สภาการหนังสือพิมพ์ฯแถลงกรณีไทยปะทะเขมร
จาก โพสต์ทูเดย์
สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติวอนผู้นำ2ประเทศเร่งยุติปัญหาชายแดน ไทยกัมพูชา ให้เพื่อนร่วมอาชีพเสนอข่าวรับผิดชอบต่อประเทศแสวงหาหนทางสันติพร้อมให้ กำลังใจทหารทำหน้าที่ป้องกันอธิปไตย
จากเหตุการณ์ ปะทะกันระหว่างทหารไทยและทหารกัมพูชา อันเนื่องมาจากข้อพิพาทเรื่องพื้นที่ทับซ้อนบริเวณใกล้ปราสาทพระวิหาร เป็นผลให้กำลังพลและพลเรือนของทั้งสองประเทศต้องเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ จำนวนมากนั้น เหนือสิ่งอื่นใดเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดนของสองประเทศซึ่งไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อ พิพาท ความขัดแย้งดังกล่าว
ขณะเดียวกันสื่อมวลชน ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ฯลฯ ต่างได้พยายามทำหน้าที่เกาะติดรายงานข่าวความเคลื่อนไหวเหตุการณ์ที่เกิด ขึ้นอย่างใกล้ชิด เนื่องเพราะเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบถึงชีวิตและความเป็นอยู่ของพี่น้อง ประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คณะกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์ แห่งชาติ ได้มีการประชุมเมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2554 โดยมีข้อห่วงใยต่อการนำเสนอข่าว และภาพข่าวของเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชน ดังนี้
1.ขอให้เพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชน ไม่ว่าหนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ฯลฯ ได้ทำหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน โดยการเสนอข่าวและภาพข่าว ตลอดจนการแสดงความคิดเห็นต้องเป็นไปในเชิงสร้างสรรค์ แสวงหาหนทางการแก้ปัญหาข้อพิพาท ความขัดแย้งอย่างสันติวิธี
2.ขอ ให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการตัดสินนำเสนอประเด็นข่าวและภาพข่าวได้ตระหนัก ถึงความอ่อนไหว และให้ความระมัดระวังอย่างยิ่งยวดต่อผลกระทบทางด้านความมั่นคง ซึ่งอาจเป็นการเปิดเผยจุดยุทธศาสตร์ หรือยุทธวิธีทางการทหารให้กับฝ่ายตรงข้ามนำไปใช้ประโยชน์โดยไม่ตั้งใจได้
3. ในการนำเสนอข่าว ตลอดจนการแสดงข้อคิดเห็นใด ๆ โดยผ่านทางบทสัมภาษณ์ บทความ หรือทางอื่นใด ขอให้หลีกเลี่ยงการใช้ภาษา หรือการแสดงท่าทีที่เป็นการดูถูกดูหมิ่น เหยียดหยาม ก่อให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ
4. ขอเรียกร้องให้ผู้นำทั้งสองประเทศ ตลอดจนผู้เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาข้อพิพาทชายแดน แสดงความจริงใจที่จะร่วมกันยุติปัญหาความขัดแย้งให้เห็นอย่างเป็นรูปธรรม โดยใช้กลไกการแก้ปัญหาที่มีอยู่ หันหน้ามาพูดคุย เจรจาเพื่อหาข้อยุติอย่างสร้างสรรค์และยึดมั่นในสันติวิธี โดยยึดผลประโยชน์และความสงบสุขของพี่น้องประชาชนสองประเทศเป็นที่ตั้ง
5.สำหรับ การเคลื่อนไหวของกลุ่มผลประโยชน์ทางการเมืองที่มีอยู่ในขณะนี้ แม้เป็นการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญที่พึงกระทำได้ แต่ต้องคำนึงถึงผลกระทบสิทธิของผู้อื่น อีกทั้งไม่ควรกระทำการใด ๆ ที่เป็นการยั่วยุให้ปัญหาข้อพิพาทลุกลามบานปลายมากขึ้น เนื่องเพราะสันติวิธีเท่านั้น คือหนทางยุติปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน
สภา การหนังสือ พิมพ์ฯ ขอแสดงความชื่นชมต่อการตระหนักในบทบาทหน้าที่ของเพื่อนร่วมวิชาชีพสื่อมวลชน ทุกแขนง ในการนำเสนอข่าวและภาพข่าวด้วยความรับผิดชอบต่อสังคม และยึดถือผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
ขณะเดียวกันขอให้กำลังใจแก่ทหารหาญและผู้ปฏิบัติงานด้านความมั่นคงทุก ท่านที่ต่างทุ่มเท สรรพกำลังด้วยความเสียสละในการทำหน้าที่ปกปัก พิทักษ์รักษาไว้ซึ่งอธิปไตยแห่งดินแดน ทำให้ประชาชนที่อยู่แนวหลังต่างรู้สึกซาบซึ้งและอุ่นใจในการทำหน้าที่สมกับ เป็นรั้วของชาติอย่างแท้จริง
ท้ายที่สุดนี้ สภาการหนังสือพิมพ์ฯ หวังว่า ข้อพิพาทดินแดนของไทย-กัมพูชา จะสามารถหาข้อยุติได้โดยเร็ววันบนพื้นฐานของการเจรจาและสันติวิธี เพื่อให้ความสงบสุขของพี่น้องประชาชนตามแนวชายแดนของทั้งสองประเทศกลับคืนมา โดยไม่ต้องได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากผลกรรมที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้ ก่อขึ้น
สื่อไทยแจ๋ว
จาก โพสต์ทูเดย์
เช้าวานนี้ผมถูกบังคับ ให้ต้องวิเคราะห์ทางรายการวิทยุ เกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบชายแดนไทยกัมพูชา และปัญหาข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
โดย...สันทัด กรณี
เช้าวานนี้ผมถูกบังคับ ให้ต้องวิเคราะห์ทางรายการวิทยุ เกี่ยวกับสถานการณ์สู้รบชายแดนไทยกัมพูชา และปัญหาข้อเรียกร้องของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยื่นเงื่อนไขให้รัฐบาลจัดการกับชาวกัมพูชาและทหารกัมพูชาในพื้นที่ทับ ซ้อน...
พูดอะไรไปมั่ง...จำไม่ได้และ (ฮา)
อ๋อ...ล้อเล่นนะครับ อันที่จริงจำได้เลาๆ...อิ อิ
สิ่งหนึ่งที่พูดไปคือความหดหู่ใจ ห่วงใยต่อคนไทยบริเวณชายแดน ภาพผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็กเด็กน้อย หอบข้าวของพะรุงพะรัง หนีภัยสู้รบ...
ภาพอย่างนี้ไม่ควรปรากฏให้เห็นใน พ.ศ.นี้เลย
ความจำลางๆ อีกเงาหนึ่งคือ ไม่เห็นด้วยกับการที่พันธมิตรฯ หยิบยกปัญหาชายแดนมาเป็นวาระทางการเมือง กดดันรัฐบาลให้กำลังทหารเข้าไปจัดการกับกัมพูชาในพื้นที่พิพาท สิ่งที่พูดคงขัดใจมิตรรักแฟนเพลงแกนนำพันธมิตรฯ พอสมควร
อันที่จริง วันนี้กะคุยเรื่องนี้แหละครับ แต่พอพูดไปแล้ว จะนำมาผลิตซ้ำในรูปแบบตัวอักษร มันรู้สึกขัดข้องในอารมณ์ศิลป์ชอบกล อิ อิ อิ
มาพูดเรื่องเดิม ประเด็นใหม่ดีกว่า
เชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนใหญ่ ได้ติดตามชมรายงานสดทางวิทยุ หรือรายงานข่าวทางโทรทัศน์พื้นที่สู้รบไทยกัมพูชา ผมดูทีวี นั่งฟังวิทยุในรถ เกิดสะดุดคิดสะกิดใจ
สื่อมวลชนบ้านเรา ทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง นำเสนอข่าวกันอย่างรวดเร็ว ชัดเจนเห็นภาพ
ดีครับ...ดีในสถานการณ์ปกติ
แต่ไม่ดี...ไม่ดีอย่างยิ่งต่อทหารไทยในแนวรบ และประเทศไทยในสถานการณ์สู้รบ
เพราะ คุณพี่คุณน้องนักข่าว รายงานตำบลกระสุนตก หรือพื้นที่ฝั่งไทยที่ถูกทหารกัมพูชาโจมตีด้วยปืนใหญ่อย่างละเอียดยิบ...ผม ขอยกตัวอย่างรวมละกัน
“ท่านผู้ชม (ผู้ฟัง) ค่ะ เมื่อสัก 10 นาทีที่ผ่านมากระสุนจากทางกัมพูชา กว่า 10 นัดยิ่งเข้ามาตกในฝังไทย ห่างจากฐานปืนใหญ่ของไทยประมาณ 1 กิโล ห่างจากหมู่บ้าน ก.ไก่...กิโล...”
