สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ผอ.นิด้าโพล ลั่นลาออกเหตุถูกผู้บริหารระงับ ผลสำรวจความเห็น นาฬิกาฉาวบิ๊กป้อม

ผอ.นิด้าโพล ลั่นลาออกเหตุถูกผู้บริหารระงับ ผลสำรวจความเห็น “นาฬิกาฉาวบิ๊กป้อม

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

MGR Online - ผอ.นิด้าโพล ประกาศลาออก หลังผลสำรวจ “นาฬิกาฉาวนักการเมือง” ถูกผู้บริหารมหาวิทยาลัยระงับกะทันหัน ชี้ต้องเคารพเสรีภาพทางวิชาการและให้เกียรติกัน ระบุเป็นความกล้าหาญทางจริยธรรม ที่มิอาจทรยศต่อประชาชนและความถูกต้องได้ เผยผลสำรวจประชาชนมากกว่า 85% ไม่เชื่อนาฬิกา “บิ๊กป้อม” ขอยืมเพื่อนมา

วันนี้ (28 ม.ค.) รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Phichai Ratnatilaka Na Bhuket ระบุว่า “ได้ข่าวยืนยันมาแล้วว่า โพลสุดท้ายที่ทำเสร็จแล้ว แต่ยังไม่เผยแพร่สัปดาห์นี้ ของ ผอ.นิด้าโพล เป็นเรื่องเกี่ยวกับการยืมนาฬิกา ถูกผู้บริหารสถาบันระงับการเผยแพร่ ท่าน ผอ.จึงตัดสินใจลาออก เอวัง..ครับ สำหรับเสรีภาพทางวิชาการ ในสถาบันการศึกษาระดับสูงของประเทศ หากผู้บริหารมีวิธีคิดเช่นนั้น”

ขณะที่เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich ของ อ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ ผู้อำนวยการศูนย์สำรวจความคิดเห็นนิด้าโพล ซึ่งเพิ่งเข้ารับตำแหน่งได้เพียงไม่นานก็ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ตนจะยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล ในวันพรุ่งนี้ (29 ม.ค.) เนื่องจากไม่อาจละทิ้งเสรีภาพทางวิชาการ ไม่อาจทรยศต่อประชาชนและความถูกต้องได้

“ผมลาออกจากตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล พรุ่งนี้เช้าครับ เสรีภาพทางวิชาการและการให้เกียรติกัน สำคัญที่สุดสำหรับผม แม้ไม่มีตำแหน่งใดๆ ผมก็มีที่ยืนในสังคมได้ เพราะยืนอยู่บนความถูกต้องมาโดยตลอด ผมสนับสนุนรัฐประหารและสนับสนุนรัฐบาลอยู่ แต่ถ้าสิ่งใดที่ไม่ถูกต้องหรือไม่เป็นธรรม ผมก็ไม่จำเป็นต้องเลีย top boot นะครับ ยิ่งมีหลักฐานทางวิชาการที่รัดกุมเป็นความคิดเห็นของประชาชน หน้าที่ผมในฐานะนักวิชาการยิ่งต้องนำเสนออย่างตรงไปตรงมา ตำแหน่งบริหารใดๆ ในสถาบัน ผมไม่รับเงินค่าตอบแทนอยู่แล้ว เพราะถือว่าเป็นตำแหน่งทางการเมือง ต้องทำด้วยความเสียสละ และยืนอยู่บนความกล้าหาญทางวิชาการ เสรีภาพทางวิชาการ และความกล้าหาญทางจริยธรรม หากไม่สามารถธำรงสิ่งเหล่านี้ไว้ได้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ในตำแหน่ง ผอ.นิด้าโพล ซึ่งต้องทำหน้าที่สะท้อนความคิดเห็นของประชาชนอย่างซื่อสัตย์ และกล้าหาญ ผมจะไม่มีวันทรยศต่อประชาชนและความถูกต้อง” อ.ดร.อานนท์ระบุ

จากข้อมูลที่ทีมข่าว MGR Online ได้รับทราบ หัวข้อของการสำรวจความคิดเห็นในสัปดาห์นี้ คือ เรื่อง “นาฬิกาหรูที่ยืมเพื่อน แค่บิดเบือนหรือพูดความจริง” โดยประชาชนมากกว่าร้อยละ 85 ไม่เชื่อว่าการที่นักการเมืองอ้างว่าทรัพย์สินมูลค่าสูงมากที่ครอบครองมาจากการหยิบยืมเพื่อน ขณะที่ปัจจุบันผู้ดำรงตำแหน่งอธิการบดีของสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) คือ รองศาสตราจารย์ ดร.ประดิษฐ์ วรรณรัตน์

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 นายวรวิทย์ สุขบุญ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงข่าวเปิดเผยว่า การสอบสวนเรื่องแหวนเพชรและนาฬิกาหรูของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จำเป็นต้องตรวจสอบให้ชัดเจน แต่หากถ้านาฬิกาทั้งหมดเป็นของบุคคลอื่น พล.อ.ประวิตร ก็ไม่จำเป็นต้องแสดงรายการทรัพย์สิน ขณะเดียวกันก็แจ้งด้วยว่า พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช.ได้แจ้งต่อที่ประชุมแล้วว่า หากมีวาระเรื่องของการพิจารณากรณีนาฬิกาหรูนี้ก็จะขอถอนตัวไม่เข้าร่วมพิจารณาสำนวนนี้


