาแล้วไง! ศิษย์ธรรมกายขุดคูน้ำตั้ง-ตั้งค่ายกลทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอระบุมีความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.

เอาแล้วไง! ศิษย์ธรรมกายขุดคูน้ำตั้ง-ตั้งค่ายกลทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอระบุมีความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

เอาแล้วไง! ศิษย์ธรรมกายขุดคูน้ำตั้ง-ตั้งค่ายกลทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอระบุมีความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.
        MGR Online - รองโฆษกดีเอสไอขนสื่อฯ ดูแนวตั้งรับศิษย์ธรรมกาย หลังเคยมีเหตุการณ์ปะทะเจ้าหน้าที่ พบถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร มีการขุดคูใส่น้ำคล้ายยุทธวิธีทางทหาร บริเวณจุดก่อสร้างอาคารบุญรักษา เจ้าหน้าที่ระบุมีความผิดคำสั่ง คสช.ที่ 17/2560
       
       วันนี้ (6 มี.ค.) ที่บริเวณถนนเลียบคลองแอน ใกล้ประตู 15 วัดพระธรรมกาย พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ รองโฆษกดีเอสไอ นำคณะสื่อมวลชนเดินทางมาตรวจสอบสถานที่ดังกล่าวซึ่งมีมวลชนมาปักหลักอยู่เป็นจำนวนมาก พร้อมเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์เผชิญระหว่างทหารกับพระสงฆ์และลูกศิษย์ บริเวณจุดก่อสร้างที่เชื่อมต่อไปยังอาคารบุญรักษาด้านกำแพงหลังวัดพระธรรมกาย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ใช้โดรนสำรวจบริเวณดังกล่าวปรากฏว่าพบมีการขุดคูคลองเป็นแนวขวาง 4 แนว มีการเติมน้ำเข้าไปบางส่วนลักษณะคล้ายยุทธวิธีทางทหาร รวมถึงพบถังบรรจุน้ำมัน 200 ลิตร และเต็นท์พระ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องไปพิสูจน์ทราบให้แน่ชัดว่าคืออะไร แต่เจ้าหน้าที่ไม่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้เพราะติดกลุ่มพระภิกษุและคณะศิษยานุศิษย์ขัดขวาง อย่างไรก็ตาม พื้นที่ดังกล่าวหากใครบุกรุกหรือเข้าออกจะผิดคำสั่ง คสช.ที่ 17/2560 เรื่องห้ามบุคคลเข้าออกในพื้นที่ และห้ามกระทำการใดๆ ในพื้นที่จนกว่าเจ้าหน้าที่จะดำเนินการเสร็จสิ้น
       
       ต่อมาเมื่อเวลา 13.10 น. ที่ บก.ตชด.ภ.1 พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 เปิดเผยว่า หลังมีการตรวจสอบพบว่าบริเวณพื้นที่ใกล้กับอาคารบุญรักษาซึ่งอยู่ในโซนดี มีจุดขุดร่องดินสกัดยานพาหนะและได้ปล่อยน้ำเข้าไปบางส่วน รวมถึงเป็นพื้นที่ควบคุมนั้นต้องดูว่าเป็นพื้นที่สาธารณะหรือพื้นที่ของเอกชน หากเป็นพื้นที่สาธารณะถือว่ามีความผิด แต่ถ้าเป็นของเอกชนก็ต้องสอบถามสาเหตุการดำเนินการดังกล่าว และขณะนี้ยังไม่มีข้อมูลว่าเป็นน้ำมันเชื้อเพลิงหรือไม่ ส่วนการขอคืนพื้นที่ตลาดกลางคลองหลวง เจ้าหน้าที่กำลังดำเนินการ ยืนยันว่าไม่กังวลการซุกซ่อนอาวุธและสิ่งผิดกฎหมายเข้ามาในพื้นที่เพราะเจ้าหน้าที่ตั้งด่านคัดกรองรอบบริเวณอย่างเข้มงวด พร้อมเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ทราบว่ามีกลุ่มการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องสนับสนุนพระสงฆ์และลูกศิษย์วัดพระธรรมกายซึ่งอยู่ระหว่างการสืบสวนว่ามีบุคคลใดเป็นแกนนำเพื่อใช้เป็นข้อมูล
       
