เปิดคำพิพากษา!ยกฟ้อง'พจมาน'
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เปิดคำพิพากษา!'บรรณพจน์-พจมาน'หลังศาลอุทรณ์พิพากษายกฟ้องคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินฯระบุ'พจมาน'ร่ำรวยชำระค่านายหน้าให้พี่ชาย'ปกติ'จึงไม่มีข้อพิรุธ
ที่ห้องพิจารณา 704 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 24 ส.ค.54 เมื่อเวลา 9.30 น.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีหมายเลขดำ อ.1149/2550 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อายุ 64 ปีอดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ชินคอร์ป พี่บุญธรรมคุณหญิงพจมาน ชินวัตร(ขณะนั้น) อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อายุ 54 ปี และนางกาญจนาภา หงษ์เหิน อายุ 54 ปี เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐาน ร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้น บริษัท ชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จำนวน 546 ล้านบาทจากหุ้น 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีหุ้นมูลค่า 738 ล้านบาท
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1-2 ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) (2) และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 และ 91 คนละ 3 ปี และให้จำคุกจำเลยที่ 3 เป็นเวลา 2 ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ขอให้ศาลยกฟ้องและลงโทษในสถานเบา
@ ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า ที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งว่าประกาศคณะปฏิรูปในระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ฉบับที่ 30 ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 นั้น
เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยที่ 5/2551 แล้วว่าประกาศ คปค.มีผลบังคับใช้ทั่วไป ไม่ได้เฉพาะเจาะจงกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง จึงไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญจึงเป็นเด็ดขาดใช้ได้ในคดี และมีผลผูกพันต่อศาลอุทธรณ์
@ ส่วนที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งว่าพนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ไม่เป็นกลางและเป็นปฏิปักษ์กับพ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นสามีของจำเลยที่ 2 นั้น
เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงจากการนำสืบของจำเลยทั้งสามจะปรากฏว่าคตส.บางคนมีพฤติกรรมเป็นปฏิปักษ์ที่จะทำให้จำเลยทั้งสามเข้าใจไปได้ว่า คตส.จะมีอคติ แต่ก็ไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดคุณสมบัติตัวบุคคลที่จะเป็นคตส.ไว้เฉพาะ และตามข้อเท็จจริงในสำนวนไม่ปรากฏว่าคตส.คนใดกระทำการส่อในทางที่ไม่เป็นกลาง หรือกลั่นแกล้งปรับปรำ และคตส.มีจำนวนมากถึง 12 คนที่มาจากหลายหน่วยงาน
ดังนั้น โอกาสที่จะครอบงำหรือโน้มน้าวให้คตส.ทั้งหมดกระทำการที่ไม่เป็นกลางย่อมเป็นไปได้น้อย ขณะที่พยานหลักฐานที่คตส.นำมาตรวจสอบก็เป็นพยานในความครอบครองดูแลของป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และกรมสรรพากร
@ ส่วนที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งว่าศาลชั้นต้นนำข้อเท็จจริงนอกฟ้องและยุติแล้วว่า กรมสรรพากรไม่มีอำนาจเรียกเก็บภาษี มาลงโทษจำเลยนั้น ขัดต่อประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามกล่าวอ้างรับฟังได้เพียงว่า การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานนั้นไม่ชอบ เพราะไม่ได้ออกหมายเรียกตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 จึงมีผลให้กรมสรรพากรไม่อาจเรียกเก็บภาษีจากจำเลยที่ 1 ได้เท่านั้น
ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า หุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากจำเลยที่ 2 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10) และมาตรา 37 (2) หรือไม่ ไม่ใช่การนำข้อเท็จจริงนอกฟ้องที่ยุติแล้วมาวินิจฉัย
@ สำหรับที่จำเลยทั้งสามโต้แย้งด้วยว่า ในคดีหมายเลขดำที่ อม.14/2551 ของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คตส.อ้างว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัทชินฯ ซึ่งรวมหุ้นในคดีนี้ด้วยเป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งหากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า หุ้นของจำเลยที่ 1 ที่ได้จากจำเลยที่ 2 เป็นของพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้นำมูลค่าหุ้นมาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
ศาลเห็นว่า ทางนำสืบของโจทก์และจำเลยทั้ง 3 ยอมรับกันว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นตามฟ้อง โดยเมื่อจำเลยที่ 2 ได้ยกหุ้นให้จำเลยที่ 1 ที่ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จำเลยที่ 1 ไปแจ้งการถือครองหุ้นเป็นของตน ประเด็นในคดีจึงมีอยู่ว่าจำเลยที่ 1 ต้องนำมูลค่าหุ้นมาคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินในการยื่นแบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปีภาษี 2540 หรือไม่ อุทธรณ์ในประเด็นข้อกฎหมายเหล่านี้ของจำเลยทั้งสามฟังไม่ขึ้น
ส่วนประเด็นที่จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีและจำเลยที่ 1-2 ไม่มีความผิดฐานร่วมกันแจ้งความเท็จฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1)(2) เพราะจำเลยทั้งสามเข้าใจว่าหุ้นของบริษัทที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นั้น หากจะยกให้ จำเลยที่ 2 ต้องทำเป็นการซื้อขายเท่านั้น
เนื่องจากจำเลยที่ 2 เคยโอนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ที่ใช้ชื่อน.ส.ดวงตา และนางบุญชู เหรียญประดับถือไว้แทน โอนจากบัญชีน.ส.ดวงตาไปบัญชีนางบุญชู 5 แสนหุ้น ซึ่งทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ จำเลยที่ 2 ก็สั่งจ่ายเช็คชำระราคาที่ซื้อ และรับเช็คค่าหุ้นที่ขายเข้าบัญชีจำเลยที่ 2 และชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและค่านายหน้าให้บริษัทนายหน้าเองเช่นเดียวกับคดีนี้ กรณีจึงไม่ใช่การซื้อขายหุ้นเพื่ออำพรางหรือหลีกเลี่ยงภาษีแต่อย่างใด และเหตุที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำมูลค่าหุ้นที่ได้รับจากจำเลยที่ 2 มารวมเป็นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหรือ ภ.ง.ด.90 ของปีภาษี 2540 เพราะจำเลยที่ 1 ไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร และเข้าใจว่าหุ้นที่รับมาเป็นเงินได้ที่ได้รับการยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10) ไม่มีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษี
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า เมื่อจำเลยที่ 3 มาขอเลขที่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ โดยแจ้งว่าจะนำไปซื้อขายหุ้นที่จำเลยที่ 2 เคยพูดว่าจะให้ แล้วจำเลยที่ 1 กลับไม่ได้ทักท้วงหรือสอบถามถึงเหตุผลที่ต้องทำเป็นการซื้อขายแทนการให้ จึงผิดวิสัยของผู้กระทำการโดยสุจริต แม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าไม่มีความรู้เกี่ยวกับกฎหมายภาษีอากร แต่ข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ว่าขณะนั้นจำเลยที่ 1 เป็นประธานกรรมการบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) ย่อมต้องมีที่ปรึกษากฎหมายให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่แล้ว จึงเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 1 รู้ดีว่าการโอนหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หากทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์จะสามารถใช้เป็นช่องทางในการอำพรางว่าจำเลยที่ 1 ไม่มีเงินได้พึงประเมินจากการรับหุ้นดังกล่าว
และจำเลยที่ 1 จงใจปกปิดข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ การกระทำของจำเลยที่ 1 ในลักษณะดังกล่าว จึงเป็นการกระทำด้วยวิธีอื่นใดที่มีเจตนาเลี่ยงภาษีตามประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 37 (2) อุทธรณ์ของจำเลยที่ 1 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
@คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อว่าจำเลยที่ 2-3 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่
ข้อเท็จจริงยุติแล้วว่าจำเลยที่ 2 ต้องการยกหุ้นบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ฯ ที่มีชื่อน.ส.ดวงตาเป็นผู้ถือครองแทน จำนวน 4.5 ล้านหุ้น ให้จำเลยที่ 1 แต่ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 40 ในราคาหุ้นละ 164 บาท รวมเป็นเงิน 738 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระราคาหุ้นทั้งหมดและค่านายหน้า รวมทั้งภาษีมูลค่าเพิ่ม ต่อมาเดือนมี.ค. 2541 จำเลยที่ 1 ไปขอออกใบหุ้น แต่ไม่ได้นำมูลค่าหุ้นนั้นไปแจ้งเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นอกจากจำเลยที่ 2-3 เบิกความยืนยันว่าเหตุที่จำเลยที่ 2 เข้าใจว่าต้องทำเป็นการซื้อขายหุ้นแทนการยกให้ เพราะหุ้นนั้นมีชื่อของน.ส.ดวงตาถือครองแทนจำเลยที่ 2 ซึ่งก่อนหน้านั้นจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 ได้เคยโอนหุ้นของจำเลยที่ 2 ซึ่งน.ส.ดวงตาถือครองไว้แทนให้กับนางบุญชูด้วยวิธีการซื้อขายทางตลาดหลักทรัพย์เช่นเดียวกับคดีนี้ก็ไม่มีผู้ใดทักท้วง
ขณะที่นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัทหลักทรัพย์ภัทรจำกัด พยานโจทก์ก็เบิกความเจือสมกับจำเลยที่ 2-3 ว่าในตลาดหลักทรัพย์มีตัวแทนถือหุ้นแทนเจ้าของที่แท้จริงเป็นจำนวนมาก เพราะไม่มีกฎหมายห้าม และเคยมีเจ้าของหุ้นที่แท้จริงต้องการโอนหุ้นที่มีผู้ถือแทนอยู่ในบุคคลอื่นสอบถามว่าต้องใช้วิธีการอย่างไร