อย่างนี้ก็ได้เหรอ? โซเชียลฯ ถาม “บิ๊กป้อม” อายไม่อายใส่นาฬิกาหรูเพื่อนไปงานศพเพื่อน

MGR Online - แฉ “บิ๊กป้อม” อีก เผยภาพใส่นาฬิกาคล้าย Richard Mille ของ “เสี่ยคราม” เพื่อนซี้ไปเป็นประธานงานศพเจ้าตัวที่วัดโสมฯ เมื่อ 4 ก.พ. 60 เพจ CSI LA ถามใส่นาฬิกายืมเพื่อนไปงานศพเพื่อนที่ให้ยืมอย่างนี้อายบ้างไหม ฝากนักข่าวไปถามรองนายกฯ อีกรอบ 

วานนี้ (27 ม.ค.) เฟซบุ๊ก CSI LA ได้เผยแพร่ภาพถ่าย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เมื่อวันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2560 ระหว่างที่ พล.อ.ประวิตร ป็นประธานในพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพและเป็นประธานในพิธีสวดพระอภิธรรมศพ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ณ ศาลา 10 ฌาปนสถานกองทัพบก ณ วัดโสมนัสวิหาร โดยมี พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม และ พล.อ.เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ร่วมในพิธี โดยภาพดังกล่าวนำมาจากเว็บไซต์ http://chapanakit-rta.com/news-detail.php?newsid=350 ของกองการฌาปนกิจ สก.ทบ.


ผู้ดำเนินการเพจ CSI LA ได้ตั้งคำถามต่อว่า “คนอะไรน่าไม่อาย ใส่นาฬิกาเพื่อนไปงานศพเพื่อน ฝากเพื่อนๆ ช่วยกันดูด้วยว่า นาฬิกาที่ พล.อ.ประวิตรใส่ ว่าเป็นยี่ห้ออะไร ใช่ Richard Mille หน้าปัดดำที่ผมเคยลงไปเเล้วไหม ยืมมาถึงธันวาคมปลายปีเลยนะครับ ฝากนักข่าวนำเรื่องนี้ไปสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตรหน่อยครับ”

สำหรับ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ หรือเสี่ยคราม นั้นคือเจ้าสัวคอมลิงค์และเพื่อนสนิทร่วมโรงเรียนเซนต์คาเบรียลของ พล.อ.ประวิตร ซึ่งคบหากันมาตลอด 60 ปี โดยนายปัฐวาทเสียชีวิตเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 16 มกราคม 2561 ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีที่มานาฬิกาหรูถึง 24 เรือนว่าเป็นการวนเอาเรือนเก่าออกมา โดยตนไม่เป็นไร ขอให้ทาง ป.ป.ช.ตรวจสอบ ถ้าตนผิด ตนก็ออก โดยเมื่อผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ปกติเป็นคนชอบสะสมนาฬิกาใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตรตอบว่า "ผมไม่มีหรอก ผมมีเพื่อน เพื่อนเอามาให้ผมใส่ แค่นั้นเอง และก็คืนเขาทั้งหมดทุกเรือน”


ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.
ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.


ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.
ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.


ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.
ภาพจากเว็บไซต์ chapanakit-rta.com ของ กองการฌาปนกิจ สก.ทบ.

เปิดอาณาจักร “เสี่ยคราม-ปัฐวาท” เพื่อนซี้ของ “ป๋าป้อม” แห่งคอม-ลิงค์

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ชื่อของ “เสี่ยคราม-ปัฐวาท สุขศรีวงศ์” กลับมาโลดแล่นอีกครั้งหลังจาก “บิ๊กกี่-พล.อ.นพดล อินทปัญญา” เพื่อนซี้ของ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” ออกมาเปิดเผยว่าเป็น “เจ้าของนาฬิกา” ทั้ง 25 เรือน และทำให้สังคมเกิดความสงสัยว่า เสี่ยครามคือใคร มีสายสัมพันธ์กับบิ๊กป้อมอย่างไร

ชื่อของเสี่ยคราม ปรากฏออกมาพร้อมๆ กับชื่อของ “หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล” เนื่องเพราะเขาทั้ง 2 คนคือเพื่อนร่วมโรงเรียนเซนต์คาเบรียลของบิ๊กป้อม และถักทอสายสัมพันธ์ผ่าน “เซ็นต์คาเบรียลคอนเนกชั่น” โดยนอกจากความเป็นเพื่อนแล้ว หม่อมอุ๋ยยังเป็น “หุ้นส่วนธุรกิจ” กับ “เสี่ยคราม” ในอาณาจักร “คอม-ลิงค์” อีกต่างหาก

“เป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนเซนต์คาเบรียล เป็นเพื่อนกัน เป็นพาร์ทเนอร์ของผมทางธุรกิจ แต่ไม่ได้คลุกคลีกัน ถามว่าสนิทไหมก็สนิทในทางธุรกิจ แต่ใครยืมนาฬิกาใครนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เหมือนเป็นวงเล็กๆ ที่เขาคุยกัน แต่นายปัฐวาทเป็นคนที่ชอบและสะสมนาฬิกาจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าให้พล.อ.ประวิตร ยืมหรือไม่”หม่อมอุ๋ยอมรับว่าเป็นเพื่อนกับ นายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ พร้อมกับให้คำแนะนำเพื่อนป้อมดังๆ ด้วยว่า “สถานการณ์บีบคั้นขนาดนี้เป็นผมลาออกดีกว่า” 