       ต่อมาเมื่อเวลา 19.30 น.ฝ่ายสื่อสารองค์กรวัดะรรมกายชี้แจง กรณีเจ้าหน้าที่ DSI เผยภาพมุมสูง ทางเข้า-ออก อาคารบุญรักษา ใกล้พื้นที่ 196 ไร่ พบการขุดร่องน้ำขวางถนน และพบถังน้ำมันเปล่า 200 ลิตร คาดสกัดกำลังเจ้าหน้าที่นั้น
       
       วัดพระธรรมกาย ขอชี้แจงว่า เนื่องจากวันที่ 23 ก.พ. 2560 ที่ผ่านมา กลุ่มบุคคลจำนวนไม่ทราบสังกัดได้มาที่ประตูโซนอาคารบุญรักษา ตั้งแต่เวลาประมาณ 5.00 น. และบุกเข้าโดยพลการ ไม่ได้แจ้งล่วงหน้า เวลาประมาณ 6.00 น. โดยไม่แจ้งภาระกิจ ดังนั้น พระและญาติโยมจึงได้ขอให้ถอยกำลังออกไป วันต่อๆไป มีการนำรถมาชนที่ประตูทางเข้า ถึง 2-3 ครั้ง ญาติโยมจึงได้ช่วยกันขุดร่องน้ำ เพื่อรักษาความปลอดภัยของพื้นที่ ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางเจ้าหน้าที่ แต่ประการใด ส่วนถังน้ำมันที่พบนั้น เป็นถังน้ำมันเปล่า ที่นำมาเป็นหลักในการขึงซาแลนเท่านั้น เพื่อกันแดด กันฝุ่น และลมร้อน ไม่ได้มีเจตนาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่แต่ประการใด 

เอาแล้วไง! ศิษย์ธรรมกายขุดคูน้ำตั้ง-ตั้งค่ายกลทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอระบุมีความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.
        

เอาแล้วไง! ศิษย์ธรรมกายขุดคูน้ำตั้ง-ตั้งค่ายกลทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอระบุมีความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.
       

       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       
       

กระเจิง! พระวินยาธิการ พศ.รุดตรวจใบสุทธิพระตลาดกลางคลองหลวง ถูกตะเพิดถอยกรูด

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

กระเจิง! พระวินยาธิการ พศ.รุดตรวจใบสุทธิพระตลาดกลางคลองหลวง ถูกตะเพิดถอยกรูด
        MGR Online - เจ้าคณะคลองสี่ พระวินยาธิการพร้อมเจ้าหน้า ที่ พศ.เจรจาศิษย์ธรรมกายตลาดกลางคลองหลวง ห้ามใช้พื้นที่ชุมนุม-ตรวจใบสุทธิบัตร ไม่เป็นผลถูกขวางไม่ให้ตรวจ ก่อนถูกให้ออกจากพื้นที่
       
       วันนี้ (6 มี.ค.) เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริเวณตลาดกลางคลองหลวง พระครูวิจิตร อาภากร เจ้าคณะตำบลคลองสี่ พร้อมพระวินยาธิการ 5 รูป ร่วมกับตัวแทนจากสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินทางมาเจรจากับพระภิกษุที่ปักหลักรวมตัวภายในตลาดดังกล่าว หลังนำป้ายประกาศจากเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี ห้ามพระสงฆ์เข้ามาชุมนุม และขอตรวจสอบใบสุทธิสงฆ์ เพื่อจะรายงานผลไปที่กองอำนวยการร่วม บก.ตชด.ภ.1
       
       ทั้งนี้ ระหว่างพระครูวิจิตร อาภากร เจ้าคณะตำบลคลองสี่ พร้อมพระวินยาธิการ 5 รูป และตัวแทน พศ.เดินเข้าไปในบริเวณตลาดได้ไม่นานนัก ทางคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายได้ออกมาขัดขวางไม่ให้ความร่วมมือเข้าไปด้านใน พร้อมขอให้ยกเลิกมาตรา 44 จึงทำให้เจ้าคณะอำเภอคลองสี่และคณะต้องถอยออกนอกพื้นที่ 