ซึ่งพยานให้คำแนะนำว่าต้องทำการซื้อขายผ่านตลาดหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในการได้รับชำระค่าหุ้น และจะได้มีหลักฐานซื้อขายที่ชัดเจน ขณะที่ผู้ถือหุ้นจะได้รับประโยชน์ไม่ต้องเสียภาษีในส่วนของเงินกำไรที่ได้จากการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
นอกจากนี้ยังปรากฏด้วยว่าตามคำขอเปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของจำเลยที่ 1 ก็เห็นว่า ไม่ได้เพิ่งมาเปิดในช่วงปี 2540 เพื่อไว้ใช้ในการซื้อขายอำพรางหุ้นในคดีนี้เป็นการเฉพาะ โดยจำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์มาตั้งแต่วันที่ 23 เม.ย. 2534 และน.ส.ดวงตาเปิดบัญชีมาตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2537 โดยประเด็นนี้นายสุวิทย์ พยานโจทก์ดังกล่าวได้เบิกความด้วยว่าบัญชีของจำเลยที่ 1 และน.ส.ดวงตานั้น มีการเคลื่อนไหวซื้อขายหุ้นมาโดยตลอด
ส่วนกรณีที่จำเลยที่ 2 ได้ชำระค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มในส่วนของน.ส.ดวงตาที่เป็นผู้ขายหุ้นแทนนั้น จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นที่แท้จริงต้องมีหน้าที่ชำระอยู่แล้ว และเมื่อจำเลยที่ 2 ประสงค์ที่จะยกหุ้นให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพี่ชายบุญธรรม และเคยมีบุญคุณเคยอุปการะช่วยเหลืองานกันมา ซึ่งจำเลยที่ 2 มีฐานะร่ำรวย มั่นคง มีทรัพย์สินกว่า 2 หมื่นล้านบาทที่มีฐานะเศรษฐกิจดีกว่าจำเลยที่ 1 มาก โดยมูลค่านายหน้าและค่าภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นมีมูลค่าเพียง 3 ล้านบาทเศษ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่พี่น้องจะปฏิบัติต่อกัน ไม่ใช่เป็นข้อพิรุธสงสัย
ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังและเป็นที่ยุติว่าจำเลยที่ 2 ต้องการให้หุ้นกับจำเลยที่ 1 แต่ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยจำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คชำระค่าซื้อขายหุ้นเอง จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดา และจำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ขายไม่มีภาระในการชำระภาษีเงินได้ที่เกิดจากการขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เพราะเป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเสียภาษีเงินได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17)
ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เหตุที่มีการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์เพื่ออำพรางการให้ เพราะจำเลยที่ 2 จะต้องเป็นผู้ชำระค่าภาษีเงินได้ ซึ่งเป็นจำนวนมากนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ปรากฏในสำนวน อีกทั้งเป็นเหตุการณ์ในอนาคต จึงไม่อาจนำมาเป็นข้อสันนิฐานเพื่อให้รับฟังเป็นผลร้ายให้กับจำเลยที่ 2 ได้
เพราะในขณะนั้นจำเลยที่ 1 ยังไม่ต้องยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2540 แต่จำเลยที่ 1 จะต้องยื่นแบบภายในเดือนมี.ค. 2541 และเมื่อรับฟังได้ด้วยว่า ขณะที่จำเลยที่ 2 สั่งจ่ายเช็คชำระค่าหุ้นและค่านายหน้าให้กับบริษัทหลักทรัพย์นั้นก็มีเงินสดอยู่ในบัญชีอย่างเพียงพอ หากจำเลยที่ 2 มีเจตนาต้องการช่วยจำเลยที่ 1 หลีกเลี่ยงภาษี จำเลยที่ 2 ก็เพียงแต่โอนเงินที่จะต้องชำระค่าหุ้นให้จำเลยที่ 1 ผ่านบัญชีเงินฝาก แล้วให้จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งซื้อหุ้นดังกล่าว จำเลยที่ 1 ก็ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ซึ่งเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวก ไม่มีขั้นตอนยุ่งยากมากกว่าการใช้วิธีการซื้อขายเพื่ออำพลางที่มีวิธีการสลับซับซ้อน และยังอาจมีผลไปถึงการยื่นแบบแสดงภาษีเงินได้ของจำเลยที่ 2 อีกด้วย
ขณะที่จากทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าในขณะหรือหลังจากจำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงเสียภาษีแล้ว จำเลยที่ 2-3 ได้กระทำการใดๆ ส่อให้เห็นว่ามีเจตนาร่วมกับจำเลยที่ 1 ช่วยเหลือปกปิด พยานหลักฐานของโจทก์จึงยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอ และยังเป็นที่สงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ 2-3 ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 1 ด้วยหรือไม่ จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยที่ 2-3 อุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวฟังขึ้น
ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยข้อสุดท้ายว่า จำเลยที่ 1-2 มีความผิด ฐานร่วมกันแจ้งข้อความเท็จฯ เพื่อหลีกเลี่ยงภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) หรือไม่ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเพื่อประเมินภาษีไว้แล้ว แต่ไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่สมบูรณ์ ปรากฏว่าเจ้าพนักงานประเมินทำหนังสือเชิญจำเลยที่ 1 มาเพื่อสอบถามข้อเท็จจริงหลังจากวันที่จำเลยที่ 1 ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีแล้วนานกว่า 3 ปีเศษ โดยไมได้ออกหมายเรียกจำเลยที่ 1-2 และไมได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพกร การกระทำของเจ้าพนักงานประเมินจึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่ประมวลรัษฎากร มาตรา 19 กำหนด จึงเป็นการไต่สวนโดยไม่ชอบ การกระทำของจำเลยที่ 1-2 จึงไม่ครบองค์
ประกอบความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) นอกจากนี้ การให้ถ้อยคำกับเจ้าพนักงานที่จะเป็นการให้การเท็จหรือไม่นั้น ก็จะต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่าถ้อยคำที่ให้นั้น ไม่ได้มีอยู่จริงหรือไม่เคยมีอยู่ โดยผู้ให้ถ้อยคำนั้นเสกสรรปั้นแต่งขึ้นเอง เมื่อข้อเท็จจริงคดีนี้จากทางนำสืบของจำเลยที่ 1-2 ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เป็นพี่ชายบุญธรรมของจำเลยที่ 2 จริง และได้อยู่อาศัยในครอบครัวเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก โดยช่วยเหลือทั้งเรื่องครอบครัวและธุรกิจการค้ามาโดยตลอด ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้แต่งงานกับน.ส.บุษบา จริง จึงเป็นการให้ถ้อยคำที่มีข้อเท็จจริงเกิดขึ้น และมีอยู่จริง ไม่ใช่เป็นการปั้นแต่งสิ่งที่ไม่เคยมีอยู่ จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นความเท็จ เพียงแต่มีน้ำหนักเชื่อถือได้น้อยเท่านั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานอื่นมานำสืบยืนยันให้เห็นชัดเจนว่า ถ้อยคำที่จำเลยที่ 1-2 ให้กับเจ้าพนักงานประเมินนั้นเป็นความเท็จอย่างชัดเจน โดยปั้นแต่งข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ การกระทำของจำเลยที่ 1-2 จึงไม่เป็นความผิดตามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (1) อุทธรณ์ของจำเลยประเด็นนี้ฟังขึ้น
ส่วนที่สมควรลงโทษจำเลยที่ 1 สถานเบาในความผิดฐานหลีกเลี่ยงภาษีตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) หรือไม่ เห็นว่า กฎหมายระวางโทษจำคุก 3 เดือน ถึง 7 ปี และปรับตั้งแต่ 2,000-200,000 บาทน ที่ศาลชั้นต้นให้จำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 2 ปีนั้นเหมาะสมแล้ว
แต่ที่ศาลชั้นต้นไม่รอการลงโทษนั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีเจตนาเพื่อให้การจัดเก็บภาษีของเจ้าหน้าที่สรรพกรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งหวังให้รัฐได้รับการชำระหนี้ ซึ่งความรับผิดทางอาญาที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้ จึงเป็นเพียงมาตรการเสริมการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น อีกทั้งจำเลยที่ 1 เป็นเพียงนักธุรกิจ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง
โดยเมื่อถูกตรวจสอบเรื่องการรับโอนหุ้นก็ยอมรับว่าได้มาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือมีชื่อเสียงเป็นผู้อิทธิพล ผู้ประกอบอาชีพในทางไม่สุจริต โดยจำเลยที่ 1 เคยรับราชการมาก่อน และสร้างคุณงามความดีให้กับสังคมด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิไทยคม เพื่อส่งเสริมการศึกษาให้กับผู้ที่ด้อยโอกาส
ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 (2) ให้จำคุกเป็นเวลา 2 ปี โดยโทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี แต่เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลาบจำจึงเห็นควรให้ลงโทษปรับด้วย โดยปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ส่วนจำเลยที่ 2 - 3 พิพากษายกฟ้อง
---------
ย้อนรอยคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำคุก”พจมาน -บรรณพจน์”3ปี http://j.mp/pX6hMP
ย้อนรอยคำพิพากษาจำคุก”พจมาน -บรรณพจน์”3ปี คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้น738ล้าน
จาก ประสงค์ดอทคอม
หมายเหตุ-วันที่ 24 สิงหาคม 2554 เวลา 9.30 น.ศาลอาญา นัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในคดีหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร(การโอนหุ้น บริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด(มหาชน)หรือชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนภาษีที่ต้องเสีย(รวมเบี้ยปรับเงินเพิ่ม) จำนวน 546 ล้านบาท)ซึ่งมีนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานคณะกรรมการบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน),คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยา พ.๖.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลย
(ศาลอุทธรณ์ชี้ชะตาคุก3ปี ? “พจมาน – บรรณพจน์” 24ส.ค. คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้น738ล้าน)
