สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ย้าย พงศ์พร สมใจพระผู้ใหญ่ ปิดฉากคดีทุจริตเงินทอนวัด

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

แฉพระผู้ใหญ่วัดดังกลางกรุงมีตำแหน่งในมหาเถรสมาคม ขอเคลียร์ปัญหา “พงศ์พร” กับคนใกล้ตัวนายกฯ ที่มีสายสัมพันธ์ด้านบวกต่อกัน ด้านสมาพันธ์ชาวพุทธฯ ประกาศชัยทันที รุกคืบตัดตอนพระกรณีเงินทอนวัด รัฐต้องกันเจ้าอาวาสเป็นพยาน คนวงการพุทธชี้หากได้ ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่ที่ทำงานกับมหาเถรสมาคมแบบไร้ปัญหา เท่ากับปิดฉากเรื่องทุจริตเงินทอนวัด หลังตรวจเกือบถึงวัดใหญ่ย่านภาษีเจริญ

ในที่สุดกลุ่มพระชั้นผู้ใหญ่ก็เป็นฝ่ายกำชัย จากความพยายามเสนอให้รัฐบาลมีการเปลี่ยนตัวพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) หลังจากที่เกิดเรื่องการตรวจการทุจริตเงินทอดวัดกันทั่วประเทศ และเริ่มขยับเข้าใกล้วัดใหญ่ในเมืองหลวงที่มีพระผู้ใหญ่นั่งบริหารงานในมหาเถรสมาคม

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี อนุมัติการรับโอนพงศ์พรเข้ามาดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อ 29 สิงหาคม 2560 หลังจากที่สำนักงานรองนายกรัฐมนตรีโดยนายวิษณุ เครืองาม ได้ทำเรื่องโอนตั้งแต่ 21 สิงหาคม 2560
ทั้งที่เมื่อ 8 สิงหาคม 2560 พลเอกประยุทธ์ ได้ออกมายืนยันการทำงานของพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ สามารถทำงานร่วมกับมหาเถรสมาคมได้ โดยขณะนี้ตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่างลง แม้จะมีบางรายชื่อถูกเปิดออกมาบ้าง แต่ยังไม่มีคำสั่งแต่งตั้งอย่างเป็นทางการ

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการย้ายตัวพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ในครั้งนี้ มีผลต่อความนิยมของบรรดากองเชียร์รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์อยู่ไม่น้อย เนื่องจากรัฐบาลชุดนี้เน้นไปที่การปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน ซึ่งที่ผ่านมาอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ ได้ตรวจสอบการทุจริตงบบูรณะวัดหลายแห่ง แต่ถูกต่อต้านจากพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมมากเป็นพิเศษ

นอกจากนี้พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลชุดนี้ตามมาตรา 44 เมื่อ 25 กุมภาพันธ์ 2560 ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ 12/2560 โดยให้นายพนม ศรศิลป์ พ้นจากตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจราชการพิเศษประจำสำนักนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ตรวจราชการ หรือปฏิบัติหน้าที่อื่นใดตามที่นายกรัฐมนตรีมอบหมาย

และให้พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้บัญชาการสำนักคดีภาษีอากร กรมสอบสวนคดีพิเศษ พ้นจากตำแหน่ง และให้ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ

แม้จะมีเสียงปฏิเสธจากพลเอกประยุทธ์ว่า การย้ายครั้งนี้ไม่ใช่การลงโทษ ดึงมาช่วยงานและได้ระดับที่สูงขึ้น แต่ดูเหมือนฝ่ายที่ต้องการให้เกิดความโปร่งใสในวงการพระพุทธศาสนาจะไม่เชื่อคำอธิบายดังกล่าว เนื่องจากตำแหน่งที่ถูกย้ายไปนั้นเป็นตำแหน่งเดียวกับนายพนม ศรศิลป์ อดีตผอ.สำนักพุทธฯ คนก่อน

คำสั่งย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์
คำสั่งย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์