กระเจิง! พระวินยาธิการ พศ.รุดตรวจใบสุทธิพระตลาดกลางคลองหลวง ถูกตะเพิดถอยกรูด
        

กระเจิง! พระวินยาธิการ พศ.รุดตรวจใบสุทธิพระตลาดกลางคลองหลวง ถูกตะเพิดถอยกรูด

เปิดเส้นทาง “ซุปเปอร์เช็ง” เจ้าแม่ “บ่อวิน-ชลบุรี” สู่อาณาจักร “น้ำมหาบำบัด” แหกตาขายจนเจอคุก!!

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

      ดีเอสไอ “ซูเปอร์เซ็ง” เมื่ออดีตเจ้าของช่อง “ซุปเปอร์เช็ง” เจ้าแม่ “น้ำมหาบำบัด” อย่าง “ป้าเช็ง-ศรวรรณ ศิริสุทรินทร์” เปิดพื้นที่“ตลาดป้าเช็ง” ให้กลายเป็นฐานรวมพล “คนธรรมกาย” อย่างออกนอกหน้า จึงตกเป็นเป้าหมายรายล่าสุดที่กำลังถูกจับตาว่า มีส่วนเชื่อมโยงกับเงินสะพัดในบัญชีหลักแสน-หลักล้านของพระ ซึ่งถูกคุมตัวมาจากตลาดหรือไม่ บอกเลยว่าคนที่เข้ามาช่วยหนุน “ธรรมกาย” ในช่วงนี้ เป็นต้องถูกเล่น-ถูกสอบทุกรายไป ยิ่งมีกลิ่นการเมืองแรงระดับเจ้าแม่แบบนี้แล้วด้วย ยิ่งน่าติดตาม!!
       



       
       เรียกสอบ “เจ้าแม่ภาคตะวันออก” โยงบัญชีการเงินต้องสงสัย!!
       


       

[ป้าเช็ง-ศรวรรณ ศิริสุทรินทร์]


        “ป้าเช็งคือใคร?” เส้นทาง “เจ้าแม่น้ำมหาบำบัด” รายนี้ไม่ใช่ไก่กามาจากไหน เข้าขั้นเจ้าแม่ภาคตะวันออก “ขาใหญ่-บ่อวิน”แห่งเมืองชลบุรี เผยประวัติก่อนมาโด่งดังระดับประเทศ เป็นเจ้าของกิจการหลาย 100 ล้าน มีกิจการในเครือข่ายเกือบ 20 บริษัท แต่ที่มาจบด้วยน้ำหมัก เพราะเคยป่วยเจียนตาย ก่อนโคจรมาพบแพทย์ทางเลือกคนดัง จึงผันตัวมาเป็นเจ้าแม่ “น้ำหมัก” 
       
        เธอคือผู้ปลุกรายการโทรทัศน์ “ซุปเปอร์เช็ง” ให้ฮอตฮิตติดลมบน ก่อนถูกตำรวจบุกจับ เพราะเผลอตัวแหกตาขายน้ำหมักรุ่น “เจียระไนเพชร” จนต้องติดคุกนานครึ่งปี ก่อนกลับมามีประเด็นให้ที่พัก “ม็อบธรรมกาย” อีกครั้งในคราวนี้ คล้ายต้องการประกาศจุดยืนเรื่องของศรัทธา สงสัยว่าหากไม่ยอมลืมหูลืมตาขึ้นมาบ้าง ก็อาจมีเภทภัยบางอย่างแวะเวียนเข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว 
       