แน่นอน ถ้าจะกล่าวถึงอาณาจักรคอม-ลิงค์และนายปัฐวาท ก็ต้องเอ่ยถึงเชื่อของ “นายศิริธัช โรจนพฤกษ์” อดีตเจ้าหน้าที่สถานทูตซึ่งสามารถผนึกกำลังของกลุ่มทุนใหญ่แห่งเมืองไทยได้อย่างลงตัวแบบเงียบๆ ในช่วงก่อกำเนิดก่อนที่แผ่ขยายอาณาจักรธุรกิจออกไปในอีกหลายแขนงและหลายสาขา

คอม-ลิงค์เป็นที่รู้จักในแวดวงธุรกิจสื่อสารและโทรคมนาคมเป็นครั้งแรกเมื่อสามารถชนะการประมูลโครงการเคเบิลใยแก้วนำแสงตามรางรถไฟของ “องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย(ทศท.)” โดยสามารถเฉือนคู่แข่งอีก 4 ราย ไปได้ ทั้งๆ ที่ผู้เข้าประมูลอีก 4 ราย ล้วนแต่เป็นบริษัทโทรคมนาคม ข้ามชาติ ที่มีประสบการณ์ในธุรกิจโทรคมนาคมมาแล้วทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ผลิตอุปกรณ์โทรคมนาคม และผู้รับเหมาติดตั้งอยู่แล้ว แต่ทั้งหมดนี้กลับพ่ายแพ้ให้กับคอม-ลิงค์ ซึ่งเป็นบริษัท ใหม่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ธุรกิจโทรคมนาคมมาก่อน 

ก่อนหน้าที่จะเข้าประมูลงาน คอม-ลิงค์เป็นเพียงบริษัทเล็กๆ แห่งหนึ่งตามที่แจ้งไว้กับกองทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่าบริษัทเปิดขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจเป็นผู้ขายปลีก มีทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีทัศนีย์ อินทามระ และ นงลักษณ์ โมฬีนนท์ เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ต่อมาในปี 2532 หันมาทำธุรกิจเครื่องเหล็ก แต่ก็ยังไม่ปรากฏว่ามีรายได้จากธุรกิจแต่อย่างใด 

ผลปรากฏว่า บริษัทค้าเครื่องเหล็กแห่งนี้ กลับชนะประมูลบริษัทโทรคมนาคมข้ามชาติ ที่เป็นทั้งผู้ผลิตอุปกรณ์ และมีประสบการณ์ติดตั้งไปได้อย่างขาดลอย ซึ่งนั่นต้องถือว่าเป็นเรื่องไม่ธรรมดา 

ศิริธัช เป็นศิษย์เก่าโรงเรียนเซ็นต์คาเบรียล มีเพื่อนฝูงร่วมสถาบันที่อยู่ในแวดวงการเมือง และนักธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็น กร ทัพพะรังสี, ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล, เสรี จินตเสรี รวมทั้งปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนรักของบิ๊กป้อม อดีตผู้บริหารองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย

ในห้วงเวลานั้น เป็นที่รับรู้กันว่าปัฐวาทคือมือขวาคนสนิทของไพบูลย์ ลิมปพยอม อดีตผู้ว่าการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยในยุคก่อนแปรรูปเป็นบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นจักรกลคนสำคัญแห่งอาณาจักรชินวัตร สนิทสนมเป็นอันดีกับพร้อง ชีวานันท์ ที่ปรึกษาคนสนิทของมนตรี พงษ์พานิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมในเวลานั้น 

หลังจาก “คอม-ลิงค์” ได้โครงการเคเบิลใย-แก้วนำแสงจากองค์การโทรศัพท์ฯ ในปี 2533 บริษัทคอม-ลิงค์ก็แปรสภาพจากบริษัทค้าเครื่องเหล็ก กลายมาเป็น บริษัทโทรคมนาคมที่รับสัมปทานจากองค์การโทรศัพท์ฯ เพิ่มทุนจดทะเบียน ทันทีจาก 1 ล้านบาทมาเป็น 150 ล้านบาท จากนั้นก็มีขาใหญ่จากตระกูลดังตบเท้าเข้ามาร่วมวงเป็นลำดับ อาทิ วีรพล อดิเรกสาร เป็นน้องชายของปองพล อดิเรกสาร ส.ส.พรรคชาติไทย พล.ต.ต.วิมล อิน-ทามระ อมร โมฬีนนท์, สุพิน โมฬีนนท์, ทัศนีย์ อินทามระ ศศิธร สุวรรณกุล รวมทั้งคนในตระกูลล่ำซำ ภิรมย์ภักดีและกลุ่มเจริญโภคภัณฑ์

ที่ต้องขีดเส้นใต้ไว้คือมี ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล หรือ หม่อมอุ๋ย มาเป็นประธานคอม-ลิงค์ และเป็นผู้เปิดตัวคอม-ลิงค์สู่สาธารณชน และ เสรี จินตนเสรี อดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มาเป็นที่ปรึกษาด้านกฎหมาย 