เนื่องจากคดีดังกล่าวเป็นคดีสำคัญที่อาจส่งผลกระทบในทางการเมืองและอาจทำ ให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อผลการตัดสินคดีดังกล่าว จึงขอนำคำพิพากษาของศาลอาญาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่ 1 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ที่ 2 คนละ 3 ปี และจำคุก นางกาญจนาภา หงษ์เหิน หรือหงส์เหิน ที่ 3 จำนวน 2 ปีมาให้ผู้อ่านได้ศึกษาอย่างละเอียดดังต่อไปนี้
@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@
Oข้อหาตามคำฟ้องของอัยการแบ่งออกเป็น 2 ข้อหา
ข้อหาที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยใช้อุบายว่า จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ฯหรือบริษัท ชิน คอร์ป สั่งขายหุ้นบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อของนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี หรือนางดวงตา ประมูลเรือง เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียนถือการครอบครองแทนรวมมูลค่าหุ้น 738,000,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 1 (นายบรรณพจน์)ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2
โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันแสดงเจตนาลวงว่าได้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ใน ตลาดหลักทรัพย์มารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อประเมินเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 1 เป็นการอำพรางการให้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับการให้จะต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ ประมาณ 738,000,000 บาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี ประจำปี 2540 เป็นเงินจำนวน 273,060,000 บาท
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2540 โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน เป็นเหตุให้รัฐเสียหายขายรายได้
ข้อหาที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 พ.ค. 2544 ถึงวันที่ 30 ส.ค. 2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้อยู่แล้ว จงใจได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
โดยจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำและตอบคำถามว่า การซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 เป็นกรณีจำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้ โดยโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทนในตลาดหลักทรัพย์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินซื้อ และให้ถ้อยคำเพิ่มเติมว่า เป็นพี่บุญธรรมของจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือกิจการของจำเลยที่ 2 จนมีความเจริญก้าวหน้า จำเลยที่ 2 ได้มอบของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายของจำเลยที่ 1 เป็นหุ้น จำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าว โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำมีสาระสำคัญว่าตนตั้งใจที่จะมอบหุ้นให้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งในวันแต่งงาน แต่มอบให้ไม่ทันเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานในทางการเมือง เมื่อจัดการเรื่องบริหารงานเสร็จสิ้นจึงได้ยกหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นเป็นของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายจำเลยที่ 1 โดยหุ้นที่โอนให้เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งนางดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นแทนและอยู่ในพอร์ทที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำนั้นเป็นเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้พนักงานสรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจาก การให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งได้รับ การยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้ครอบครัวของจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงหรือ พยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกงโดยอุบายของจำเลยทั้งสอง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายต้องขาดรายได้อันควรได้เป็นเงินภาษีอากร จำนวน 273,060,000 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวมเป็นเงิน 546,120,000 บาท
@ข้อเท็จจริงจากการสืบพยานโจทก์และจำเลย
พิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบมาโดยตลอดแล้วข้อเท็จ จริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 1 เป็นบุตรบุญธรรมของบิดาจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นภริยาของพันตำรวจโททักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ส่วน จำเลยที่ 3 เป็นเลขานุการส่วนตัวของจำเลยที่ 2
จำเลยที่ 2 มีหุ้นในบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ซึ่งต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) โดยจำเลยที่ 2 ให้นางสาวดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้มีชื่อถือครองแทนจำนวนหนึ่ง
จำเลยที่ 2 มีเจตนาจะยกหุ้นของจำเลยที่ 2 ในบริษัทดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 จำนวน 4,500,000 หุ้น
แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ โดยมีคำสั่งให้ บริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) ดำเนินการซื้อขายหุ้นดังกล่าวให้แก่กัน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 จำนวน 4,500,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 164 บาท รวมเป็นเงิน 738,000,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระราคาแทนจำเลยที่ 1
โดยจำเลยที่ 2 ได้สั่งจ่ายเช็ค ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักรัชโยธิน ชำระราคาค่าหุ้นจำนวนดังกล่าวผ่านบริษัท หลักทรัพย์ภัทร และเมื่อบริษัท หลักทรัพย์ภัทร หักค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ได้สั่งจ่ายเช็คขีดคร่อมเฉพาะชำระราคาค่าหุ้นให้แก่นางสาวดวงตาผู้มีชื่อทาง ทะเบียนนั้น และเช็คดังกล่าวก็ถูกนำเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่ 2 ที่ธนาคารเดิม ทั้งนี้ โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการซื้อขายทุกขั้นตอนแทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนางสาว ดวงตา
ต่อมาในการยื่นรายการเพื่อเสียภาษีอากรปีภาษี 2540 ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้นำมูลค่าหุ้นที่ได้รับยกให้จำนวน 738,000,000 บาทดังกล่าว ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้
ส่วนจำเลยที่ 2 ก็มิได้นำค่าหุ้นจำนวน 734,310,000 บาท ที่ได้รับจากบริษัท หลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) และเป็นเงินได้พึงประเมินไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ เนื่องจากเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ได้รับยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (17) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509)
หลังจากนั้น ในปีพ.ศ. 2543 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงของทรัพย์สินและหนี้สินของพันตำรวจ โททักษิณ ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป.ป.ช.
ในการนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 3 ได้ให้ถ้อยคำต่อคณะอนุกรรมการป.ป.ช. ว่าหุ้นจำนวน 4,500,000 หุ้นดังกล่าว จำเลยที่ 2 แบ่งให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1 มิได้ซื้อแต่อย่างใด
ต่อมาคณะกรรมการป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยว่า พันตำรวจโททักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอัน เป็นเท็จ กรมสรรพากรจึงมีหนังสือเขอข้อมูลเรื่องนี้จากคณะกรรมการป.ป.ช. ไปประกอบการพิจารณาจัดเก็บภาษีจากบุคคลดังกล่าวให้ถูกต้อง
ในการนี้ จำเลยที่ 1 เข้าให้การต่อนาย ช. นันท์ เพ็ชญ์ไพศิษฐ์ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2544 ว่า ความจริงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ยกหุ้นดังกล่าวให้จำเลยที่ 1 และในวันที่ 16 และ 30 กรกฎาคม 2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ตามลำดับ ได้ให้การต่อนางเบญจา หลุยเจริญ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 มีสาระสำคัญทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 มีครอบครัวและมีฐานะที่มั่นคงทัดเทียมกับพี่น้อง จึงสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 แต่งงานกับจะให้หุ้นคดีนี้เป็นของขวัญ
แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่พันตำรวจโททักษิณเข้าทำงานทางการเมือง จำเป็นต้องจัดการเรื่องการบริหารให้เสร็จเสียก่อน จึงมาให้หุ้นดังกล่าวภายหลังเมื่อจำเลยที่ 1 มีบุตรและบุตรมีอายุจะครบ 1 ปี เป็นการให้เป็นของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรของจำเลยที่ 1
ในที่สุดกรมสรรพากรพิจารณาแล้วสรุปว่า การรับโอนหุ้นของจำเลยที่ 1 จากจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 จำนวน 4,500,000 หุ้นมูลค่า 738,000,000 บาท เป็นการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวนเพื่อเสียภาษี เงินได้ ตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎรกร แล้วให้ยุติเรื่อง
ต่อมาเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหา กษัตริย์ทรงเป็นประมุข(คปค.)เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แล้ว ได้มีประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ให้มีคณะกรรมการตรวจสอบหรือ คตส. มีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือการกระทำที่ทุจริต หรือประพฤติมิชอบรวมทั้งการหลีกเลี่ยงกฎหมายว่าด้วยภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ
คณะกรรมการตรวจสอบได้พิจารณาการโอนหุ้นดังกล่าวแล้วเห็นว่า หุ้นที่จำเลยที่ 2 โอนให้จำเลยที่ 1 ถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) แห่งประมวลรัษฎากรซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องนำมูลค่าหุ้นที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ มิใช่การให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จึงแจ้งให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีเงินได้จากจำเลยที่ 1 และเงินเพิ่มรวมเป็นเงิน 546,120,000 บาท
ส่วนคดีอาญาคณะกรรมการตรวจสอบมีมติให้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการ ฟ้องจำเลยทั้งสามเป็นคดีนี้ โดยถือเอาผลการตรวจสอบของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นการสอบสวนตามประมวลกฎหมาย วิธีพิจารณาความอาญา ตามประกาศค คปค. ฉบับที่ 30 ข้อ 9 วรรคสอง
@ปัญหาว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร หรือไม่
เห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติข้างต้น จำเลยที่ 2 เจตนาจะยกหุ้นของจำเลยที่ 2 ในบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯที่มีชื่อนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือครองแทน จำนวน 4,500,000 หุ้นมูลค่า 738,000,000 บาทตาม
แต่ได้ทำเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระราคาค่าหุ้นทั้งหมดแทนจำเลยที่ 1 และในที่สุดเงินค่าหุ้นจำนวนนั้นก็กลับไปเข้าบัญชีของจำเลยที่ 2 โดยมีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ดำเนินการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แทนจำเลยที่ 1 ที่ 2 และนางสาวดวงตาโดยตลอด นั้น
ในเบื้องต้น แม้การให้ผู้อื่นเป็นผู้ถือครองหุ้นแทนในตลาดหลักทรัพย์จะกระทำได้และเจ้า ของหุ้นที่แท้จริงสามารถขายหุ้นนั้นได้เองด้วยก็ตาม
แต่คดีนี้ เห็นได้ชัดแจ้งว่า พฤติการณ์การซื้อขายหุ้นระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ดังกล่าวมิได้ซื้อขายกันจริง แต่เป็นการกระทำโดยลวงเพื่ออำพรางการให้ตามเจตนาที่แท้จริง จึงเป็นการกระทำโดยความเท็จ
@ ปัญหาว่าการกระทำโดยความเท็จนั้นเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่
เห็นว่า การซื้อขายหุ้นตามฟ้องระหว่างจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่เป็นการกระทำโดยความเท็จดังวินิจฉัยได้กระทำในตลาดหลักทรัพย์ จึงมีผลทำให้จำเลยที่ 2 ผู้ขายได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมูลหุ้นที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงิน ได้ประจำปีภาษี 2540 ตามข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติ
ส่วนมูลค่าหุ้นจำนวน 738,000,000 บาท ที่จำเลยที่ 1 ได้รับยกให้จากจำเลยที่ 2 นั้น โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบรับว่า เป็นเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร เพียงแต่โต้แย้งกันว่าเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำ ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้หรือไม่เท่านั้น
แต่โจทก์นำสืบว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการให้ เป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (2) และมิได้เป็นเงินได้ประเภทหนึ่งประเภทใดตามมาตรา 42 แห่งประมวลรัษฎากรที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องนำมูลค่าหุ้นจำนวนที่ได้รับไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี ภาษี 2540
และด้วยเหตุนี้ จำเลยทั้งสามจึงได้อำพรางการให้ที่เป็นเจตนาที่แท้จริงของจำเลยที่ 2 ด้วยการทำเป็นซื้อขายอันเป็นความเท็จแทน เป็นอุบายเพื่อจะไม่มีภาระภาษีจากการซื้อและขาย ทั้งไม่ต้องนำมูลค่าหุ้นที่ได้รับจากการให้ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ดังกล่าวอีกด้วย จึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากร
ส่วนจำเลยทั้งสามต่อสู้ว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 รับให้มานั้นเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) และเป็นเงินได้ประเภทที่เข้าข้อยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร
กล่าวคือเป็นเงินได้ที่ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือจากการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี จำเลยที่ 1 ไม่ต้องนำมูลค่าหุ้นที่ได้รับจากจำเลยที่ 2 ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2540 จึงไม่เป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร
@ กรณีจึงเห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับ เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่จำเลยที่ 1 ผู้รับการให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ประจำปี 2540 หรือไม่ เพราะหากได้รับยกเว้นเช่นเดียวกับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ก็ไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาว่าเป็นการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่อีกต่อ ไป
ปัญหานี้ แม้ในเบื้องต้นโจทก์และจำเลยทั้งสามจะโต้แย้งกันว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับมาตามฟ้องถือเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(2) หรือมาตรา 40(8) ก็ตาม
แต่เห็นว่า ตามคำฟ้อง โจทก์บรรยายในตอนท้ายของฟ้องข้อ 2 ก.ว่า “…จำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด.90) ประจำปีภาษี 2540 พร้อมนางบุษบา ดามาพงษ์ ภรรยา ต่อเจ้าหน้าที่สรรพากรว่า ในปีภาษี 2540 จำเลยที่ 1 มีเงินได้จากการจ้างแรงงานและจากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำหรือจากการรับทำ งานและมีเงินได้ที่เป็นเงินปันผล เครดิตเงินปันผล รวมเป็นเงินได้สุทธิที่ต้องคำนวณภาษีเพียง 23,318,411.53 บาท อัตราภาษีร้อยละ 37 รวมเงินภาษีเงินได้ที่ต้องชำระเป็นเงิน 8,129,812.27 บาท โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวซึ่งเป็นทรัพย์สินหรือเงินได้จำนวน 738,000,000 บาทมารวมคำนวณเป็นรายได้เพื่อเสียภาษีบุคคลธรรมดา…” อันเป็นการกล่าวหาว่า จำเลยที่ 1 ไม่นำมูลค่าหุ้นที่ได้รับให้ไปรวมกับเงินได้ประเภทอื่นๆ ของจำเลยที่ 1 ที่กฎหมายถือว่าเป็นเงินได้ของจำเลยที่ 1 และที่เป็นเงินได้ของภรรยา เพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปีภาษี 2540 การกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรเท่านั้น
คำฟ้องมิได้ระบุว่าเป็นภาษีอากรจากเงินได้พึงประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 ประเภทหรือวงเล็บใด ดังนั้น แม้จะปรากฏตามทางพิจารณาว่า โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบว่า การรับให้ เป็นเงินได้พึงประเมินต่างประเภทกัน ก็เป็นการแตกต่างของความเห็นในประเภทของเงินได้พึงประเมินที่จำต้องพิจารณา ในชั้นจัดเก็บภาษี ทั้งผลของการแตกต่างที่มีตามกฎหมายก็มิได้ผลต่อการวินิจฉัยปัญหาข้อนี้
เพราะไม่ว่า จะเป็นเงินได้พึงประเมินประเภทใด ก็ยังคงเป็นเงินได้อันพึงต้องเสียภาษีตาม มาตรา 39 แห่งประมวลรัษฎากรเช่นเดียวกัน ในชั้นนี้จึงไม่จำต้องวินิจฉัยข้อโต้แย้งนี้
@ คงมีปัญหาว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการให้มิได้เป็นเงินได้พึงประเมินประเภทที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำ ไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้หรือไม่
โจทก์มีนายกล้านรงค์ จันทิก (กรรมการ คตส. )มาเบิกความยืนยันว่า ขณะพยานเป็นเลขาธิการคณะ ป.ป.ช. พยานได้รับแต่งตั้งเป็นอนุกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ที่ได้ยื่นไว้ต่อสำนักงาน ป.ป.ช. พยานกับคณะอนุกรรมการดังกล่าวได้ร่วมกันสอบปากคำจำเลยที่ 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับหุ้นตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ช่วยเหลือและร่วมดำเนินธุรกิจของพันตำรวจโททักษิณกับจำเลยที่ 2 มาตลอดตั้งแต่ต้น รวมทั้งเป็นผู้กู้และผู้ค้ำประกันให้ด้วย โดยมีบันทึกคำให้การของนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ เป็นผู้ให้การ มาเป็นหลักฐานสนับสนุน เอกสารดังกล่าวมีสาระสำคัญสอดคล้องกับคำเบิกความของพยาน
เห็นว่า พันตำรวจโททักษิณ ถูกตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินตามมาตรา 295 แห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ซึ่งอาจมีผลทำให้พ้นตำรวจโททักษิณต้องพ้นจากตำแหน่งและต้องห้ามมิให้ดำรง ตำแหน่งทางการเมืองเป็นเวลาห้าปี จึงเป็นเรื่องสำคัญ จำเลยที่ 1 ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพันตำรวจโททักษิณอย่างมาก ย่อมต้องเตรียมการและระมัดระวังในเรื่องที่จะให้การ ทั้งเป็นการให้การในครั้งแรกๆ ขณะที่ยังมิได้มีปัญหาการตรวจสอบเรื่องภาระภาษีและดำเนินคดีนี้ น่าที่จำเลยที่ 1 จะให้การไปตามความจริง
ประกอบกับ คำให้การดังกล่าวมีข้อเท็จจริงโดยละเอียดตั้งแต่ประวัติความสัมพันธ์ระหว่าง ครอบครัวของจำเลยที่ 1 กับครอบครัวของจำเลยที่ 2 การช่วยเหลืออุปการะกันมาโดยตลอด ตั้งแต่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ยังเป็นเด็กๆ
เมื่อจำเลยที่ 2 กับพันตำรวจโททักษิณไปศึกษาที่ต่างประเทศ จำเลยที่ 1 ก็ลางานตามไปดูแลช่วยเหลือพร้อมกับศึกษาต่อ และเมื่อกลับมาก็ช่วยเหลือและสนับสนุนในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับการดำเนิน กิจการค้าขายต่างๆ ของจำเลยที่ 2 กับพันตำรวจโททักษิณ จนต่างมีฐานะมั่นคง