        ยิ่งอยู่ในสถานการณ์ “เข้าด้ายเข้าเข็ม” ในกรณีวัดธรรมกายแบบนี้ คนใจนักเลง พูดจาโผงผางอย่าง “ป้าเช็ง-ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์” อดีตเจ้าตำรับน้ำมหาบำบัดวัย 80 ปี ยิ่งทำท่าว่ากำลังจะ “งานเข้า” เพราะมีพฤติการณ์เข้าข่ายสนับสนุนกลุ่มผู้ชุมนุม ต่อต้านเจ้าหน้าที่
       
       


       

[ดีเอสไอบุกตรวจ "ตลาดป้าเช็ง"]


        โดยเมื่อวันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่พบความผิดสังเกตว่า มีกลุ่มบุคคลจำนวนหนึ่งพร้อมพระภิกษุอีก 11 รูป มารวมตัวกันที่ตลาดนัดป้าเช็ง บริเวณคลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณวัดธรรมกาย เบื้องต้นผู้อยู่ในเหตุการณ์ถูกนำตัวมาสอบสวน 
       
        ล่าสุด ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมออกหมายเรียกป้าเช็ง ให้เข้ามาสอบปากคำภายในวันที่ 9 มี.ค.ที่จะนี้ว่า ให้การสนับสนุนหรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ชุมนุมหรือไม่ ซึ่งถ้าทำจริงก็จะมีความผิดตามมาตรา 44 ที่ทางคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึงเอาไว้อย่างเข้มงวด 
       


       

[ควมคุมตัวพระและกลุ่มบุคคล จากตลาดป้าเช็ง]


       


       

[พบพระต้องสงสัย มีเงินบัญชีเดินสะพัดในหนึ่งวันเป็นหลักแสน-หลักล้าน]


       
        ประเด็นเงินสะพัดในบัญชีพระสงฆ์บางรูป ซึ่งถูกควบคุมตัวมาจาก “ตลาดป้าเช็ง” ถูกหยิบขึ้นมาตรวจสอบหลายราย แถมยังถูกหยิบมาตั้งข้อสงสัย เชื่อมโยงกับ “ป้าเช็ง” อีกด้วยว่ามีส่วนรู้เห็นเรื่องนี้หรือไม่ จากข้อมูลของ พ.ต.อ.ทรงศักดิ์ รักศักดิ์สกุล รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว ส่งสัญญาณชัดว่าเรื่องนี้ไม่ปล่อยผ่านอย่างแน่นอน ล่าสุดมีการออกหมายเรียกพระและแกนนำไปแล้วทั้งหมดถึง 91 ราย
       
        "พระบางรูป มีเงินในบัญชีธนาคารมากกว่า 10 ล้าน ถึงหลักแสน พฤติการณ์มีโอนเข้าบัญชีทุกวัน สอบถามอ้างว่าเป็นเงินทำบุญ สนับสนุนต่อต้านปฏิรูป พบพฤติกรรมโอนเงินทุกวัน โดยจะมีการเรียก “ป้าเช็ง” มาพบเพื่อสอบถามประเด็นที่สงสัยอยู่ ถึงความเชื่อมโยงกับพระทั้งสองรูป
       


       


       

[เฝ้าระวังพื้นที่ภายในบริเวณตลาดป้าเช็ง หวั่นตลาดกลายเป็นฐานทัพแห่งใหม่ของธรรมกาย]


       
        ถ้าเคยได้ติดตามความเคลื่อนไหวจากช่องทีวีดาวเทียม “ซุปเปอร์เช็ง (Super Cheng)" จะพบว่านอกจากรายการสอนทำน้ำหมักชีวภาพของคุณป้าแล้ว เจ้าตัวยังนิยมนำรายการธรรมะหรือกิจกรรมของ “วัดพระธรรมกาย” มาเผยแพร่ผ่านช่องของตัวเองอยู่บ่อยครั้ง สะท้อนให้เห็นจุดยืนทางศรัทธามาตั้งแต่ไหนแต่ไร 
       
       


        รวมถึงเรื่องการเมืองที่ประกาศสนับสนุนนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์อย่างออกหน้ามาโดยตลอด ถึงขั้นเคยประกาศว่าจะช่วยทำโครงการซื้อ “ข้าวใกล้เน่า” มาแพ็คช่วยกระจายสินค้าด้วยซ้ำ และบรรทัดต่อจากนี้คือคำพูดของป้าเช็งที่เคยแสดงความคิดเห็นเอาไว้ผ่านรายการ “เผชิญหน้า” 
       