ครับ...ในภาวะสงครามการสู้รบด้วยปืนใหญ่ การตรวจเป้าหมายตำบลกระสุนตกเนี่ยเป็นเรื่องคอขาดบาดตายมาก และต้องเสี่ยงชีวิตเข้าไปซุ่มตรวจสอบ เพื่อรายงานทางวิทยุกลับมาที่ฐานปืนใหญ่ เพื่อปรับระยะการโจมตีครั้งต่อๆ ไปลงยังเป้าหมาย
แต่การสู้รบครั้งนี้ ฐานปืนใหญ่กัมพูชา ยิ้มเผล่ เพราะประสิทธิภาพของสื่อสารมวลชนบ้านเรา สุดแสนยอดเยี่ยมกระเทียมดอง เปิดเผย ฉับไว แม่นยำ
ยิงมาชุด เปิดวิทยุไทยฟังก็รู้ โดนหรือไม่โดน ถ้าไม่โดนจะต้องปรับพิกัดปืนใหญ่ระดับใด ตั้งองศาการยิงระดับไหน เพื่อให้โดนเป้าหมาย...
เฮ้อ!...พูดเรื่องใหญ่ๆ โตๆ มามาก มาวันนี้ได้พูดเรื่องเล็กแบบนี้บ้าง สุขใจครับ
ถ้าสิ่งเหล่านี้ ทำให้สื่อมวลชนในพื้นที่สะกิดใจ หรือทหารในพื้นที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก็น่าจะประหยัดความเสียหายในฝั่งไทยได้ไม่น้อย
เฮ้อ! อีกเฮ้อ! แปลกใจตัวเองทำไมต้องมาเขียนเรื่องแบบนี้ และแปลกยิ่งกว่าที่มีเรื่องแบบนี้ให้เก็บมาเขียน
สิ่งที่เกิดขึ้นนับตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา ผมขอแสดงความชื่นชมต่อทหารไทยทุกท่าน ที่ได้ทุ่มเทกายใจในการปกปักรักษาอธิปไตยและศักดิ์ศรีของชาติ รวมทั้งมีความอดกลั้นอย่างสูง ไม่ใช้กำลังทางทหารที่มีศักยภาพเหนือกว่าเข้าไปจัดการในแผ่นดินกัมพูชา
คนบางกลุ่มที่เรียกหาสงคราม...ผิดหวัง...ชิมิ
ห่วงคนไทย รับข่าวไทย-เขมร มากเกินไป ส่งผลเครียด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ห่วงคนไทย รับข่าวไทย-เขมร มากเกินไป ส่งผลเครียดกระทบทั้งกาย - ใจ แนะสังเกตตัวเอง ลดความถี่การเสพสื่อ ห่วงผู้ประสบภัยในพื้นที่กระทบสูง
นพ.ประ เวช ตันติพิวัฒนสกุล ผู้จัดการแผนงานสร้างเสริมสุขภาพจิต สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวถึงการติดตามข่าวการสู้รบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาของประชาชน ว่า การรับข้อมูลข่าวสารอยู่ตลอดเวลา อาจทำให้เกิดความเครียดได้ หากการใช้เวลาอยู่กับข้อมูลนานหรือถี่มากเกินไป ทำให้เกิดอารมณ์ร่วมสูง โดยเฉพาะเมื่อรับชมผ่านโทรทัศน์ที่มีทั้งภาพและเสียง จะปลุกเร้าอารมณ์ได้มากกว่าสื่ออื่น หากเริ่มรู้สึกว่ามีอาการเครียดจากข่าวสาร ต้องลดความถี่ในการรับสื่อลง หรือปรับรูปแบบการรับเป็นการอ่านแทนจะช่วยลดอารมณ์ลงได้มาก