สมาพันธ์ชาวพุทธฯประกาศชัย

ทันทีที่มติคณะรัฐมนตรีรับทราบการย้ายพันตำรวจโทพงศ์พร ไปเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ เพจของสมาพันธ์ชาวพุทธ ได้ประกาศชัยชนะโดยระบุว่า “ชัยชนะยกนี้ เกิดจากคณะสงฆ์และชาวพุทธหลายกลุ่มหลายท่านร่วมมือกัน” พร้อมกล่าวต่อไปว่า

จากการที่ สมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และเครือข่ายสมาพันธ์ชาวพุทธทุกระดับ เดินหน้าดับเครื่องชน ให้มีการโยกย้าย ผอ.สำนักพุทธ คนปัจจุบันนี้ ซึ่งเราตั้งเป้าว่าสิ้นเดือนนี้ถ้ายังไม่มีการโยกย้าย เราจะเดินหน้าขั้นต่อไป คือขอเข้าพบนายกรัฐมนตรีและหรือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แต่เมื่อมีมติคณะรัฐมนตรีออกมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2560 นี้ ให้โยกย้าย พันตำรวจโทพงศพร พราหมณ์เสน่ห์ ออกจากตำแหน่งไปแล้ว ก็ถือว่าเป็นการปลดชนวนระเบิดลูกที่ 1 เท่านั้น

ยกที่ 2 ให้ยกเลิกประกาศ “ฉบับคุมกำเนิดชาวพุทธ” และเป็นประกาศฉบับ “ฆราวาสสั่งพระ” นั่นคือ ประกาศสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เรื่องมาตรฐานสำนักเรียน และสำนักศาสนศึกษา พ.ศ. 2560

ยกที่ 3 กรณีเงินทอนวัด รัฐต้องกันเจ้าอาวาส เป็นพยานในคดีแล้วดำเนินการต่อไปได้

ยกที่ 4 เปิดโปงกระบวนการเบียดเบียนเงินค่านิตยภัตของพระสังฆาธิการ 

ยกที่ 5 เสนอปฏิรูปสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเป็นลำดับถัดไป

“หลังจากที่ คณะสงฆ์ และชาวพุทธ โดนหมัดถล่มจนถึงกับเมาหมัดกันมากมาย ตอนนี้เราเพิ่งแก้เกมได้เป็นรอบแรกเท่านั้น ซึ่งยังมีอีกหลายรอบด้วยกัน ชาวพุทธทุกท่าน อย่าเพิ่งดีใจ งานหนักยังรอเราอีกมาก” เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยกล่าว

สมาพันธ์ชาวพุทธฯ ประกาศชัยชนะ
สมาพันธ์ชาวพุทธฯ ประกาศชัยชนะ


วัดใหญ่กลางกรุงขอให้ย้าย

แหล่งข่าวจากวงการพระพุทธศาสนา กล่าวว่า ผิดหวังกับการตัดสินใจของรัฐบาลในครั้งนี้ ทั้งหมดเป็นผลมาจากแรงกดดันของพระชั้นผู้ใหญ่ที่มีต่อคนใกล้ตัวนายกฯ อีกทั้งวัดใหญ่กลางกรุงและมีตำแหน่งในมหาเถรสมาคมมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับผู้มีอำนาจในรัฐบาลชุดนี้มาก่อนในครั้งอดีต ซึ่งวัดใหญ่ดังกล่าวอยู่ในสายเดียวกับขั้วอำนาจใหญ่ในมหาเถรสมาคม เท่ากับวัดใหญ่อื่น ๆ ในสายนี้ล้วนเห็นชอบด้วย ดังนั้นการขอให้ย้ายพงศ์พรจึงประสบความสำเร็จ

แม้ก่อนหน้านี้จะมีการเคลื่อนไหวในฝ่ายฆราวาสขอให้รัฐบาลเปลี่ยนตัวพันตำรวจโทพงศ์พร ผ่านสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทยมาแล้ว 2 ครั้ง สมาพันธ์ฯ นี้เคยหนุนสมเด็จช่วงขึ้นดำรงตำแหน่งสมเด็จพระสังฆราชและยืนอยู่ข้างเดียวกับวัดพระธรรมกาย มี ดร.บรรจบ บรรณรุจิ เป็นประธาน และมีนายกรณ์ มีดี อดีตแกนนำคนเสื้อแดงนนทบุรีเป็นเลขาธิการ