        “บอกเลยว่าสุเทพโหด เมื่อคราวเขาเป็นรัฐบาล เขาสั่งยิงคนม็อบเสื้อแดง พ.ศ.2553 ถ้าเป็นนายกฯ ปูสั่งบ้าง ป่านนี้จะเหลือเหรอ แต่นายกฯ ปูก็ไม่ทำ แล้วก็กลายเป็นถูกด่าสารพัดว่าโง่... ป้าไม่รู้จักนายกฯ ปูเลย แต่ป้าสงสารว่าเขาถูกรุม ผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาบริหารงานไม่เท่าไหร่เลย ถูกว่ากล่าวสาดเสียเทเสีย มันเกินไป...เราก็มีสื่อของเรา เดี๋ยวเราก็ช่วยเขาพูดได้"
       
       



       
       เบื้องหลังเส้นทาง “น้ำมหาบำบัด” ลวงโลก
       


        สำหรับ “ป้าเช็ง” นั้น สังคมไทยรู้จักกันดีในฐานะผู้ปลุกกระแสนำผลไม้ใกล้เน่าเสีย หรือของทิ้งจากพืชผัก เปลือกส้ม-เปลือกล้วย มาเข้ากระบวนการทำน้ำหมักชีวภาพ โดยเชื่อว่ามีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาชีวิตของคนไทยอย่างมากมาย 
       
        ทั้งนำไปเป็นปุ๋ยสร้างความเจริญเติบโตให้กับพืชผักต่างๆ ตลอดจนใช้ทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรค หรือแม้แต่ใช้บริโภคเพื่อสุขภาพ มีการเผยแพร่ข้อมูล-ข่าวสารผ่านรายการ “ซุปเปอร์เช็ง” สถานีโทรทัศน์ระบบดาวเทียม โดยเจ้าตัวเป็นผู้ลงทุนเอง กระทั่งมีประชาชนที่สนใจแห่ไปซื้อ “ถังน้ำหมัก” ขนาดต่างๆ จากป้าเช็ง รวมทั้งอุปกรณ์-วัตถุดิบเพื่อนำมาผลิต อาทิ น้ำตาลทรายแดง, ผลไม้ใกล้เน่า หรือตกค้างที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ เช่น ลิ้นจี่ และลำไย รวมทั้งพืชสมุนไพรในกลุ่มทำน้ำหมัก เช่น สมอ, มะขามป้อม, บอระเพ็ด และลูกยอ ฯลฯ 
       


       

[ขั้นตอนการหมัก "น้ำมหาบำบัด"]


       


       
        ก่อนหน้า “ป้าเช็ง” จะ “ฉายเดี่ยว” เป็นที่ทราบกันดีว่าเคยล้มป่วยแทบเอาตัวไม่รอดมาแล้ว แต่ได้รู้จักกับ “ดร.รสสุคนธ์ พุ่มพันธ์วงศ์” ผู้ก่อตั้งชมรมบ้านสุขภาพ แพทย์ทางเลือก จึงแนะนำให้รักษาด้วยการใช้อาหารเป็นยาบำบัดโรค ทั้งน้ำผักปั่น การปฏิบัติตามตารางนาฬิกาชีวิต และมาลงตัวที่น้ำหมัก หรือที่ป้าเช็งมักยกให้เป็น “น้ำมหาบำบัด”จนเกิดกระแสโด่งดังเกรียวกราวทำตามกันทั้งบ้านทั้งเมืองเมื่อช่วง 10 กว่าปีก่อน 
       


