สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ย้อนรอยประเทศไทยสามารถ ปลดธงแดง ได้สำเร็จ

ย้อนรอยประเทศไทยสามารถ “ปลดธงแดง” ได้สำเร็จ

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2560 ที่สำนักงานใหญ่ขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization หรือ ICAO) นครมอนทรีออล ประเทศแคนาดา ได้มีการประชุม ICAO SSC Committee พิจารณาเห็นชอบให้ประเทศไทยพ้นจากการเป็นประเทศที่มีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัย (Significant Safety Concerns) และด้วยผลจากมติดังกล่าว สถานภาพในเว็บไซต์ของ ICAO ในส่วนของ Safety Audit Results ซึ่งเคยมีรูปธงแดงอยู่ด้านหน้าชื่อประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2558 ได้รับการถอดออก ทำให้ประเทศไทยสามารถ “ปลดธงแดง” ได้สำเร็จ

มติดังกล่าวเป็นผลมาจากในช่วงวันที่ 20-27 กันยายน 2560 ที่ผ่านมา ICAO ได้ส่งคณะผู้ตรวจสอบ (ICAO Coordinated Validation Missionหรือ ICVM) เข้ามาตรวจสอบยืนยันความก้าวหน้าและความครบถ้วนของการดำเนินงานของสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) หรือ CAAT ในการแก้ไขข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยจำนวน 33 ข้อและกรณีต่อเนื่องอีก 35 ข้อ ในเรื่องเกี่ยวกับกระบวนการออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศ รวมถึงได้เยี่ยมชมระบบการจัดการความปลอดภัยของสายการบินที่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่แล้ว 2 สายการบิน

การปลดธงแดงดังกล่าวเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยอมรับการดำเนินการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนของประเทศไทย ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลของความร่วมมือร่วมใจและความมุ่งมั่นของทั้งระดับนโยบายและผู้ปฏิบัติของภาครัฐ ซึ่งได้แก่ นายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี คณะรักษาความสงบแห่งชาติ กระทรวงคมนาคม ศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือน คณะกรรมการขับเคลื่อนและปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน คณะที่ ๕ คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการบินพลเรือนและ CAAT สายการบินทุกสาย ทั้งที่ได้รับใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ไปแล้ว 11 ราย และส่วนที่ยังรอการตรวจสอบอีก 10 ราย ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญจากสหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป ที่ CAAT ได้ว่าจ้างและจัดทำความตกลงเพื่อให้เข้ามาช่วยเหลือในด้านเทคนิค

ICAO มีกำหนดที่จะส่งรายงานผลการตรวจสอบอย่างเป็นทางการให้ประเทศไทยภายในเดือนตุลาคมนี้

การปลดธงแดงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการกลับคืนสู่มาตรฐานความปลอดภัยด้านการบิน ในระดับสากล อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยและ CAAT ยังคงมีภารกิจที่ต้องปรับปรุงระบบการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยภายใต้โครงการกำกับดูแลความปลอดภัยสากลอย่างต่อเนื่อง (Universal Safety Oversight Audit Program-Continuous Monitoring Approach : USOAP-CMA) และด้านการรักษาความปลอดภัยภายใต้โครงการกำกับดูแลการรักษาความปลอดภัยสากลอย่างต่อเนื่อง (Universal Security Audit Program-Continuous Monitoring Approach : USAP-CMA) เพื่อให้ประเทศไทยอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก

รวมถึงการแก้ไขข้อบกพร่องด้านความปลอดภัยอื่นๆ ที่ ICAO ได้ระบุไว้ในการตรวจสอบเมื่อมกราคม 2558 และในการตรวจสอบด้านการรักษาความปลอดภัยเมื่อวันที่ 11 – 21 กรกฎาคมที่ผ่านมา ให้ครบทุกข้อ

ทั้งนี้ กพท.ตั้งเป้าหมายที่จะทำให้ระดับประสิทธิผลของการนำมาตรฐานของ ICAO มาปฏิบัติในประเทศ (Effective Implementation) ของไทยไม่ต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของประเทศสมาชิกทั้งหมดของ ICAO


อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป หลัง ICAO ปลดล็อกธงแดง?