ในส่วนที่เกี่ยวกับการได้มาซึ่งหุ้นต่างๆ นั้น จำเลยที่ 1 ได้ให้การไว้โดยละเอียดโดยเฉพาะหุ้นจำนวนมากๆ เช่นหุ้นตามฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า จำเลยที่ 2 แบ่งให้โดยมิได้มีการซื้อมา แม้การสอบถามในครั้งนั้นจะไม่มีประเด็นเกี่ยวกับการให้หุ้นคดีนี้ก็ตาม แต่หากเป็นการรับให้เนื่องในโอกาสสำคัญของจำเลยที่ 1 ดังที่อ้าง เป็นหุ้นที่มีมูลค่าจำนวนมาก ทั้งเป็นการรับให้จากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาของพันตำรวจโททักษิณกำลังถูกตั้งข้อระแวงสงสัยและถูกตรวจสอบ เกี่ยวกับการถือครองหุ้น จำเลยที่ 1 น่าจะให้การถึงเหตุผลที่จำเลยที่ 2 ให้ไว้เป็นหลักฐานด้วย
แต่จำเลยที่ 1 นอกจากจะมิได้ให้การถึงเหตุผลการให้ว่าเป็นการให้เนื่องในโอกาสใดแล้ว ยังให้การชัดเจนว่า เป็นการแบ่งให้โดยมิได้มีการซื้อมา ดังที่ปรากฏ ทั้งๆ ที่ได้ให้การในเรื่องอื่นๆ ไว้โดยละเอียด จึงเชื่อว่า ที่จำเลยที่ 2 ให้หุ้นคดีนี้แก่จำเลยที่ 1 เป็นการแบ่งให้ดังที่จำเลยที่ 1 ให้การ ซึ่งคำว่า “แบ่งให้” ดังกล่าวมีความหมายอยู่ในตัวว่า เป็นการให้ที่มิใช่การให้เนื่องในพิธีหรือตามโอกาสอย่างใด
ส่วนที่ได้ความจากคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญและให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี กรมสรรพากรตามลำดับ แตกต่างไปจากคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังวินิจฉัย ทำนองว่า จำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้จำเลยที่1 ตามธรรมจรรยาในฐานะที่ได้ร่วมก่อการและดำเนินธุรกิจร่วมกัน รวมทั้งเป็นของขวัญที่จำเลยที่ 1 มีภริยาและบุตรนั้น ก็เป็นคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้การภายหลังจากที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีคำวินิจฉัยว่า พันตำรวจโททักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและเอกสารประกอบถ้อยคำอันเป็นเท็จและกรมสรรพากร ได้เรียกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไปตรวจสอบเพื่อจัดเก็บภาษีจากการซื้อขายอันเป็นเท็จแล้ว
คำให้การที่ให้เหตุผลของการให้หุ้นของจำเลยที่ 2 แตกต่างไปจากที่จำเลยที่ 1 เคยให้การไว้ในชั้นแรก จึงน่าจะเป็นการยกข้ออ้างขึ้นใหม่ให้เข้าข้อยกเว้นตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42 (10) ที่จะไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ตามที่กรมสรรพากรจะเรียกเก็บ
คำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดังกล่าวจึงไม่ทำให้พยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยไม่น่าเชื่อถือ
ส่วนที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างว่า เพื่อให้พี่น้องมีฐานะทัดเทียมกัน จำเลยที่ 2 มีเจตนาจะยกให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 เมื่อต้นปี พ.ศ.2539 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงาน แต่ในช่วงนั้นพันตำรวจโททักษิณกำลังยุ่ง เนื่องจากจะเข้าสู่การเมืองและตั้งพรรคการเมืองใหม่ จำเป็นต้องจัดการเรื่องการบริหารงานให้เสร็จสิ้นก่อน จึงมาให้ในภายหลังขณะบุตรจำเลยที่ 1 จะมีอายุครบ 1 ปีนั้น
ประการแรกเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่รับฟังได้ดังวินิจฉัยว่า เป็นการแบ่งให้
ประการต่อมาที่อ้างว่า ไม่สามารถโอนหุ้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงานได้เพราะพันตำรวจโททักษิณจำเป็นต้องจัดการเรื่องการบริหารงานให้ เสร็จสิ้นก่อนนั้น
เห็นว่า ได้ความจากทางนำสืบของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ว่า หุ้นตามฟ้องเป็นของจำเลยที่ 2 อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ในชื่อของนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี และจำเลยที่ 2 มีจำเลยที่ 3 เป็นผู้ให้คำแนะนำและดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 รวมทั้งหุ้นแทนโดยตลอด ดังนี้การโอนหุ้นของจำเลยที่ 2 ที่มีชื่อนางสาวดวงตาถือครองแทนจึงสามารถทำได้โดยจำเลยที่ 3 คนเดียว
ดังนั้นหากจำเลยที่ 2 จะโอนหุ้นนั้นให้แก่จำเลยที่ 1 ในโอกาสที่จำเลยที่ 1 แต่งงานจริง ก็สามารถกระทำได้ในโอกาสนั้นโดยจำเลยที่ 2 เพียงแจ้งให้จำเลยที่ 3 ดำเนินการเท่านั้น ซึ่งมิได้เป็นภาระหรือเกี่ยวข้องกับพันตำรวจโททักษิณและการจัดการเรื่องการ บริหารงานตามที่อ้างแต่อย่างใด
แม้ในเรื่องนี้จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะมีพลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่จำเลยที่ 2 นางสมทรง เครือไชย อาจำเลยที่ 2 และนางบุษบา ดามาพงศ์ ภริยาจำเลยที่ 1 มาเบิกความเป็นประจักษ์พยานสนับสนุนว่า ร่วมรู้เห็นและได้ยินจำเลยที่ 2 พูดขณะจำเลยที่ 1 กับนางบุษบาเข้าไปอวยพรวันเกิดของจำเลยที่ 2 ว่า จะให้หุ้นแก่จำเลยที่ 1 เป็นของขวัญแต่งงาน ก็ตาม
แต่คำเบิกความดังกล่าว นอกจากจะขัดกับข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวแล้ว พยานของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้างต้นเป็นพี่และญาติมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 1 และที่ 2 อย่างมาก คำเบิกความน่าจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงมีน้ำหนักน้อย
พยานหลักฐานจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในปัญหานี้ไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ดังวินิจฉัยได้ โดยไม่จำต้องวินิจฉัยเรื่องมูลค่าหุ้นที่ให้และให้ตรงกับวันแต่งงานของจำเลย ที่ 1 หรือไม่อีกต่อไป
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 โดยการแบ่งให้ มิได้เป็นการให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากรตามที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้าง
@ ปัญหาต่อไปมีว่า การที่จำเลยที่ 1 รับแบ่งให้หุ้นตามฟ้องจากจำเลยที่ 2 ตามข้อเท็จจริงที่รับฟังได้ จะถือว่า เป็นเงินได้ที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา ตามมาตรา 42(10) ข้างต้นหรือไม่
เห็นว่า ประมวลรัษฎากรมิได้ให้คำนิยามของคำว่า “อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” ไว้ จึงต้องพิจารณาความหมายของถ้อยคำดังกล่าวตามพจนานุกรม ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2542 นิยามความหมายไว้ดังนี้
อุปการะ หมายความว่า ช่วยเหลือเกื้อกูล อุดหนุน
หน้าที่ หมายความว่า กิจที่จะต้องทำด้วยความรับผิดชอบ
ธรรมจรรยา หมายความว่า การประพฤติถูกธรรม
ดังนั้นคำว่า “อุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา” จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่า การช่วยเหลือเกื้อกูล อุดหนุน ที่พึงกระทำโดยธรรม อันเป็นบทบัญญัติที่ใช้ถ้อยคำที่แสดงเจตนารมณ์ชัดเจนอยู่ในตัวแล้ว ไม่จำต้องพิเคราะห์หาเจตนารมณ์จากที่ใดอีก ทั้งเป็นบทบัญญัติที่ยกเว้นภาระภาษีอันเป็นหน้าที่ของพลเมืองทุกคน จึงต้องตีความตามถ้อยคำโดยเคร่งครัด
แม้บทบัญญัติดังกล่าวจะมิได้มีความหมายที่จะจำกัดความสัมพันธ์ ระหว่าง”ผู้ให้”กับ”ผู้รับการให้”และจำนวนที่ให้ก็ตาม แต่ตามถ้อยคำแล้ว ผู้รับการให้จะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในสภาพหรือสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เกื้อกูล อุดหนุนอยู่ด้วย ไม่ว่าจะมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ผู้ให้จึงมีหน้าที่โดยธรรมจรรยาที่จะอุปการะ
แต่จำเลยที่ 1 นอกจากจะมิได้นำสืบให้เห็นว่าตนอยู่ในสภาพหรือสถานะเช่นว่าแล้ว ยังปรากฏจากบันทึกคำให้การของจำเลยที่ 1 ว่าในขณะรับการให้นั้นจำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯ และเป็นกรรมการในบริษัทกลุ่มชิน ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทที่มีกิจการและฐานะมั่นคง
นอกจากนี้ตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2540 ของจำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 แจ้งว่า มีเงินได้พึงประเมินก่อนหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน ในปี พ.ศ.2540 จำนวน23,554,503.53 บาท ซึ่งถือได้ว่า เป็นจำนวนที่สูง อีกทั้งปรากฏจากบันทึกคำให้การที่จำเลยที่ 1 ให้การต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.และคำให้การที่จำเลยที่ 2 ให้การต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีสำนักตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร ว่า ในปีเดียวกันนั้น ก่อนได้รับให้หุ้นคดีนี้ จำเลยที่ 1 มีหลักทรัพย์เฉพาะที่เป็นหุ้นจำนวนมาก ที่สำคัญๆ คือหุ้นใน บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯ 2,347,395 หุ้น หุ้นในบริษัท เอส ซี แอสเสท จำกัด 23,000,000 หุ้น และในบริษัท ชินวัตร อินเตอร์เนชั่นแนล บรอดคาสติ้ง จำกัด 6,000,001 หุ้น แม้ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2540 ที่จำเลย 1 ได้รับหุ้นตามฟ้อง
หลังจากนั้นต่อมา จำเลยที่ 1 ยังมีหุ้นในบริษัทต่างๆ เพิ่มอีกจำนวนมาก สถานภาพดังกล่าววิญญูชนย่อมเห็นได้อย่างชัดแจ้งว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ที่อยู่ในสภาพหรือสถานะที่ต้องการความช่วยเหลือเกื้อกูล อุดหนุน ตามความหมายของบทกฎหมายข้างต้นแต่อย่างใด แม้ฐานะจะยังไม่ทัดเทียมกับพี่น้องก็ตาม จำเลยที่ 2 จึงไม่มีหน้าที่ธรรมจรรยาที่จะต้องอุปการะจำเลยที่ 1
ดังนั้นไม่ว่าจำเลยที่ 2 จะมีทรัพย์สินมากเพียงใดและให้หุ้นคดีนี้เพียงต้องการให้จำเลยที่ 1 มีฐานะทัดเทียมพี่น้องหรือจะให้ด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่า เป็นการให้ที่เป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา
คำพิพากษาศาลฎีกาและแนววินิจฉัยของกรมสรรพากรที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบมานั้น ผู้รับการให้ล้วนอยู่ในฐานะหรือสภาพหรือสถานะที่ควรได้รับการช่วยเหลือ เกื้อกูล อุดหนุนทั้งสิ้น เพียงแต่จะมากหรือน้อยเท่านั้น ข้อเท็จจริงจึงไม่ตรงกับคดีนี้
โดยสรุป คดีฟังไม่ได้ว่ามูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับการให้จากจำเลยที่ 2 เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามมาตรา 42(10) แห่งประมวลรัษฎากร