ต่อมาคอม-ลิงค์หันมาทำธุรกิจรับติดตั้งระบบเน็ทเวิร์ค ซึ่งสามารถใช้ประสบการณ์เดิม ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยกว่า โดยตั้งบริษัทไฮเทค เน็ทเวิร์ค ให้บริการคำปรึกษาและรับติดตั้งระบบ ด้านโทรคมนาคม เพื่อรับงานประมูลติดตั้งระบบเครือข่ายให้กับหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่างๆ ปรากฏว่า บริษัทแห่งนี้ก็เข้า ไปประมูลงานติดตั้งระบบเน็ทเวิร์คในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลายโครงการ จากนั้นในช่วงปี 2537-2538 การ รถไฟฯ เปิดประมูลติดตั้งระบบขายตั๋วโดยสารและที่นั่งเพื่อออกตั๋วรถไฟ คอม-ลิงค์ก็เสนอตัวเข้าไปประมูลในนามของบริษัทปรีดาปราโมทย์ ปรากฏ ว่าเอาชนะยูคอม ซึ่งเป็นตัวเก็งในช่วงนั้นไปได้ 

นอกจากคอม-ลิงค์จะมีสายสัมพันธ์ที่ดีกับการรถไฟฯ แล้ว หากมองลึกลงไป โครงการนี้เริ่มมาในสมัย ที่ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ เลขานุการพรรค ชาติพัฒนา เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ดูแลการรถไฟฯ รวมถึงยังไปลงทุน ในบริษัทโรงแรมราชดำริ หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโรงแรมรีเจ้นท์ จำนวน 1.56% 

ขณะเดียวกัน “คอม-ลิงค์” ยังเข้าไปลงทุนในธุรกิจพลังงานในชื่อ บริษัท อีเทอเนิล เอนเนอยี จำกัด (มหาชน) (EE - Ethanol Energy)โดยทั้ง เว็บไซต์สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รายงาน ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ EE ณ วันที่ 15 มีนาคม 2560 ใน 3 อันดับแรก ประกอบด้วย 1.บริษัท คอม-ลิงค์ จำกัด 636,099,800 หุ้น สัดส่วน 22.88% 2. นาย วรเจตน์ อินทามระ 600,000,000 หุ้น สัดส่วน 21.58% 3.นายศิริธัช โรจนพฤกษ์ 418,688,100 หุ้น สัดส่วน 15.06% มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานกรรมการ/กรรมการอิสระ และ นาย ศิริธัช โรจนพฤกษ์ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ (รักษาการ) / กรรมการ

สำหรับ คอม-ลิงค์ นับจากก่อตั้งจนถึงล่าสุดเปลี่ยนแปลงกรรมการประมาณ 20 ครั้ง โดยปัจจุบันมีชื่อ นายสันติ ภิรมย์ภักดี นายศิริธัช โรจนพฤกษ์ นายธนิตย์ เศรษฐีกุล นายวีระพล อดิเรกสาร นายอรรคณัฏฐ์ คู่อรุณ นางฐิติพร รัตนเพียร ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล น.ส.จุติพร สุขศรีวงศ์ (แทนนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ ) เป็นกรรมการ ณ วันที่ 28 เม.ย.2560 ผู้ถือหุ้น 5 อันดับแรก ได้แก่ นายสันติ ภิรมย์ภักดี 17.50% น.ส.จุติพร สุขศรีวงศ์ 14.44% นายศิริธัช โรจนพฤกษ์ 10.17% นางสุพิน โรจนพฤกษ์ 9.31% ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล 8.33% แจ้งงบการเงินสิ้นสุดปี 2559 รายได้ 214,801,446 บาท กำไรสุทธิ 157,466,702 บาท สินทรัพย์ 5,716,306,453 บาท หนี้สิน 25,658,955 บาท กำไรสะสม 4,943,395,654 บาท

ขณะที่ในยุค “ป๋าป้อม” เรืองอำนาจปรากฏชื่อ 2 กรรมการของ “คอม-ลิงค์” เข้าไปนั่งแป้นแล้นอยู่ใน “มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด” ซึ่งก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเพื่อนซี้ของป๋าป้อมคือ “เสี่ยคราม-ปัฐวาทและหม่อมอุ๋ย” สานสัมพันธ์เซนต์คาเบรียลคอนเนกชั่นให้แน่นแฟ้นเข้าไปอีก

กล่าวสำหรับ “เสี่ยคราม-ปัฐวาท” นั้น สนิทสนมกับ “เพื่อนป้อม” มาเป็นเวลานานดังที่ “บิ๊กกี่” บอกเล่า โดยเป็นเพื่อนที่คอยดูแล พล.อ.ประวิตร ในทุกๆ เรื่องจนอาจกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าเป็นสปอนเซอร์ส่วนตัวของ พล.อ.ประวิตรได้เลยทีเดียว โดยเสี่ยครามถือเป็นขาประจำบ้าน ร.1 รอ. ของ พล.อ.ประวิตร รับประทานข้าวเที่ยงด้วยกันเป็นประจำ

และแน่นอนว่า นายปัฐวาทย่อมเป็นที่รู้จักของทั้งบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา 3 ศรีพี่น้องแห่งบูรพาพยัคฆ์เป็นอย่างดี จะเรียกว่าหลอมรวมกับพี่น้อง “3 ป.” กลายเป็น “ป.ที่ 4” ก็คงจะไม่เกินเลยไปจากความจริงเท่าใดนัก


เพราะเธอหรือเปล่า? ชัยชนะ “ป๋าป้อม” บนความพ่ายแพ้ของประเทศไทย!

ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - ณ เวลานี้ คงไม่มีบทสรุปอะไรจะดีไปเสียกว่าคำว่า “เพื่อคนๆ เดียว” เพราะนับตั้งแต่ปรากฏ “แหวนแม่-นาฬิกาเพื่อน” ของ “ป๋าป้อม-พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทุก “องคาพยพแห่งอำนาจ” ทุกอย่างที่มีอยู่ในมือถูกใช้ออกมาในทุกท่วงท่าและทุกรูปแบบ ทั้งบนดินและใต้ดิน เพื่อปกป้อง “ป๋าป้อม” ให้หลุดพ้นจากความฉาวโฉ่ที่เกิดขึ้น 

ที่สำคัญคือ ใช้โดยมิได้สนใจถึงผลลัพธ์และผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับรัฐบาล กับกระบวนการยุติธรรมและกับประเทศไทยในภาพรวมเลยแม้แต่เพียงนิดเดียว

แน่นอน สุดท้าย “ป๋าป้อม” อาจ “ชนะ” และหลุดพ้นจากคดีไปได้แบบหืดจับ แต่นั่นก็ต้องยอมรับว่า เป็น “ชัยชนะ” ที่ทำลายความชอบธรรมอันพึงมีของทั้งรัฐบาล คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ในการบริหารราชการแผ่นดิน กระทั่งในที่สุดก็กลายเป็นความพ่ายแพ้ของประเทศไทยอีกด้วย

ทั้งนี้ หลัง “ป๋าป้อม” มีบทสรุปให้กับตัวเองในเรื่องนาฬิกาหรู 25 เรือนว่า “ของเพื่อน วนๆ กันใส่ คืนไปหมดแล้ว” ถัดจากนั้น “ขบวนการอุ้ม” ก็ปรากฏขึ้นมาเป็นขั้นเป็นตอน เริ่มต้นจาก “ตัวละครลับ” ผู้เป็นเจ้าของนาฬิกาก็ปรากฏชื่อออกมาสู่สายตาของสาธารณชนว่าคือ “เสี่ยคราม ปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนรักของป๋าป้อมที่เสียชีวิตไปแล้วแห่ง “อาณาจักรคอม-ลิงค์”

และผู้ที่เปิดเผยอย่างเป็นทางการว่าเป็นนาฬิกาของ “เสี่ยคราม” ก็ไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นเพื่อนซี้ร่วมรุ่นเตรียมทหาร 6(ตท.6) อย่าง “บิ๊กกี่-พลเอกนพดล อินทปัญญา” ซึ่งปัจจุบันได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

เพื่อนกี่ออกมายืนยันว่านาฬิกาของเพื่อนป้อมเป็นของเพื่อนคราม โดยออกมายืนยันหลังมีการปล่อยข่าวจาก “แหล่งข่าว” ที่ถูกอ้างอิงว่าเป็น “อดีตนายทหาร” นำร่อง

“นาฬิกาที่พลเอกประวิตรใส่เป็นของนายปัฐวาท สุขศรีวงศ์ เพื่อนสนิทตั้งแต่ สมัยเรียนป.1 รร.เซนต์คาเบรียล ของพลเอกประวิตร จริงๆ เพราะนายปัฐวาท มีฐานะ และเล่นนาฬิกา มีนาฬิกา น่าจะเป็น 100 เรือนและมักจะมีเรือนใหม่ๆ มาโชว์เสมอๆ แล้วก็ให้ พลเอกประวิตร เอาไปใส่เสมอๆ เมื่อใส่แล้ว 2-3 เดือนเบื่อ. ก็เอาไปคืน แล้วก็เอาเรือนใหม่มาใส่อีก. จึงจะเห็นพลเอกประวิตรใส่นาฬิกา ไม่ค่อยซ้ำกัน เป็นอย่างนี้มาตลอดหลายสิบ ปีเพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน พลเอกประวิตรและนาย ปัฐวาท เป็นเสมือนพี่น้อง เพราะห่วงใยรักใคร่กันมาตลอดเวลา 50 -60 ปี ครั้งหนึ่งนายปัฐวาท มีปัญหาสุขภาพที่อเมริกา เรียกว่า เกือบตาย พลเอกประวิตรก็บินไปรับกลับมา พาตัวไปรักษาด้วยตัวเอง ส่วนอีกครั้งหนึ่งนายปัฐวาทมีปัญหาเรื่องขาเป็นแผล เป็นเบาหวาน จนเดินไม่ได้ และเกือบต้องตัดขา พลเอกประวิตรก็พาไปหาหมอเก่งๆ หลายคน หมอจีน หมอทุกแขนง เพื่อรักษา จนหายไม่ต้องตัดขาทิ้ง มันเป็นความรักความผูกพันของเพื่อนรักเพื่อนสนิทที่เป็นเสมือนพี่น้องกันไปแล้ว หรือเรียกว่า เพื่อนตาย ตอนที่ปัฐวาทตาย ป้อมเขาเสียใจมาก เขาไปงานศพ ทุกวันเลย เพราะผูกพัน กันมานาน พลเอกประวิตรและนายปัฐวาทชอบเหมือนกันคือ นาฬิกา และชอบไปทำบุญ เดินสายไปทุกที่ ยิ่งวัดยากจน ก็ไปช่วยกันบริจาค สร้างนั่นสร้างนี่ โดยเฉพาะที่นครพนม พระเจ้ารู้จักหมด”