นพ.ประเวช กล่าวว่า ความเครียดจากการเสพข่าว สามารถส่งผลกระทบทั้งกาย เช่น ปวดเกร็งกล้ามเนื้อต้นคอ บ่า ไหล่ ปวดมึนศีรษะ ใจหวิว ใจสั่น รวมไปถึงมีอาการปวดมวนท้อง รับประทานอาหารไม่ได้ ในรายที่เป็นหนักจะมีอาการนอนไม่หลับร่วมด้วย ส่วนอาการทางใจ เช่น มีความคิดวนเวียนอยู่ในข่าวเรื่องนั้นๆ อารมณ์พลุ่งพล่าน วิตกกังวล กลัว หรือมีอารมณ์เสียใจ โกรธ แค้น หากเริ่มรู้สึกว่าตนเองมีอาการเหล่านี้ ควรต้องลดความถี่ในการเสพข่าวลงทันที นอกจากนี้ ต้องระวังการที่เด็กรับข่าวสารร่วมกับผู้ใหญ่ เพราะข่าวก็เหมือนกับสื่ออื่นๆ ที่เด็กยังไม่สามารถแยกแยะได้ อาจต้องควบคุมเวลาหรือรูปแบบการรับสื่อ
นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสส. กล่าวถึงประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบตามแนวชายแดน ว่า ปกติผู้ที่อยู่ในภาวะภัยพิบัติจะกระตือรือร้นต่อการปรับตัว และเรียนรู้ที่จะป้องกันตนเอง เช่น การขอความช่วยเหลือจากทางหน่วยงานราชการ การอพยพครอบครัว ขณะเดียวกันหากเกิดการตื่นตัวมากเกินไป อาจทำให้ถึงขั้นนอนไม่หลับ ไม่สามารถควบคุมสมดุลภายในจิตใจของตนเองได้ เกิดความวิตกกังวลเกินเหตุ อยู่ในภาวะสิ้นหวัง ซึ่งถือเป็นภาวะที่ต้องได้รับการช่วยเหลือ ทั้งนี้ หัวใจสำคัญที่จะช่วยได้ คือ ความเข้มแข็งของชุมชน เพราะการอพยพต้องอาศัยชุมชนช่วยเหลือกัน พลังที่เข้มแข็งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ส่งผลต่อการปรับตัวในระยะยาว
นพ.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า การรับข้อมูลข่าวสารเพียงด้านเดียว จะทำให้เกิดความเครียดสูงได้ ควรเลือกรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่มีลักษณะเปิดกว้าง มีการแสดงทัศนะที่หลากหลาย , ปรับเปลี่ยนแนวคิดโดยมองในด้านบวก เช่น ความขัดแย้งระหว่างประเทศ เป็นเรื่องที่สังคมไทยต้องหาทางออกไม่ให้เกิดปัญหาบานปลาย ที่สำคัญ คือ ระมัดระวังการแสดงออกทางความเห็นผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ( Social Media) เพราะถือเป็นสื่อหนึ่งที่ไม่เปิดเผยผู้แสดงความคิดเห็น จึงส่งผลให้เกิดการแสดงออกทางความเห็นที่รุนแรง ส่งผลให้เกิดความเครียดร่วมกันได้ ดังนั้น ควรจะใช้อย่างมีสติ