@เมื่อคดีรับฟังได้ว่า มูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้รับการให้จากจำเลยที่ 2 เป็นเงินได้พึงประเมินที่จำเลยที่ 1 จะต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษาเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2540 คดีจึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรนั้นหรือไม่
เห็นว่า ตามรูปคดีแล้ว การโอนหุ้นตามฟ้องมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมทั้งค่าภาษีอากรแทนจำเลยที่ 1 ทั้งสิ้น ซึ่งปรากฏจากทางนำสืบของโจทก์ว่า ภาษีจากมูลค่าหุ้นที่จำเลยที่ 1 ได้จากการรับให้มีจำนวนมากถึง 273,060,000 บาท
การที่จำเลยที่ 2 มิได้ดำเนินการโอนให้หุ้นตามฟ้องแก่จำเลยที่ 1 ตามเจตนาที่แท้จริง ทั้งๆ ที่การโอนให้หุ้นในตลาดหลักทรัพย์สามารถจะทำได้ โดยทั้งผู้ให้และผู้รับการให้ ไม่มีค่าใช้จ่ายอย่างใด กล่าวคือไม่ต้องเสียทั้งค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่บริษัทที่ดำเนิน การ ดังที่นายสุวิทย์ มาไพศาลสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ภัทร ผู้ดำเนินการโอนหุ้นได้ให้การยืนยันชัดเจนต่อคณะอนุกรรมการไต่สวนฯและชั้น พิจารณามิได้เบิกความปฏิเสธเอกสารฉบับนี้
แต่จำเลยที่ 2 กลับกระทำโดยความเท็จเป็นการซื้อขายลวงในตลาดหลักทรัพย์อำพรางการให้ที่เป็น เจตนาที่แท้จริงนั้นและยอมเสียค่านายหน้ากับภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งฝ่ายผู้ซื้อ และผู้ขายรวม 7,380,000 บาท ดังข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติ
@ศาลระบุกรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา-จงใจหลีกเลี่ยงภาษี
ศาลพิจารณาพฤติการณ์ดังกล่าว และเปรียบเทียบจำนวนเงินค่านายหน้าและภาษีมูลค่าเพิ่มที่จำเลยที่ 2 เสียไปกับจำนวนเงินค่าภาษีอาการจากการรับให้ที่ถูกอำพรางไว้ดังกล่าวแล้ว กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนาของจำเลยที่ 2 ว่า จงใจหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรเงินได้จากการรับให้ของจำเลยที่ 1 ซึ่งมีจำนวนมากและจำเลยที่ 2 ต้องเป็นผู้ชำระแทน จึงกระทำโดยวิธีมิให้จำเลยที่ 1 มีเงินได้พึงประเมินจากการรับให้หุ้นตามฟ้อง ด้วยการทำเป็นการซื้อขายอำพรางการให้นั้น ดังที่ปรากฏตามแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีภาษี 2540 ของจำเลยที่ 1
สำหรับจำเลยที่ 3 ผู้ดำเนินการโอนหุ้นตามฟ้อง เป็นเลขานุการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 มีหน้าที่ดูแลแนะนำและดำเนินการเกี่ยวกับหุ้นของจำเลยที่ 2 กับบุตรซึ่งมีจำนวนมากมานานประมาณ 10 ปีก่อนเกิดเหตุ ทั้งมี สามีเป็นพนักงานในบริษัท หลักทรัพย์ภัทร ที่ทำการโอนหุ้นคดีนี้ด้วย ดังนี้จำเลยที่ 3 ย่อมต้องมีความรู้ในเรื่องหุ้นและการโอนหุ้นเป็นอย่างดี อีกทั้งโดยหน้าที่ย่อมทำเพื่อประโยชน์สูงสุดของจำเลยที่ 2
ประกอบกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 เบิกความรับว่า ก่อนโอนหุ้นตามฟ้องได้ปรึกษาและให้คำแนะนำกันก่อนแล้ว ข้อเท็จจริงจึงเชื่อว่าจำเลยที่ 3 รู้กันกับจำเลยที่ 2 และร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรดังวินิจฉัย
ส่วนจำเลยที่ 1 ได้ทราบมาแต่แรกแล้วว่า จำเลยที่ 2 จะให้หุ้นตามฟ้องตามบันทึกคำให้การ ดังวินิจฉัย แต่เมื่อจำเลยที่ 3 มาขอเลขที่บัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ แจ้งว่า จะไปทำการซื้อขายหุ้นที่จะให้ดังกล่าว ซึ่งไม่ตรงกับที่จำเลยที่ 2 เคยบอก แต่จำเลยที่ 1 ก็ให้ไปโดยไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ ได้ทักท้วงหรือสอบถามถึงเหตุผลในเรื่องนี้ รวมทั้งเรื่องการชำระค่าหุ้นจำนวนมากด้วย ผิดวิสัยผู้กระทำโดยสุจริต และต่อมาเมื่อยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปีภาษี 2540 จำเลยที่ 1 ก็มิได้แสดงรายการเงินได้ส่วนนี้แต่อย่างใด
พิเคราะห์ พฤติการณ์ดังกล่าวประกอบความสัมพันธ์ระหว่าง จำเลยที่ 1 กับที่ 2 ตามที่จำเลยทั้งสองนำสืบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจำเลยที่ 1 ร่วมก่อตั้งและร่วมบริหารกิจการต่างๆ ของจำเลยที่ 2 กับพันตำรวจโททักษิณมาโดยตลอดและขณะที่รับการให้หุ้นคดีนี้ จำเลยที่ 1 มีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ฯนั้นเองด้วยแล้ว
ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ร่วมรู้เห็นและร่วมกระทำการดังกล่าวข้างต้นกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย จึงเป็นตัวการร่วมกัน แม้จำเลยที่ 2 และที่ 3 จะมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยื่นแบบ ของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 1 ไม่มีเงินได้พึงประเมินจากรับให้หุ้นนั้นเป็นผลโดยตรงจากการร่วมกันกระทำโดย ความเท็จของจำเลยทั้งสามดังวินิจฉัย ทั้งตามกฎหมายการยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาก็เป็นเรื่องเฉพาะ ตัวของจำเลยที่ 1 ผู้มีเงินได้เท่านั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ย่อมไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องได้อยู่แล้ว การที่มิได้เกี่ยวข้องกับการยื่นแบบฯ จึงมิใช่ข้อแก้ตัว
ที่จำเลยที่ 1 นำสืบว่า ยื่นแบบฯ โดยมิได้แสดงรายการหุ้นที่ได้รับมา เพราะเข้าใจว่า เป็นของขวัญแต่งงานได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณภาษีก็ดี
จำเลยที่ 2 นำสืบว่าใช้วิธีซื้อขายและดำเนินการซื้อขายตามคำแนะนำของจำเลยที่ 3 ก็ดี และจำเลยที่ 3 นำสืบว่า เข้าใจว่า เมื่อหุ้นอยู่ในชื่อของบุคคลอื่นในตลาดหลักทรัพย์ การโอนให้ต้องทำในรูปการซื้อขายเท่านั้นก็ดี ล้วนเป็นข้ออ้างที่ขัดต่อเหตุผลและพฤติกรรมของจำเลยทั้งสามดังที่วินิจฉัย จึงฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า หากจำเลยทั้งสามวางแผนเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีอากรจริง ก็สามารถจะกระทำได้โดยวิธีที่ง่ายกว่า เช่น โอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยที่ 1 แล้วให้จำเลยที่ 1 ออกเช็คชำระค่าหุ้นตามฟ้องโดยตรงนั้น
เห็นว่า วิธีการดังกล่าวก็คงจะเป็นอีกวิธีหนึ่งในการหลีกเลี่ยงภาษีอากร แต่การที่จำเลยทั้งสามมิได้เลือกใช้วิธีดังกล่าวก็มิได้เป็นพิรุธถึงกับทำ ให้ไม่น่าเชื่อว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามฟ้อง ซึ่งตามรูปคดี จำเลยทั้งสามคงจะกระทำไปโดยไม่คาดคิดว่า สามีของจำเลยที่ 2 จะมีปัญหาและถูกตรวจสอบทรัพย์สินในเวลาต่อมา โดยเฉพาะในเรื่องการถือครองหุ้นแล้วถูกตรวจสอบต่อเนื่องมาถึงการโอนหุ้นตาม ฟ้อง
ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า จำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 3 เคยโอนหุ้นจากนางสาวดวงตาไปยังนางสาวบุญชู เหรียญประดับ ซึ่งเป็นผู้ถือครองหุ้นแทนจำเลยที่ 2 เช่นเดียวกัน และด้วยวิธีซื้อขายเช่นเดียวกันกับคดีนี้ แต่คณะกรรมการตรวจสอบก็มิได้หยิบยกมาดำเนินคดีนั้น
เห็นว่า เป็นดุลพินิจของคณะกรรมการตรวจสอบที่จะตรวจสอบกรณีใด แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงที่จำเลยทั้งสามยกขึ้นอ้างข้างต้นไม่ปรากฏว่า การซื้อขายระหว่างผู้ถือครองหุ้นแทนจำเลยที่ 2 นั้นเป็นการกระทำโดยความเท็จหรืออุบายอำพรางการให้ระหว่างกันเพื่อหลีก เลี่ยงการเสียภาษีอากรดังเช่นคดีนี้หรือไม่ จึงไม่อาจนำมาเปรียบเทียบกันได้
@ ที่นำสืบว่าคณะกรรมการตรวจสอบใช้อำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ดังนั้นคณะกรรมการตรวจสอบจึงต้องเป็นบุคคลที่เป็นกลางเช่นเดียวกับคณะ กรรมการ ป.ป.ช. แต่กรรมการตรวจสอบบางคนไม่มีความเป็นกลาง เคยมีพฤติกรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพันตำรวจโททักษิณมาก่อนนั้น
เห็นว่า จากอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบตามประกาศ คปค. ฉบับที่ 30 ควรที่คณะกรรมการตรวจสอบจะต้องเป็นผู้ที่มีความเป็นกลาง และพฤติกรรมของคณะกรรมการตรวจสอบบางคนตามเอกสารและภาพถ่ายพยานจำเลยทั้งสาม ก็มีเหตุผลให้เข้าใจไปได้ว่า คณะกรรมการตรวจสอบบางคนเหล่านั้นอาจจะไม่เป็นกลาง แต่เนื่องจากไมมีบทบัญญัติของกฎหมายกำหนดคุณสมบัติคณะกรรมการตรวจสอบไว้เช่น คุณสมบัติของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทั้งการทำหน้าที่ของคณะกรรมการตรวจสอบตามที่ปรากฏในสำนวนก็ไม่ได้ความว่าคณะ กรรมการตรวจสอบคนใดกระทำอย่างใดที่ส่อไปในทางที่ไม่เป็นกลางหรือกลั่นแกล้ง ปรักปรำจำเลยทั้งสาม
คณะกรรมการตรวจสอบมีจำนวนมากถึง 12 คน ทุกคนล้วนมี คุณวุฒิ วัยวุฒิ ประสบการณ์และตำแหน่งหน้าที่การงานสูง ไม่น่าที่คณะกรรมการตรวจสอบบางคนจะสามารถโน้มน้าวครอบงำให้คณะกรรมการตรวจ สอบทั้งหมดมาร่วมกันกระทำการใดที่ไม่เป็นกลางในการตรวจสอบคดีนี้ เพราะจะกระทบต่อตำแหน่งหน้าที่การงาน ความเชื่อถือที่บุคคลเหล่านั้นมีอยู่ รวมทั้งเสี่ยงต่อการที่จะมีความผิดตามกฎหมายได้
ที่สำคัญพยานหลักฐานการกระทำผิดตามฟ้องที่คณะกรรมการตรวจสอบนำมาตรวจสอบ เป็นพยานหลักฐานที่เกิดขึ้นและมีอยู่ก่อนที่จะมีการจัดตั้งคณะกรรมการตรวจ สอบ ทั้งเป็นพยานหลักฐานที่จัดทำโดยคณะกรรมการ ป.ป.ช. ศาลรัฐธรรมนูญ และกรมสรรพากร เกือบทั้งหมด ซึ่งจำเลยทั้งสามก็มิได้ปฏิเสธความมีอยู่ของพยานหลักฐานเหล่านั้น
คณะกรรมการตรวจสอบเพียงรวบรวมพยานหลักฐานดังกล่าวมาตรวจสอบแล้ว ทำความเห็นส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดพิจารณาอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น คดีฟังไม่ได้ว่าคณะกรรมการตรวจสอบทำหน้าที่ในคดีนี้โดยไม่เป็นกลาง
@ที่จำเลยทั้งสามนำสืบว่า การที่คณะกรรมการตรวจสอบมีคำสั่งให้กรมสรรพากรประเมินภาษีจำเลยที่ 1 ใหม่ตามมาตรา 18 แห่งประมวลรัษฎากร เป็นการมุ่งที่จะเรียกเก็บภาษีจากจำเลยที่ 1 ให้ได้ โดยหาได้คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรมตามประมวลรัษฎากรไม่ ซึ่งต่อมาคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีคำวินิจฉัยให้เพิกถอนการประเมินภาา จำเลยที่ 1 ดังกล่าวและคดีถึงที่สุด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีภาระภาษีแล้วนั้น