บิ๊กกี่สาธยายพร้อมบอกด้วยว่า “ผมเองก็เคย เอานาฬิกาของ คุณปัฐวาทมาใส่ แต่ 2 เดือนผมก็เอาไปคืน เพราะผมไม่ชอบนาฬิกา ผมสะสมพระ มากกว่า”

ความจริงก่อนหน้าที่จะปรากฏชื่อ “เสี่ยคราม” ซึ่งดูเหมือนจะเป็นทางออกเพียงหนึ่งเดียวของ “ป๋าป้อม” เพราะ “เสี่ยคราม” เสียชีวิตไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2560 ที่ผ่านมา กระบวนการ “อุ้ม” พลเอกประวิตรเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการครั้งแรก โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปราบการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่มี “น้องกุ้ย-พลตำรวจเอกวัชรพล ประสารราชกิจ สายตรงวงษ์สุวรรณนั่งเป็นประธาน ซึ่งดูเหมือนจะไม่ใส่ใจในการทำหน้าที่องค์กรตรวจสอบการโกงของชาติ 

ไม่หือ ไม่อือ ไม่เร่งรัด 

ประธานกุ้ยบอกว่า พี่ป้อมชี้แจงข้อมูลแล้ว และกำลังสอบปากคำ “ผู้เกี่ยวข้อง” ทำท่าเสมือนหนึ่งไม่ได้ให้ความสนใจ ทั้งๆ ที่ประชาชนคนไทยประเทศให้ความสนใจเป็นอย่างมาก ไม่ต่างอะไรกับ “วรวิทย์ สุขบุญ” เลขาธิการ ป.ป.ช. ที่ดูไม่เร่งรีบตอบคำถามของสังคมและทำหน้าที่ของตัวเองอย่างที่ควรจะทำ พอถามหนักเข้าก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากกลบเกลื่อนไป

นี่ไม่นับรวมถึงการที่ “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)” ซึ่งเป็นหนึ่งในแม่น้ำห้าสายและ คสช.ตั้งมาเองกับมือกล้ายกมือ “ผ่าน” ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ(พ.ร.ป.) ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งสาระสำคัญคือการต่ออายุให้ กรรมการ ป.ป.ช.ชุดปัจจุบัน ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าเข้าข่ายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ

จะเรียกว่า เป็นการเหยียบย่ำ “รัฐธรรมนูญ 2560” ที่ คน คสช.เขียนขึ้นมาเองกับมือและยังผ่านเสียงประชามติจากประชาชนคนไทยทั้งประเทศ ก็คงไม่เกินเลยไปจากความจริงเท่าใดนัก

เหตุผลเดียวที่ สนช.ยกมือสลอนเพื่อต่ออายุให้กับ “ประธานกุ้ย” และอีก 6 กรรมการ ป.ป.ช.ทั้งๆ ที่ขัดรัฐธรรมนูญ นอกเหนือจากเรื่อง “ผลงานอันเข้าตากรรมการ” แล้ว มิอาจมองเป็นอื่นได้ว่า เพื่อต้องการช่วย “เจ้านายของตัวเอง” ให้รอดพ้นจากคดีเป็นประการสำคัญ

ภาพลักษณ์ของ สนช.ที่เคยผ่านร่างกฎหมายอันก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศชาติมากมายต่ำเตี่ยเรี้ยดินไปในฉับพลันทันที เพราะแสดงให้เห็นว่า “สั่งได้” มิใช่องค์กรที่ดำรงความอิสระประการใด แถมยังจะพาลไปสร้างแรงกดดันและความมัวหมองให้กับ “ศาลรัฐธรรมนูญ” ที่จะต้องตีความอีกต่างหาก

[จากซ้ายไปขวา] พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา, พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ, นายสุเทพ เทือกสุบรรณ, นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. และ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ
และถ้าจะว่าไปแล้วก็ต้องรวมถึงตัว บิ๊กตู่-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่พยายามลอยตัวในเรื่องฉาวโฉ่ของพี่ป้อมมาโดยตลอด กระทั่งออกตัวขอร้องสื่อมวลชนให้ลดความสำคัญกับเรื่องนี้ ด้วยวรรคทอง “ลดราวาศอก” กันบ้าง ลืมเลือนไปว่าตัวเองเคยไปเดินสายพูดคำสวยหรู “โปร่งใส ตรวจสอบได้” ในหลายวาระ ทั้งๆ ที่สามารรถเคลียร์คัทตัดจบด้วยการสั่ง “พักงาน” ด้วยอำนาจ ม.44 เหมือนกับที่เคยทำกับข้าราชการคนอื่นๆ เป็นกระบุงโกย ส่งทำให้คะแนนนิยมตกต่ำลงไปเรื่อยๆ 

กระทั่งในสุดเมื่อ “เซ็ตทางออกลงตัว” ด้วยการเปิดตัว “เสี่ยคราม-ปัฐวาท” กระบวนการอุ้ม “ป๋าป้อม” ก็เฉิดฉายออกมาให้เห็น โดยทุกองคาพยพต่างพากันออกมารับลูกกันเป็นทอดๆ ราวกับถูกวางแผนและออกแบบเอาไว้แล้วล่วงหน้าอย่างไรอย่างนั้น