       
        เมื่อตัดสินใจ “ฉายเดี่ยว-เดินคนเดียว” โดยปราศจากที่ปรึกษา ซึ่งมีดีกรีระดับ ดร.จากแพทย์ทางเลือกคาลูดโบวิวว่า ฮอสปิตอล ประเทศศรีลังกา “ป้าเช็ง” เริ่มล้ำเส้น บรรยายสรรพคุณ “น้ำมหาบำบัด” ซึ่งเป็นเพียงน้ำหมักธรรมดาๆ ให้กลายเป็นยาวิเศษมีสรรพคุณรักษาโรคนานาชนิด แถมมีผลดีต่อสุขภาพ 
       
        ไม่ว่าจะใช้อาบใช้ดื่ม หรือจะนำไปล้างผักเพื่อทำความสะอาด แถมยังอ้างสรรพคุณอีกว่า ช่วยให้ผักมีสีสันสดสวย มีความหวานกรอบน่ารับประทาน ฯลฯ 
       
       


       

[ถูกจับจำคุก เพราะอวดสรรพคุณน้ำวิเศษ]


        กระทั่งถูกตำรวจจับกุมดำเนินคดี เมื่อ “ป้าเช็ง” หมดความระแวงระวังกฎหมายบ้านเมือง ด้วยการออกมาโปรโมต “น้ำมหาบำบัด” อีกชนิดหนึ่งซึ่งผ่านการหมักมาหลายปี จนมีลักษณะใสและตั้งชื่อมันว่า “น้ำเจียระไนเพชร” อ้างสรรพคุณยิ่งกว่ายาวิเศษใดๆ ในโลก กล่าวคือแค่เพียงหยดใส่ปาก 1-2 หยด จะสามารถกำจัดเชื้อโรคหรือโรคร้ายต่างๆ ในร่างกายได้ และถ้าใช้หยอดตา ดวงตาจะใสเป็นประกาย สามารถรักษาโรคตาได้ทุกชนิด
       
        แน่นอนว่าในช่วงนั้น ชื่อเสียงของ “ป้าเช็ง” ติดลมบนแล้ว ด้วยบุคลิกท่าทางที่นักเลง พูดจาฉะฉานถูกใจคนไทย สินค้าตัวใหม่อย่าง “น้ำเจียระไนเพชร” ขวดขนาดเท่าหัวแม่โป้ง แต่แพงลิบลิ่วถึง 1,000 บาทจึงขายดิบขายดี มีผู้คนแห่ไปอุดหนุนสร้างรายได้ในแต่ละวันอย่างเป็นกอบเป็นกำ 
       


       

[เหยื่อน้ำมหาบำบัดรุ่น "เจียระไนเพชร" ต้องตาบอดเพราะหลงเชื่อ | ขอบคุณภาพ: ไทยรัฐ]


       
        กระทั่งเดือน ม.ค.53 จุดจบของกระบวนการ “น้ำมหาบำบัด” ก็เดินทางมาถึง เมื่อแหล่งผลิตน้ำมหาบำบัดมีอันต้องถูกตรวจสอบจับกุม โดยถูกตรวจค้นบ้านย่านคลองหลวง จ.ปทุมธานี อันเป็นบ้านพักของป้าเช็ง และยังเป็นที่เก็บวัตถุดิบ รวมถึงเครื่องไม้เครื่องมือผลิตน้ำหมัก 
       
        เมื่อตรวจค้นและอายัดของกลางต่างๆ ไว้จำนวนมากแล้ว จึงแจ้งข้อหาต่างๆ ให้ “ป้าเช็ง” ทราบรวม 6 ข้อหา คือ 1.จัดตั้งสถานที่ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต 2.ผลิตยาโดยไม่ได้รับอนุญาต 3.จำหน่ายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต 4.จำหน่ายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน 5.โฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตและเกินจริง และ 6.ให้การรักษาโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์โดยไม่ได้รับอนุญาต 
       