จากประชาชาติธุรกิจ

EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ วิเคราะห์ เรื่อง อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป หลัง ICAO ปลดล็อกธงแดง?

องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ประกาศปลดธงแดงประเทศไทยจากประเทศที่มีข้อบกพร่องที่มีนัยสำคัญต่อความปลอดภัยด้านการบิน (SSC) หลังจาก ICAO เข้ามาตรวจสอบไทย ในช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยการปลดธงแดง จะส่งผลให้สายการบินสัญชาติไทยสามารถเปิดเส้นทางใหม่ เพิ่มความถี่เที่ยวบิน เปลี่ยนขนาดเครื่องบินและให้บริการแบบเช่าเหมาลำ (Chartered flight) ในประเทศที่มีมาตรการออกมาระงับการบิน เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ทั้งนี้ ICAO ได้ปักธงแดงไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2015 จากปัญหาด้านการกำกับดูแลด้านมาตรฐานความปลอดภัยการบินพลเรือน จึงส่งผลให้ไทยจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลใหม่คือ สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (CAAT) เพื่อแก้ไขปัญหา 2 ส่วนหลักคือ การออกใบรับรองผู้ดำเนินการเดินอากาศใหม่ (AOC Certification) และการแก้ไขข้อบกพร่อง SSC 33 ข้อ

อีไอซีมองว่าการปลดธงแดงจะส่งผลดีต่อไทยทั้งในอุตสาหกรรมการบินและการท่องเที่ยว สำหรับอุตสาหกรรมการบิน การปลดธงแดงจะช่วยสร้างความเชื่อถือของหน่วยงานด้านการบินของไทย และสร้างความเชื่อมั่นต่อนักท่องเที่ยวในการเลือกใช้สายการบินสัญชาติไทย อีกทั้งยังอาจส่งผลให้สำนักงานบริหารองค์กรการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (FAA) ปรับเพิ่มระดับมาตรฐานด้านการบินของไทยจากประเภท 2 ซึ่งห้ามการเปิดเส้นทางใหม่ในสหรัฐฯ เป็นประเภท 1 ดังเดิมก่อนถูกปักธงแดง สำหรับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมีแนวโน้มจะปรับเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการเดินทางในรูปแบบการเช่าเหมาลำ เนื่องจากหลายสายการบินที่ได้ AOC recertification สามารถกลับมาให้บริการได้แล้ว

การแข่งขันระหว่างสายการบินมีแนวโน้มรุนแรงยิ่งขึ้นจากการเปิดเส้นทางใหม่และการขาดแคลนบุคลากร ซึ่งในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา มีหลายสายการบินเตรียมเปิดให้บริการในเส้นทางยอดนิยม เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จากสนามบินหลักอย่าง สุวรรณภูมิและดอนเมืองหรือจากสนามบินรองอื่นๆ เช่น อู่ตะเภา เชียงใหม่ ภูเก็ต นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของเที่ยวบินยังส่งผลให้เกิดการแข่งขันเพื่อแย่งชิงบุคลากรด้านการบิน เช่น นักบิน แอร์โฮสเตส วิศวกร และช่างเทคนิค เป็นต้น
อีไอซีมองข้อจำกัดจากปัญหาด้าน time slot และความจุของสนามบินทั้งในไทยและต่างประเทศ อาจทำให้การเพิ่มความถี่และเปิดเที่ยวบินใหม่ไม่ราบรื่นนัก ในปัจจุบัน สนามบินในไทยหลายแห่งเริ่มมี time slot ที่หนาแน่นแล้ว ประกอบกับจำนวนผู้โดยสารที่เกินขีดความสามารถในการรองรับ ในขณะเดียวกัน สนามบินในต่างประเทศ โดยเฉพาะสนามบินในเส้นทางที่ได้รับความนิยม เช่น นาริตะของญี่ปุ่น และอินชอนของเกาหลีใต้ ก็ประสบกับปัญหาที่คล้ายคลึงกัน ทำให้การเพิ่มความถี่และขยายเส้นทางอาจทำได้ไม่ง่ายนัก

แผนการพัฒนาไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการบิน (Aeropolis) และศูนย์ซ่อมบำรุงอากาศยาน (MRO) มีโอกาสประสบความสำเร็จเพิ่มสูงขึ้น นอกจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมด้านการบินแล้ว การที่ CAAT สามารถปรับปรุงให้มีมาตรฐานในระดับโลกได้ จะช่วยสร้างภาพลักษณ์ ความเชื่อมั่นและดึงดูดผู้ประกอบการต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในโครงการทั้งสองมากยิ่งขึ้น


กสิกรฯชี้ ICAO ปลดธงแดงไทย หนุนรายได้ธุรกิจสายการบินปี’61 เฉียด 3 แสนล้าน

จากประชาชาติธุรกิจ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า นับว่าเป็นข่าวดีอย่างมากที่องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization หรือ ICAO) ได้ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยบนเว็บไซต์ของ ICAO หลังจากที่ได้ขึ้นธงแดงตั้งแต่ มิถุนายน ปี 2558 อันส่งผลให้ธุรกิจสายการบินของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายที่หลากหลายอย่าง ต่อเนื่องตามมา ทั้งการปรับลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยด้านการขนส่งทางอากาศจากระดับปกติ (Category1) เป็นระดับที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (Category2) ขององค์การบริการการบินแห่งสหรัฐอเมริกา (Federal Aviation Administration หรือFAA) และความคลางแคลงใจในมาตรฐานความปลอดภัยจากนานาประเทศ จนนำไปสู่การที่เครื่องบินของไทยถูกตรวจสอบ ณ ลานจอด (Ramp Inspections) ในท่าอากาศยานต่างประเทศเข้มข้นขึ้น โดยแม้ผลกระทบจะอยู่ในวงจำกัดเพียงถูกตั้งข้อจำกัดการปฏิบัติการทางการบิน จากญี่ปุ่น และเกาหลีใต้จากกรณีปัญหา ICAO[1] และจากสหรัฐอเมริกากรณีปัญหา FAA[2] เท่านั้น แต่ผลกระทบทางด้านภาพลักษณ์มีซึ่งระยะเวลายาวนานกว่า 2 ปี เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจสายการบินของไทย รวมถึงการที่ภาครัฐได้มุ่งเป้าให้อุตสาหกรรมการบินเป็นกลไกสำคัญในการผลัก ดัน EEC และเศรษฐกิจของประเทศในระยะข้างหน้า   

จับตาท่าทีของญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ FAA ภายหลัง ICAO ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทย คาดว่า จะส่งผลให้รายได้ของธุรกิจการบินในไตรมาสสุดท้ายของปีเพิ่มขึ้นกว่า 1,300 ล้านบาท

สำหรับผลกระทบที่มีต่อธุรกิจสายการบินของไทยที่เกิดจากการตั้งข้อจำกัดทางการบินนั้น เริ่มตั้งแต่ ICAO ได้มีคำเตือนเกี่ยวกับมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินของไทยให้แก่ภาคีสมาชิก ทราบ คือ ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2558 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 2 ปี 7 เดือน คิดเป็นมูลค่าค่าเสียโอกาสของสายการบินของไทยทั้งสิ้นกว่า 11,300 ล้านบาท โดย หลังจากนี้ คาดว่า ภาคีสมาชิกอย่างญี่ปุ่น และเกาหลีใต้[3] น่าจะมีการยกเลิกการตั้งข้อจำกัดที่มีต่อสายการบินของไทย ส่งผลให้ไทยสามารถขยายตลาดการบินไปยังประเทศทั้งสองได้ภายในช่วงตารางบินฤดู หนาวปีนี้ (ปลายตุลาคม 2560-ปลายมีนาคม 2561) เช่นเดียวกับ FAA ที่น่าจะมีท่าทีต่อการปรับอันดับของสายการบินของไทยให้กลับมาอยู่ระดับปกติ /Category1 (ได้มาตรฐานของ ICAO) ในเร็ววันนี้ ยังผลให้สายการบินของไทยสามารถกลับไปบินยังเส้นทางสหรัฐอเมริกา ซึ่งสอดคล้องกับแผนการดำเนินการของสายการบินที่ได้กำหนดไว้[4] โดยคาดว่าจะสามารถกลับมาบินได้ภายในช่วงตารางบินฤดูร้อนปีหน้า (ปลายมีนาคม-ปลายตุลาคม 2561)