เริ่มด้วยการประกาศของ “บิ๊กตู่” ที่กางปีกปกป้อง “พี่ป้อม” แบบเต็มอัตราศึกเช่นกัน โดยบอกว่าเรื่องนี้เป็น “เรื่องส่วนตัว” สอดรับกับการออกแรงช่วยของ “บิ๊กกี่-พลเอกนพดล” อย่างพอเหมาะพอเจาะ

พลเอกประยุทธ์ให้สัมภาษณ์แบบเสียงดังฟังชัดเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2561 ว่า “ขอให้แยกแยะให้ออกว่ากรณีดังกล่าวเป็นเรื่องส่วนตัวของ พลเอกประวิตร และเรื่องเหล่านี้ก็มีขั้นตอนและกระบวนการ ส่วนกระบวนความว่าได้มาอย่างไร มาจากไหน หลายคนไปกล่าวอ้างว่ามาจากการทุจริตที่ไหน อย่างไร ก็ต้องมีการสอบสวนกันต่อ เพราะฉะนั้นต้องรอข้อยุติให้ได้ก่อนในกระบวนการเหล่านี้ อยากทำความเข้าใจว่าหลายท่านอยากให้ผมใช้คำสั่งมาตรา 44 ก็ต้องอธิบายว่าที่ผ่านมาผมใช้ในเรื่องของการลงโทษ และที่ทำก็เพราะมีหน่วยงานเสนอขึ้นมา เช่น ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแจ้งขึ้นมาว่ามีการสอบสวนแล้ว และมีผลออกมาเช่นนี้ เห็นควรให้เอาออกก่อน ผมจึงใช้มาตรา 44 ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆจะไปใช้กับใครก็ได้ ผมก็ต้องระวังตัวเองเช่นกัน กรณีนี้ก็เช่นกัน ก็ต้องรอฟัง ป.ป.ช.จะเสนอเรื่องขึ้นมา อย่าเอามาพันกันว่าทำไมผมไม่ใช้คำสั่งมาตรา 44 ตรงนี้ แล้วไปใช้กับตรงนั้น อีกประการทุกคนอาจจะลืมไปแล้วว่าเรื่องนี้อะไรเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นความบกพร่องส่วนตัว ก็ว่ากันไปตามกฎหมาย ซึ่งมีอยู่แล้ว เรื่องไหนเป็นเรื่องการใช้งบประมาณแผ่นดินก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง อย่านำสองเรื่องมาปนกัน ถ้าใช้งบประมาณแผ่นดินแล้วทำให้เกิดความเสียหาย มีหลักฐานชัดเจนก็ว่าไปอีกแบบ ขอให้แยกแยะให้ออก ผมคิดว่าเรื่องนี้ควรจะยุติได้แล้ว ปล่อยให้เป็นเรื่องของ ป.ป.ช.ตรวจสอบตามกระบวนการยุติธรรม” 

ตามต่อด้วยการแถลงข่าวของ “นายวรวิทย์ สุขบุญ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่ออกมาเปิดเผยความคืบหน้าในการตรวจสอบ ซึ่งถ้าจะว่าไปแล้วสาระสำคัญคือการตอกย้ำให้เห็นชัดๆ ว่า “ถ้านาฬิกาไม่ใช่ของบิ๊กป้อมก็ไม่ต้องยื่นบัญชี เพราะต้องแสดงเฉพาะทรัพย์สินตนเองและคู่สมรสพร้อมบุตร” ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการแบไต๋ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับคดีของบิ๊กป้อมได้เป็นอย่างดีว่าจะจบลงอย่างไร

ขณะที่การถอนตัวจากกรรมการพิจารณาคดีของ “บิ๊กกุ้ย-พล.ต.อ.วัชรพล” ประธาน ป.ป.ช.สายตรงวงษ์สุวรรณ ที่เลขาธิการ ป.ป.ช.พยายามทำให้สังคมเห็นความโปร่งใส ก็มิได้สร้างภาพลักษณ์เชิงบวกให้เกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังทำให้สถานการณ์ย่ำแย่หนักกว่าเก่าอีก เพราะ ที่โดยข้อเท็จจริงแล้วต้องถือเป็น “ภาคบังคับ” เนื่องจากกฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา 46(5) เขียนเอาไว้ในเรื่องความสัมพันธ์ใกล้ชิด มิใช่เรื่องของการแสดงสปิริตประการใด

ด้าน FCลุงป้อมตัวจี๊ดอย่าง “นายสุเทพ เทือกสุบรรณ” ก็มาพร้อมกับประโยคเด็ดเมื่อถูกถามถึงเรื่องนาฬิกาหรูว่า “กปปส. ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านแล้ว ผมคิดว่ารัฐบาลขณะนี้ก็ไม่มีฝ่ายค้าน เพราะฉะนั้น กปปส. ก็ไม่มีหน้าที่ไปตรวจสอบรัฐบาล หน้าที่ของเราคือต้องบอกประชาชน ว่า อะไรที่ คสช. ปฏิรูปแล้วก็ขอบคุณ อะไรที่ยังทำไม่ได้ ก็ต้องทำต่อ” จนถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของ “เทพเทือก” กับ “ป๋าป้อม” โดยมิได้สนใจใยดีถึงหัวอกของมวลมหาประชาชนที่ต้องการการปฏิรูป และไม่ต้องการเห็นเรื่องทุจริตเกิดขึ้นในประเทศไทย