        ในช่วงนั้นข่าวการจับกุม “ป้าเช็ง” ถือว่าเป็นข่าวใหญ่แทบจะไม่ต่างอะไรกับข่าวยุทธการ “จับสึก” ที่กำลังเกรียวกราวอยู่ในขณะนี้ ต่างกันตรงที่ไม่ใช้กำลังตำรวจหลายพันนาย ไม่ยืดเยื้อ ไม่มีการต่อต้านจากพระและไม่มีการโกงข้าวกล่อง หลังการดำเนินคดีฟ้องร้องต่อศาล “ป้าเช็ง” ถูกตัดสินความผิดรวม 3 ข้อหาศาลพิพากษาจำคุก 18 เดือน แต่ด้วยเป็นบุคคลสูงอายุ (74 ปี)และเป็นนักโทษชั้นดี “ป้าเช็ง”จองจำอยู่นาน 6 เดือนก็ได้รับอภัยโทษ 
       
        ถึงแม้บทบาทต่างๆ ที่เคยโลดแล่นเป็นขวัญใจชาวน้ำหมัก และการเป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ มีอันต้องยุติลงอย่างสิ้นเชิงแต่กระนั้น ก็ยังมีกลุ่มแฟนคลับที่ยังคงความเชื่อมั่น ต่างแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารการทำน้ำหมัก รวมทั้งกิจกรรมต่างๆ ที่แตกแขนงไป เช่น อุดมการณ์ทางการเมืองของคนเสื้อแดง และการปฏิบัติธรรมในฐานะศิษย์ที่มีความเลื่อมใสในวัดพระธรรมกาย 
       


       

["คนธรรมกาย" รวมตัวที่ตลาดคลองหลวงอย่างเนืองแน่น คาดเป็นเหตุให้ต้องเตรียมขยายฐานมาที่ "ตลาดป้าเช็ง"]


       
        มีเรื่องเล่ากันว่า “ป้าเช็ง” มิได้มีฐานะร่ำรวยมาจากการต้มตุ๋น หลอกขายน้ำหมัก แต่มีพื้นฐานมาจากธุรกิจหลายอย่าง ถือเป็น “เจ้าแม่แห่งภาคตะวันออก” คนหนึ่ง จึงมีความยิ่งใหญ่เป็นที่เกรงอกเกรงใจของพ่อค้า คหบดีและข้าราชการใน จ.ชลบุรี 
       
       โดยเฉพาะย่านนิคมอุตสาหกรรมหรือ “บ่อวิน” ศรวรรณ ศิริสุนทรินทร์ หรือ “ป้าเช็ง” ยังมีกิจการในเครือมากมาย รวมทั้งสิ้น 18 แห่ง เช่น บริษัท ศรีราชาเฟอรารี่ จำกัด ทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท, บริษัท พี.ที.วี.แหลมฉบัง ทุนจดทะเบียน 33 ล้านบาท, บริษัท เช็ง บ้านแอนด์เคเบิ้ล จำกัด ทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท, บริษัท พี.ที.วี.ชลบุรี ทุนจดทะเบียน 58 ล้านบาท, บริษัท ไบโอติค ทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาท, บ้านศิริสุนทรินทร์ ทุนจดทะเบียน 28 ล้านบาท, บริษัท ซุปเปอร์เช็ง โปรดักชัน ทุนจดทะเบียน 22 ล้านบาท เป็นต้น
       

       
       


        แต่ด้วยความอยากเข้ามาในแวดวงสื่อโทรทัศน์ ครั้งหนึ่ง “ป้าเช็ง” ได้ติดต่อกับนักข่าวคนดังค่ายหนึ่ง เพื่อมาออกสื่อของตัวเอง โดยขั้นตอนการเจรจาครั้งนั้น ได้สอบถามค่าใช้จ่ายในการตั้งสถานีดาวเทียม เมื่อเคาะตัวเลขอยู่ที่ 90 ล้านบาท “ป้าเช็ง” ก็ตกลงทันที 
       

        แต่ทว่า นักข่าวคนดังมองการณ์ไกล เห็นภาพตัวเองจะต้องตกระกำลำบากในวันข้างหน้า อีกทั้งไม่อยากแนะนำให้ “ป้าเช็ง”มาทำธุรกิจที่ไม่คุ้นเคย จึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เป็นอันว่าจุดกำเนิดของสถานีโทรทัศน์ซุปเปอร์เช็ง จึงเปลี่ยนมือกลายมาเป็นกลุ่มผู้ผลิตสื่อแนวอื่น ที่ไม่มีความชำนาญด้านข่าวสาร และสิ่งที่พิสูจน์ถึงการอยากเข้ามาในแวดวงสื่อ 
       

        อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความฮือฮามากที่สุดก็คือ การลงทุนให้กับสื่อโทรทัศน์รายการหนึ่ง เป็นเม็ดเงินสูงถึง 20 ล้านบาท ทั้งนี้หลังจากเกิดประเด็น “ป้าเช็ง”ถูกคอลัมนิสต์ และเจ้าของรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ด่าทอจนกลายเป็นประเด็นซุบซิบ
       
       กระทั่งต่อมา มีคลิปเสียงคล้าย “ป้าเช็ง” กับบุคคลเสียงคล้าย “ร.ต.อ.นิติภูมิ นวรัตน์” เรื่องค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับรายการโทรทัศน์ กับเงินที่เคยหยิบยืมไป ซึ่งต่อมา นักจัดรายการดังได้ออกมาให้สัมภาษณ์ในทำนองที่ว่า เป็นการเข้าใจผิดในฐานะหุ้นส่วนที่ “ป้าเช็ง” เพิ่งเข้ามาร่วมเพียง 3 เดือนเท่านั้น 

       
       


       
       ข่าวโดย ผู้จัดการ Live


"ศรีวราห์" ชี้ 10 ล้านโอนเข้าบัญชีพระ ตลาดป้าเช็ง อาจฟอกเงิน เล็งสอบสถานปฏิบัติธรรมอีสาน

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เมื่อวันที่ 6 มีนาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เปิดเผยความคืบหน้าการดำเนินคดีกับ พระธัมมชโย อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ผู้ต้องหาตามหมายจับในคดีฟอกเงิน รุกป่า และอีกหลายๆ คดี ว่า การเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกายจะสามารถดำเนินครั้งต่อไปได้เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในการพิจารณาแนวทางดำเนินการ ส่วนตนมีหน้าที่ดูแลเรื่องสำนวนคดีเท่านั้น

ส่วนกรณี กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ทำการตรวจสอบเงิน จำนวนกว่า 10 ล้านบาท ที่โอนเข้าบัญชีของ พระเสถียร คำบ่อ หนึ่งในพระสงฆ์ที่ถูกควบคุมตัวได้ที่ตลาดป้าเช็ง เมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมา และพบว่ามีการเบิกจ่ายเงินในบัญชีวันละเกือบ 10,000 บาท นั้น รองผบ.ตร. กล่าวว่า ขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ ยังไม่มีการเข้าร้องทุกข์ แต่หากมีการร้องทุกข์ พนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการสืบสวนสอบสวนทันที โดยเบื้องต้นอาจเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน ขณะเดียวกัน ล่าสุดพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหากับพระธัมมชโย และวัดพระธรรมกาย รวมกว่า 350 คดี ซึ่งมีการออกหมายจับเพิ่มกว่า 10 คดี และเจ้าหน้าที่จะมีการตรวจสอบสถานปฎิบัติธรรมของวัดพระธรรมกาย ในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในข้อหาบุกรุกพื้นที่ป่า

สำหรับบุคคลที่ถูกออกหมายเรียกฐานขัดคำสั่ง คสช. 62 คน และ เข้าพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกแล้ว 9 คน นั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษที่จะเป็นผู้ดำเนินการในกรณีดังกล่าว และ หากบุคคลที่ถูกออกหมายเรียกไม่ยอมมาพบพนักงานสอบสวนนั้น เป็นดุลพินิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษเช่นกันว่าจะดำเนินการอย่างไร และจะมีการออกหมายจับต่อไปหรือไม่




ที่มา : มติชนออนไลน์


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เอาแล้วไง ศิษย์ธรรมกาย ขุดคูน้ำตั้ง ตั้งค่ายกล ทำแนวกัน เตรียมน้ำมัน ดีเอสไอ ระบุ ความผิดฝ่าฝืนคำสั่ง คสช.

view