ดังนั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า สถานการณ์การบินของไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2560 หลังจาก ICAO ปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยจะเติบโตอย่างคึกคักขึ้น จากเดิมที่ได้ทวีบทบาทอย่างน่าจับตามองในระยะที่ผ่านมา และผลดังกล่าวจะต่อเนื่องไปยังปี 2561 ให้ธุรกิจการบินของไทยเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ โดย คาดว่า ธุรกิจสายการบินของไทยในปี 2560 จะมีรายได้ประมาณ 278,900 ล้านบาท และน่าจะแตะ 294,500 ล้านบาท ในปี 2561 มากกว่ากรณีที่ ICAO ยังคงติดธงแดง คิดเป็นมูลค่า 1,300 และ 8,400 ล้านบาท ตามลำดับ

นอกจากนี้ ผลจากการที่ ICAO ปลดธงแดง ยังจะเป็นการเรียกความเชื่อมั่นให้กลับมาสู่ธุรกิจสายการบินของไทย และเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญให้กับนโยบายของภาครัฐซึ่งวางแผนให้อุตสาหกรรม การบินเป็นฟันเฟืองหลักในการผลักดันโครงการ EEC หรือ เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ให้สามารถเกิดขึ้นได้ผ่านโครงการเมืองการบิน หรือ อู่ตะเภา Aerotropolis อีกด้วย

ความเชื่อมั่นในมาตรฐานความปลอดภัยทางการบินของไทย …รากฐานสำคัญสู่การพัฒนาอู่ตะเภา Aerotropolis

อู่ตะเภา Aerotropolis หรือ เมืองการบิน เป็นโครงการยุทธศาสตร์ที่รัฐบาลคาดหวังให้เป็นกลไกหลักในการพัฒนา EEC ซึ่งถูกตั้งเป้าให้เป็นพื้นที่เศรษฐกิจเพื่อดึงดูดการลงทุนอุตสาหกรรมที่ใช้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมระดับสูง อันจะเป็นการยกระดับขีดความสามารถของประเทศ หลังจากที่ไทยต้องเผชิญโจทย์การชะลอตัวของเศรษฐกิจในระยะที่ผ่านมา โดยอู่ตะเภา Aerotropolis จะเป็นการใช้จุดเด่นจากการเชื่อมโยงของท่าอากาศยานอู่ตะเภาดึงดูดการลงทุน ที่จะก่อให้เกิดเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจโดยมีท่าอากาศยานเป็นแกนหลักให้ ธุรกิจและอุตสาหกรรมในรัศมีโดยรอบพึ่งพา โดยความเชื่อมโยงของท่าอากาศยาน นอกจากจะนำมาซึ่งจำนวนเที่ยวบิน นักท่องเที่ยว และสินค้าที่ขนส่งทางอากาศ ที่นำไปสู่การพัฒนาเชิงพาณิชย์แล้ว ยังจะดึงดูดเม็ดเงินการลงทุนขนาดใหญ่จากต่างประเทศในอุตสาหกรรมที่หวัง พึ่งพาท่าอากาศยานในการเชื่อมโยงไปยังซัพพลายเออร์และตลาดสำคัญต่างๆ ทั่วโลกได้

การปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยของ ICAO จะเป็นแรงขับเคลื่อนความเชื่อมั่นต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมการบินของไทย โดย ICAO จะยืนยันถึงการมีการกำกับดูแลที่ดีของรัฐในด้านมาตรฐานทางการบินซึ่งรวมถึง การเดินอากาศ สนามบิน และการบริการภาคพื้นดิน ที่จะสอดรับกับความมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์กลางทางการบินภูมิภาคของไทย อันจะสะท้อนผลไปยังห่วงโซ่การผลิตของอุตสาหกรรมการบินโดยรวมอย่าง ธุรกิจบริการภาคพื้นดิน ธุรกิจคลังสินค้า อุตสาหกรรมซ่อมบำรุงอากาศยาน (Maintenance, Repair, and Overhaul: MRO) และอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยานให้ขยายตัวไปในทิศทางเดียวกัน กระทั่งผลักดันให้อู่ตะเภา Aerotropolis สามารถเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยปัจจุบันก็ได้มีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ระดับโลกทั้งจากจีน ฝรั่งเศส และสวีเดน ให้ความสนใจเข้ามาลงทุนธุรกิจโลจิสติกส์ ธุรกิจซ่อมบำรุงอากาศยาน และธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอากาศยานในพื้นที่บ้างแล้ว นอกจากนี้ ในระยะข้างหน้า อู่ตะเภา Aerotropolis จะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมซึ่งส่วน ใหญ่พึ่งพาการขนส่งทางอากาศเป็นหลัก อันจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา EEC ต่อไปในอนาคต   

 โดยสรุป การปลดธงแดงหน้าชื่อประเทศไทยนั้น ไม่เพียงแต่จะส่งผลบวกต่อธุรกิจสายการบินเท่านั้น แต่ยังจะเป็นส่วนสำคัญต่อภาคอุตสาหกรรมการบินโดยรวมของไทย ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างเมืองการบินที่จะใช้เป็นแกนหลักเพื่อดึงดูด การลงทุนและนวัตกรรมจากต่างชาติ อันจะปฏิรูปภาคการผลิตไทยไปสู่ยุคดิจิทัลเทคโนโลยี นำมาซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน และมีมูลค่าอีกมหาศาลที่ยากจะประเมินได้

[1] Japan Civil Aviation Bureau (JCAB) ของญี่ปุ่นและKorea Office of Civil Aviation ของเกาหลีใต้ ห้ามทุกสายการบินของไทยที่ไปยังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เพิ่มเที่ยวบิน ปรับเปลี่ยนเส้นทาง และขนาดเครื่องบิน

[2] FAA ตั้งข้อจำกัดต่อสายการบินที่ถูกจัดอันดับต่ำกว่ามาตรฐาน (Category 2) โดยห้ามเพิ่มเที่ยวบิน ปรับเปลี่ยนเส้นทาง และขนาดเครื่องบิน

ที่ไปยังสหรัฐอเมริกา และห้ามทำ Code Share กับสายการบินของสหรัฐอเมริกา

[3] ICAO มีบทบาทเพียงแจ้งผลการตรวจสอบให้ภาคีสมาชิกทั้ง 191 ประเทศรับรู้ ซึ่งการมีมาตรการต่อสายการบินของไทยขึ้นอยู่กับดุลพินิจของประเทศนั้นๆ

[4] สหรัฐอเมริกาไม่ได้ห้ามเที่ยวบินของไทยเข้าประเทศ แต่เนื่องจากสายการบินของไทยได้ยกเลิกเส้นทางการบินไปยังสหรัฐอเมริกาเมื่อ เดือนตุลาคม 2558 ก่อนที่ FAA จะประกาศลดอันดับมาตรฐานความปลอดภัยเมื่อเดือนธันวาคม 2558 ส่งผลให้เกิดข้อจำกัดในการขอทำการบินใหม่


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ย้อนรอยประเทศไทย สามารถ ปลดธงแดง สำเร็จ

view