ทำเป็นเล่นไป เวลานี้ผู้คนที่เคยอยากเห็นการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ก็กลับกลายเป็นอยากเห็นเลือกตั้งก่อนปฏิรูปไปเสียแล้ว

ส่วนพี่ป้อมก็ออกอาการหงุดหงิดพร้อมโบ้ยไปว่า ปัญหาเรื่องนาฬิกาหรูที่ขยายวงกว้างออกไปเป็นเรื่องใหญ่โตเป็นเพราะ “สื่อไทย” โหมกระพือข่าวจนต่างชาติกระโดดร่วมวงด้วย ซึ่งก็ต้องถาม บิ๊กป้อมกลับไปว่า แล้วใครล่ะที่ทำให้“ธรรมาภิบาลไทย ก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก” ทั้งนี้ เนื่องจากกรณีนาฬิกาหรูกลายเป็นประเด็นที่ “สื่อต่างประเทศ” หลายสำนัก ไม่ว่าจะเป็น อังกฤษ จีน ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เกาหลี สหรัฐอเมริกาฯลฯ นำไปเสนอข่าวครึกโครม ถึงความอู้ฟู่ของ “รองนายกรัฐมนตรีไทย” 

อาทิ Daily Mail ของอังกฤษ ได้นำเสนอรายงานพิเศษเรื่อง “The Rolex general : Thailand's junta number two has been photographed with 25 different luxury watches worth $1.2 million since a 2014 coup, social media sleuths say” หรือแปลตามตัวอักษรว่า “นายพลโรเล็กซ์ : โลกออนไลน์แฉผู้นำหมายเลข 2 ของรัฐบาลทหารประเทศไทยกับภาพคู่นาฬิกา 25 เรือนมูลค่ารวม 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ นับตั้งแต่การรัฐประหารในปี 2557”

หรือ The Straits Times ของสิงคโปร์ นำเสนอรายงานข่าว “Four people to be quizzed by Thai anti-graft agency in deputy PM Prawit luxury watch saga” โดยเนื้อหากล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.วัชรพล เรียกบุคคล 4 คน เข้าให้ข้อมูลเรื่องนาฬิกาของ พลเอกประวิตร แต่ปฏิเสธที่จะให้รายละเอียดมากกว่านี้ รวมถึงไม่เปิดเผยว่าทั้ง 4 คนเป็นใครบ้าง 

เรียกว่า “ฉาวโฉ่” ไปทั่วโลกเลยทีเดียว

แต่ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ วันดีคืนดี “มูลนิธิเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย” ก็ประกาศถอนตัวออกจาก “องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ” เสียอย่างนั้น ซึ่งแม้ว่า จะอ้างว่าเป็นเรื่องของมูลนิธิฯ ไม่ใช่รัฐบาล พร้อมทั้งอ้างว่าองค์กรดังกล่าวมีอคติและประเมินไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงในประเทศไทย แต่เมื่อห้วงเวลามาประจวบเหมาะกันอย่างนี้ ก็ทำให้ถูกตีความไปได้ว่าหรือ “รัฐบาล” จะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องโดยปริยาย เพราะเป็นเรื่องบังเอิญอย่างร้ายกาจที่ผลการประเมินขององค์กรฯ กำลังจะออกมาในเดือนกุมภาพันธ์ 2561 นี้ พร้อมๆ กับภาพลักษณ์ขององค์กรปราบโกงอย่าง ป.ป.ช.ตกต่ำถึงขีดสุด เหมือนกับออกตัวไม่ยอมรับผลการประเมินอยย่างนั้น

ดังที่ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต สว.กรุงเทพฯ ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่า “การประกาศถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรความโปร่งใสนานาชาติในครั้งนี้ เกิดขึ้นท่ามกลางข้อครหาเรื่องนาฬิกาหรู ของตำแหน่งเบอร์ 2 ในรัฐบาลคสช. ย่อมทำให้เกิดข้อวิพากษ์วิจารณ์มากมายว่า ใครบางคนคงไม่ต้องการเห็นตัวเลขดัชนีความ”ไม่”โปร่งใส ของประเทศไทยให้ระคายเคืองตา และเคืองใจกระมัง ใช่หรือไม่” 

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้น ต้องถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งนัก เพราะการทำเพื่อ “คนคนเดียว” ได้ส่งผลทำให้การทำหน้าที่ขององค์กรต่างๆ ต้องเผชิญกับวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง ขณะเดียวกันก็ทำให้โอกาสดีๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตไปด้วยดีต้องสูญเสียไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น จนอาจกล่าวได้ว่าเป็นชัยชนะของคนคนเดียวๆ ที่นำมาซึ่ง “ความพ่ายแพ้” ของประเทศ

นี่คือต้นทุนที่คนไทยทั้งประเทศต้องแบกรับร่วมกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้จากสิ่งที่ต้องบันทึกไว้ว่าคือ “ปรากฏการณ์ประวิตร”


#สำนักงานบัญชี,#สำนักงานสอบบัญชี,๒ทำบัญชี,#สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ผอ.นิด้าโพล ลาออก ถูกผู้บริหารระงับ  ผลสำรวจความเห็น นาฬิกาฉาว บิ๊กป้อม

view