เห็นว่า เอกสารพยานจำเลยดังกล่าวเป็นเพียงภาพถ่ายจากเว็บไซต์ อ้างข่าวจากแหล่งข่าวกรมสรรพากร ทั้งยังเป็นประเด็นเรื่องขาดอายุความประเมินภาษี ที่เจ้าพนักงานประเมินกระทำในภายหลังเหตุการณ์ตามฟ้อง มิใช่เรื่องการกระทำของคณะกรรมการตรวจสอบที่เกี่ยวกับภาระภาษีของจำเลยที่ 1 ที่ยังมีอยู่ ขณะมีการกระทำผิดตามฟ้อง
@ที่นำสืบว่า การที่คณะกรรมการตรวจสอบอายัดเงินที่ได้จากการขายหุ้นบริษัท ชินคอร์ปซึ่งรวมหุ้นตามฟ้องด้วย ว่า เป็นของพันตำรวจโททักษิณ แสดงถึงความไม่สุจริตของคณะกรรมการตรวจสอบในการดำเนินคดี เนื่องจากหุ้นตามฟ้องจะเป็นของจำเลยที่ 1 และของพันตำรวจโททักษิณในเวลาเดียวกันไม่ได้ ข้อกล่าวหาคดีนี้จึงไม่อาจรับฟังเป็นโทษแก่จำเลยทั้งสามได้นั้น
เห็นว่า ในชั้นนี้ข้อเท็จจริงในกรณีดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยุติ แต่จากพยานหลักฐานที่โจทก์และจำเลยทั้งสามนำสืบมาในคดีนี้ จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยืนยันรับข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานโจทก์ว่า ขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของหุ้นตามฟ้องและมีเจตนาจะให้หุ้นนั้นแก่จำเลยที่ 1 แต่ได้ทำเป็นซื้อขายแทนและชำระค่าหุ้นให้ด้วยเงินของจำเลยที่ 2 เอง
ส่วนจำเลยที่ 1 ก็ยืนยันสอดคล้องต่อเนื่องกันว่า รับให้หุ้นตามฟ้องจากจำเลยที่ 2 ด้วยเจตนาที่จะถือครองเป็นของตนเอง ทั้งได้ไปแจ้งการถือครองหุ้นกับขอออกใบหลักทรัพย์มาเก็บรักษาไว้เป็นหลักฐาน ด้วย
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความเช่นนี้ จำเลยที่ 1 จึงมีภาระภาษีสำหรับมูลค่าหุ้นที่ได้รับการให้มานั้น แต่จำเลยทั้งสามกลับทำการซื้อขายหุ้นอันเป็นความเท็จแทนเพื่ออำพรางการให้ จึงเป็นการร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร การกล่าวหาและดำเนินคดีนี้ของคณะกรรมการตรวจสอบเป็นไปตามข้อเท็จจริงดัง กล่าวจึงชอบแล้ว มิได้ไม่สุจริตดังที่จำเลยทั้งสามอ้างสำหรับข้อนำสืบของจำเลยทั้งสามนอกจาก นี้ ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนไปจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
โดยสรุป พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีเหตุผลและน้ำหนักมั่นคง พยานหลักฐานจำเลยทั้งสามไม่สามารถหักล้างได้ ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามฟ้อง
@ ปัญหาต่อไปมีว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรหรือไม่
เห็นว่า จากข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติดังกล่าวข้างต้นว่า ภายหลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำวินิจฉัยว่าพันตำรวจโททักษิณ จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบด้วยข้อความอัน เป็นเท็จแล้ว กรมสรรพากร ได้มีหนังสือเชิญจำเลยที่ 1 แจ้งว่า ประสงค์จะขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการซื้อหุ้นคดีนี้ ให้จำเลยที่ 1 ไปพบที่สำนักตรวจสอบภาษี กรมสรรพากร และนำหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อหุ้นการชำระเงินค่าหุ้นและอื่นๆ ไปประกอบการพิจารณาด้วย
จำเลยที่ 1 จึงไปพบและให้การต่อ นาย ช. นันท์ เพ็ชญไพศิษฐ์ ผู้อำนวยการสำนักตรวจสอบภาษีและนางเบญจา หลุยเจริญ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษี 9 ตามบันทึกคำให้การ
หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 ไปพบและให้การต่อนางเบญจา หลุยเจริญ ตามบันทึกคำให้การนั้น เป็นกรณีกรมสรรพากรเห็นว่าคำวินิจฉัยของคณะกรรมการ ป.ป.ช.มีเหตุอันควรเชื่อว่า การซื้อขายหุ้นตามฟ้องหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีจึงหยิบยกการเสียภาษีอากรของจำเลยที่ 1 ขึ้นมาพิจารณาจรวจสอบอีกครั้งหนึ่งขณะยังอยู่ภายในกำหนดอายุความเรียกเอาค่า ภาษีอากรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/31 จึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่และชอบด้วยกฎหมาย
จากข้อความในหนังสือเชิญดังกล่าวจำเลยที่ 1 และที่ 2 ย่อมทราบดีว่าเป็นการเรียกตรวจสอบการเสียภาษีอากรจึงไปพบและให้การต่อเจ้า หน้าที่ตรวจสอบภาษี ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานประเมินตามกฎหมาย ปรากฏถ้อยคำตามบันทึกคำให้การ มีสาระสำคัญทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ 2 ต้องการให้จำเลยที่ 1 มีครอบครัวและมีฐานะที่มั่นคงทัดเทียมกับพี่น้อง จึงสนับสนุนให้จำเลยที่ 1 แต่งงานกับจะให้หุ้นแก่จำเลยที่ 1 เป็นของขวัญวันแต่งงาน
แต่เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่พันตำรวจโททักษิณเข้าทำงานทางการเมือง จึงมาให้ภายหลังเมื่อบุตรของจำเลยที่ 1 จะมีอายุครบ 1 ปี เป็นการให้เป็นของขวัญแก่ครอบครัวและบุตรของจำเลยที่ 1 ขณะนั้นจำเลยที่ 2 กับครอบครัวมีทรัพย์สินมากกว่า 20,000,000,000 บาท (2หมื่นล้านบาท)จึงอยู่ในฐานะและวิสัยที่จะให้แก่บุคคลในครอบครัวได้ ทำนองว่า เป็นการให้ที่เป็นการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยา หรือให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณี ซึ่งหากคำให้การของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ข้างต้นเป็นความจริง มูลค่าหุ้นที่ได้รับจากการให้จะเป็นเงินได้ประเภทที่จำเลยที่ 1 ผู้รับให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำไปรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(10)
แต่ปรากฏว่าคำให้การนั้นไม่เป็นความจริงดังที่วินิจฉัยมาข้างต้น แม้คำให้การดังกล่าวจะสอดคล้องตรงกันกับคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญก็ตาม การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็เป็นการร่วมกันยกข้อที่ไม่เป็นความจริงขึ้นมาอ้างเพื่อให้เข้าข้อยกเว้น ไม่ต้องเสียภาษีอากรตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีกำลังตรวจสอบ เป็นเหตุให้กรมสรรพากรหลงเชื่อไม่เรียกเก็บภาษีอากรจากจำเลยที่ 1 และให้ยุติเรื่อง
@ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 นำสืบว่า กรณีข้างต้นเป็นการประเมินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 19 อีกกรณีหนึ่ง จึงต้องมีการออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 ผู้ยื่นรายการมาไต่สวนก่อน แต่กรณีนี้ไม่ได้ออกหมายเรียก เป็นเพียงออกหนังสือเชิญเท่านั้น ทำนองว่าการประเมินของเข้าหน้าตรวจสอบไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากคำให้การที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ไว้จะไม่เป็นความจริง ก็ไม่เป็นความผิดนั้น
เห็นว่า แม้หากจะเป็นการประเมินตามมาตรา 19 ดังที่อ้าง แต่บทมาตราดังกล่าวมีเจตนารมณ์ว่า จะต้องมีการไต่สวนผู้ยื่นรายการก่อนที่จะทำการประเมินเท่านั้น ส่วนการออกหมายเรียกเป็นเพียงวิธีการที่จะได้ตัวผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน รวมทั้งหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ยื่นรายการหรือพยานนั้นนำบัญชี เอกสาร หรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ จึงได้ให้อำนาจเจ้าพนักงานประเมินที่จะออกหมายเรียกในกรณีต่างๆ ไว้ในมาตรา 19
สำหรับคดีนี้ สำนักตรวจสอบภาษีได้มีหนังสือเชิญจำเลยที่ 1 ไปพบพร้อมนำหลักฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องไปประกอบการพิจารณาด้วย ซึ่งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ไปพบเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีตามหนังสือนั้นโดยมิได้โต้แย้งว่าไม่ได้ออก หมายเรียก ทั้งยังได้ให้การในประเด็นการซื้อขายหุ้นตามฟ้องตามที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ภาษีสอบถาม กรณีถือได้ว่า มีการไต่สวนตามมาตรา 19 ข้างต้นแล้ว แม้จะไม่มีการออกหมายเรียกจำเลยที่ 1 ก็ตาม การสอบคำให้การจำเลยที่ 1 และที่ 2 ของเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีจึงไม่เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่อย่างใด
พยานหลักฐานโจทก์ในปัญหานี้มั่นคง พยานหลักฐานจำเลยทั้งสามไม่สามารถหักล้างได้เช่นเดียวกัน ข้อเท็จจริงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจแจ้งข้อความเท็จหรือให้ถ้อยคำเท็จหรือตอบคำถาม ด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จหรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ตามฟ้อง
จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำอันเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการ เสียภาษี จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ จำเลยทั้งสามจึงนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย
แต่จำเลยทั้งสามกลับร่วมกันกระทำการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ไม่เป็นธรรมต่อสังคมและระบบภาษี ทั้งๆ ที่จำนวนค่าภาษีอากรที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระตามกฎหมายและจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้ชำระแทนในที่สุดนั้นเทียบไม่ได้กับจำนวนทรัพย์สินที่จำเลยที่ 2 และครอบครัวมีอยู่ในขณะนั้น การที่จำเลยที่ 1 จะชำระภาษีอากรไปตามกฎหมายเช่นพลเมืองทุกคน จึงมิได้มีผลกระทบต่อฐานะของจำเลยที่ 2 แต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งสามจึงร้ายแรง
พิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37(1) ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอายา มาตรา 91 ฐานร่วมกันโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง หรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน หลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 ปี