แต่ความสำเร็จเกิดขึ้นไม่ใช่ผลงานของสมาพันธ์ฯ แต่เกิดจากการเดินเครื่องของพระผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมที่มีการเจรจาในทางลับกับบุคคลระดับรองนายกรัฐมนตรี

วัดพนัญเชิงวรวิหาร 1 ใน 12 วัดที่ถูกตรวจสอบกรณีเงินทอนวัด
วัดพนัญเชิงวรวิหาร 1 ใน 12 วัดที่ถูกตรวจสอบกรณีเงินทอนวัด


ปิดฉากตรวจสอบเงินทอนวัด

การย้ายพันตำรวจโทพงศ์พรในครั้งนี้บ่งบอกได้ว่า รัฐบาลพ่ายต่อแรงกดดันจากบรรดาพระชั้นผู้ใหญ่ที่เปิดหน้าแสดงความไม่พอใจกับการทำงานของ ผอ.สำนักพุทธฯ คนล่าสุด และเป็นอีกครั้งหนึ่งที่มาตรา 44 ที่ถือว่าเป็นยาแรงนั้นใช้ไม่ได้ผลกับวงการสงฆ์ เห็นได้ชัดจากกรณีของวัดพระธรรมกายที่ประกาศให้วัดพระธรรมกายเป็นพื้นที่ควบคุมเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2560 เพื่อนำพระธัมมชโยมาดำเนินคดี แต่ไม่พบจนต้องยกเลิกไปเมื่อ 11 เมษายน 2560

รัฐบาลต้องการแก้ปัญหาในวงการสงฆ์ แต่กลับส่งพันตำรวจโทพงศ์พร มาเป็น ผอ.สำนักพุทธฯ เพียงคนเดียว ท่ามกลางหน่วยงานแห่งนี้ที่ทำงานคู่กับมหาเถรสมาคมมาโดยตลอด อีกทั้งอดีต ผอ.สำนักพุทธฯ อย่างนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ นายพนม ศรศิลป์ และนางสาวประนอม คงพิกุล อดีตรองผู้อำนวยการ ก็ถูกตรวจสอบในเรื่องคดีเงินทอน

ท่ามกลางองค์กรที่เป็นคู่คดีความ การจะหาความร่วมมือจากข้าราชการในหน่วยงานนี้ย่อมทำได้ลำบาก เอกสารถูกทำลายหรือดึงเรื่องต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นมาแล้ว ไม่เพียงเท่านั้นพระชั้นผู้ใหญ่ต่างรวมตัวกันกดดันการทำงานของพงศ์พรมาโดยตลอด เมื่อมาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบอย่างนี้แล้ว และรัฐมนตรีที่กำกับดูแลหน่วยงานนี้ก็เป็นไปในทางที่เกรงอกเกรงใจพระชั้นผู้ใหญ่ในมหาเถรสมาคมที่ออกมากดดัน

เมื่อเป็นเช่นนี้ทุกอย่างก็ต้องคาไว้ที่ตรวจสอบเรื่องเงินทอนวัดเพียง 12 วัดเท่านั้น หากจำกันได้กำลังมีการขยายการตรวจสอบไปยังวัดใหญ่แถวภาษีเจริญ แต่ก็เลื่อนมาตลอด สำหรับ ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่ที่จะเข้ามารับหน้าที่จะกล้าตรวจสอบต่อหรือไม่ แม้ว่าหน้าที่ดังกล่าวเป็นของตำรวจปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) แต่ทุกอย่างก็ต้องขึ้นกับนโยบายของรัฐบาล

“หากรัฐบาลต้องการ ผอ.สำนักพุทธฯ คนใหม่ ที่ทำงานร่วมกับมหาเถรสมาคมได้ ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องการตรวจสอบเงินทอนวัดหรือตรวจสอบงบประมาณโรงเรียนพระปริยัติธรรมคงต้องยุติลง”


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ย้าย พงศ์พร สมใจ พระผู้ใหญ่ ปิดฉาก คดีทุจริตเงินทอนวัด

view