ฐานโดยรู้อยู่แล้วหรือโดยจงใจ ร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ หรือให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ หรือนำพยานหลักฐานเท็จมาแสดง เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 1 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คน
ศาลอุทธรณ์ชี้ชะตาคุก3ปี ? “พจมาน – บรรณพจน์” 24ส.ค. คดีเลี่ยงภาษีโอนหุ้น738ล้าน
จาก ประสงค์ดอทคอม
หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 3 ปีที่ศาลอาญาศาลอาญามีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2551 ให้จำคุกนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานคณะกรรมการบริษัท ชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) ที่ 1 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 2 คนละ 3 ปี และจำคุก นางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการคุณหญิงพจมาน ที่ 3 จำนวน 2 ปี ในข้อหา ร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย และร่วมกันแจ้งข้อความเท็จให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ โดยจงใจเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร 546 ล้านบาทจากการโอนหุ้นบริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นชินคอร์ป) จำนวน 4.5 ล้านหุ้น มูลค่า 738 ล้านบาท และจำเลย ได้อุทธรณ์คำพิพากษาต่อศาลอุทธรณ์นั้น
ล่าสุด นายวีรภัทร ศรีไชยา ทนายความคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร เปิดเผยว่า ในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เวลา 09.30 น. ศาลอาญาได้นัดจำเลยทั้ง 3 ประกอบไปด้วยนายบรรณพจน์ คุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา ฟังคำพิพากษา ซึ่งจำเลยทั้ง 3 จะต้องเดินทางมารับฟังคำพิพากษาด้วยตัวเอง ซึ่งในคดีดังกล่าวทีมทนายความมีความพยายามอย่างเต็มที่ ส่วนคำพิพากษาจะเป็นอย่างไรนั้นขึ้นอยู่กับวินิจฉัยของศาล (มติชนออนไลน์ วันที่ 18 สิงหาคม 2554)
ในการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ย่อมได้รับความสนใจจากสาธารณชนอย่างกว้างขวางเพราะนอกจากตัวจำเลยซึ่งเป็น ถึงอดีตภรรยา พ.ต.ท.ทักษิณและพี่ชายบุญธรรมจะเป็นบุคคลสำคัญแล้ว
ในช่วงที่ผ่านมา ยังมีกระแสข่าวว่า คุณหญิงพจมาน แม้จะหย่าขาดจากพ.ต.ท.ทักษิณ(ในทางกฎหมาย)แล้ว แต่ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดตั้งรัฐบาลพรรคเพื่อไทยด้วย
ดังนั้นผลไม่ว่าคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์จะออกมาเช่นไร ย่อมถูกหยิบยกมาเป็นประเด็นในทางการเมืองอย่างแน่นอน
กรณีแรก ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษาให้ยกฟ้อง ต้องจับตาดูว่า พนักงายอัยการจะยื่นฎีกาต่อศาลฎีกาหรือไม่ซึ่งเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเป็นไปตามขั้นตอนปกติพนักงานอัยการน่าจะต้องหารือกับคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในฐานะที่รับไม้ต่อจากคณะ กรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.)ที่สิ้นสภาพไป แล้ว
ถ้าพนักงานอัยการไม่ฎีกาย่อมต้องมีเสียงวิพากษ์อย่างกว้างขวางว่า มีอำนาจทางการเมืองเข้าแทรกแซงเช่นเดียวกับกรณีที่กรมสรรพากรไม่อุทธรณ์คดี การเก็บภาษีโอนหุ้นชินคอร์ จากนายพานทองแท้ และน.ส.พิณทองทา ชินวัตร มูลค่ากว่า 11,000ล้านบาทต่อศาลฎีกาหลังจากที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้นายพานทองแท้ ชนะคดี
กรณีที่สอง ถ้าศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ให้จำคุกคุณหญิงพจมานและพวก อาจจะมีคนโวยวายว่า เป็นการกลั่นแกล้งหรือทำลายครอบครัวชินวัตรและพ.ต.ท.ทักษิณที่กำลังมีอำนาจ ในทางการเมืองอยู่ในขณะนี้
ประเด็นที่น่าสนใจคือ ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นโดยโทษจำคุกของคุณหญิงพจมานไม่เกิน 5 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิอาญา) ห้ามฎีกาต่อศาลฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง (มาตรา 218)เว้นแต่
1.ผู้พิพากษาคนใดซึ่งพิจารณาคดีดังกล่าว หรือลงชื่อในคำพิพากษาหรือทำความเห็นแย้งในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์เห็นว่า ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา
หรือ 2. อธิบดีกรมอัยการ(อัยการสูงสุด)ลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรที่ศาลสูงสุดจะได้วินิจฉัย (มาตรา 221)
จากกรณีดังกล่าว คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงมีความสำคัญมากโดยเฉพาะถ้ามีคำพิพากษายืน จะทำให้การฎีกาต่อศาลฎีกาทำได้ไม่ง่ายนัก นอกจากนั้น แม้จะยื่นฎีกาได้ แต่ถ้าศาลฎีกาเห็นว่า ฎีกานั้นไม่มีสาระสำคัญหรือจะมีผลในการเปลี่ยนแปลงผลคดีก็อาจไม่รับฎีกาก็ ได้
สำหรับรายละเอียดของคดีดังกล่าว ตามคำฟ้องของอัยการแบ่งออกเป็น 2 ข้อหา
ข้อหาที่ 1 เมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 จำเลยทั้งสามได้บังอาจร่วมกันหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากรโดยใช้อุบายว่า จำเลยที่ 2(คุณหญิงพจมาน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ ฯหรือบริษัท ชิน คอร์ป สั่งขายหุ้นบริษัทดังกล่าวของจำเลยที่ 2 ซึ่งมีชื่อของนางสาวดวงตา วงศ์ภักดี หรือนางดวงตา ประมูลเรือง เป็นผู้มีชื่อทางทะเบียนถือการครอบครองแทนรวมมูลค่าหุ้น 738,000,000 บาท ให้กับจำเลยที่ 1 (นายบรรณพจน์)ซึ่งเป็นญาติของจำเลยที่ 2
โดยจำเลยทั้งสามร่วมกันแสดงเจตนาลวงว่าได้มีการซื้อขายหลักทรัพย์ผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งได้รับการยกเว้นไม่ต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ใน ตลาดหลักทรัพย์มารวมคำนวณเป็นเงินได้พึงประเมินเพื่อประเมินเสียภาษีเงินได้ บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วจำเลยที่ 2 ไม่ได้ขายหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 แต่เป็นการโอนหุ้นให้กับจำเลยที่ 1 เป็นการอำพรางการให้ ซึ่งจำเลยที่ 1 ผู้รับการให้จะต้องนำมูลค่าหลักทรัพย์ ประมาณ 738,000,000 บาท มาคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้พึงประเมินเพื่อเสียภาษี ประจำปี 2540 เป็นเงินจำนวน 273,060,000 บาท
ต่อมาจำเลยที่ 1 ได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ประจำปี 2540 โดยมิได้นำค่าหุ้นดังกล่าวมารวมคำนวณเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษี การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเป็นการร่วมกันกระทำโดยความเท็จ โดยฉ้อโกง โดยอุบาย หรือวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน เป็นเหตุให้รัฐเสียหายขายรายได้
ข้อหาที่ 2 ต่อมาวันที่ 18 พ.ค. 2544 ถึงวันที่ 30 ส.ค. 2544 จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยรู้อยู่แล้ว จงใจได้บังอาจร่วมกันแจ้งข้อความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ ตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษีอากร ต่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีอากร ซึ่งเป็นเจ้าพนักงาน
โดยจำเลยที่ 1 ให้ถ้อยคำและตอบคำถามว่า การซื้อหุ้นเมื่อวันที่ 7 พ.ย. 2540 เป็นกรณีจำเลยที่ 2 ยกหุ้นให้ โดยโอนหุ้นให้บุคคลอื่นถือแทนในตลาดหลักทรัพย์และจำเลยที่ 2 เป็นผู้จ่ายเงินซื้อ และให้ถ้อยคำเพิ่มเติมว่า เป็นพี่บุญธรรมของจำเลยที่ 2 ได้ช่วยเหลือกิจการของจำเลยที่ 2 จนมีความเจริญก้าวหน้า จำเลยที่ 2 ได้มอบของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายของจำเลยที่ 1 เป็นหุ้น จำนวน 4.5 ล้านหุ้นดังกล่าว โดยไม่มีค่าตอบแทนจึงเข้าใจโดยสุจริตว่า เป็นการให้โดยเสน่หา ตามธรรมเนียมประเพณีและธรรมจรรยาของสังคมไทย ได้รับการยกเว้นตามมาตรา 42 (10) แห่งประมวลรัษฎากร
ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำมีสาระสำคัญว่าตนตั้งใจที่จะมอบหุ้นให้จำเลยที่ 1 จำนวนหนึ่งในวันแต่งงาน แต่มอบให้ไม่ทันเนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เตรียมเข้าทำงานในทางการเมือง เมื่อจัดการเรื่องบริหารงานเสร็จสิ้นจึงได้ยกหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้นเป็นของขวัญให้แก่ครอบครัวและบุตรชายจำเลยที่ 1 โดยหุ้นที่โอนให้เป็นของจำเลยที่ 2 ซึ่งนางดวงตา วงศ์ภักดี เป็นผู้ถือหุ้นแทนและอยู่ในพอร์ทที่ทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว
จำเลยทั้งสองรู้อยู่แล้วว่าข้อความที่ให้ถ้อยคำ ตอบถ้อยคำนั้นเป็นเท็จ เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อให้พนักงานสรรพากรเชื่อว่า การโอนหุ้นดังกล่าวเป็นเงินที่ได้จากการอุปการะโดยหน้าที่ธรรมจรรยาหรือจาก การให้โดยเสน่หาเนื่องในพิธีหรือตามโอกาสแห่งขนบธรรมเนียมประเพณีซึ่งได้รับ การยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ความจริงแล้วเป็นการให้เพื่อตอบแทนที่จำเลยที่ 1 ทำงานให้ครอบครัวของจำเลยที่ 2 แต่ทำอุบายอำพรางว่าเป็นการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเพื่อจะหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงหรือ พยายามหลีกเลี่ยงภาษีอากรตามลักษณะ 2 แห่งประมวลรัษฎากร โดยความเท็จ ให้ถ้อยคำเท็จ หรือตอบคำถามด้วยถ้อยคำอันเป็นเท็จ และโดยการฉ้อโกงโดยอุบายของจำเลยทั้งสอง เป็นเหตุให้รัฐเสียหายต้องขาดรายต้องขาดรายได้อันควรได้เป็นเงินภาษีอากร จำนวน 273,060,000 บาท และเงินเพิ่มจำนวน 273,060,000 บาท รวมเป็นเงิน 546,120,000 บาท
ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ตรวจสอบมูลคดีแล้ว จึงแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง และคณะอนุกรรมการไต่สวนได้แจ้งข้อกล่าวหาให้แก่จำเลยทั้ง 3 ทราบโดยชอบแล้ว จำเลยทั้ง 3 ได้ชี้แจงข้อกล่าวหาโดยให้การปฏิเสธ คตส.จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดีต่อศาล