ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นกับระเบียบทางการเมือง
โดย : อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์
หากจะอธิบายความขัดแย้งทางการเมืองที่ปรากฏชัดในช่วงห้าหกปีที่ผ่านมา จำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจในสองด้านที่สำคัญ
ได้แก่ "ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น" ที่ขัดแย้งกับ "ระเบียบทางการเมือง" ที่จรรโลงความไม่เท่าเทียมนั้น (Class inequality and Political order)
ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นนั้นดำรงอยู่มาเนิ่นนานในสังคม หากแต่เมื่อก่อนนั้นคนจำนวนมากได้ยอมรับโดยดุษณีว่าสังคมก็ต้องเป็นอย่างนั้น คำสอนทางสังคมผ่านทุกสถาบันไม่ว่าจะเป็นครอบครัว โรงเรียน สถาบันศาสนา ฯลฯ ก็จะเน้นให้ยอมรับที่ต่ำที่สูงหรือยอมรับความแตกต่างทางชนชั้นโดยยึดถือเป็นเสมือนสภาวะธรรมชาติที่ต้องเป็นไป แม้เราจะเห็นความแตกต่างทางชนชั้นแต่เราก็มักจะอธิบายหลีกเลี่ยงไปในทำนองว่าความแตกต่างทางชนชั้นนั้นไม่ได้คงที่ คนสามารถเลื่อนชนชั้นกันได้ไม่ยากในสังคมไทย
ความไม่เท่าเทียมกันทางเศรษฐกิจจึงถูกตอกย้ำให้ดำรงอยู่ด้วย "ทุนทางสังคมและทุนทางวัฒนธรรม" ของสังคมไทยซึ่งเป็นทุนที่ทำให้เกิดความมั่นคงของความไม่เท่าเทียมกัน
การทำความเข้าใจ "ความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น" ในวันนี้ จึงไม่ใช่เพียงแค่การศึกษาความไม่เท่าเทียมทางด้านเศรษฐกิจเท่านั้น หากแต่ต้องทำความเข้าใจในประเด็นที่ว่าทำไมคนจำนวนมากที่ครั้งหนึ่งยอมรับและอยู่กับความไม่เท่าเทียมนั้นมาเนิ่นนาน กลับสามารถเปลี่ยนแปลงตนเองมาสู่คนที่ตระหนักถึงความไม่เท่าเทียมและลุกขึ้นมาเรียกร้องความเท่าเทียมกันในสังคม หรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ความจำเป็นในการเข้าใจกระบวนการทางการเมืองในปัจจุบันต้องทำความเข้าใจในความเปลี่ยนแปลงของระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของคนที่ได้ตระหนักถึงความไม่เท่าเทียม
อะไรทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของผู้คน
กระบวนการที่ก่อให้เกิดคำถามต่อระเบียบทางการเมืองที่จรรโลงสังคมจะเริ่มได้ก็ต่อเมื่อคนกลุ่มนั้นๆ ได้ให้ความหมายใหม่แก่ "ตนเองและการดำรงอยู่ตนเอง" ซึ่งจะเป็นระบบของความหมาย (Meaning systems) อีกชุดหนึ่งที่เริ่มไม่สอดคล้องกับระบบความหมายของระเบียบทางการเมืองแบบเดิม
เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในความหมายของ "คนเองและการดำรงอยู่ของตนเอง" จึงได้ก่อให้เกิดการสร้างทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมชุดใหม่ขึ้นมา เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนปฏิบัติการของกลุ่มของตน
เมื่อสร้างและผลิตทุนทางวัฒนธรรมและทุนทางสังคมได้เข้มแข็งมากขึ้น ก็จะนำไปสู่การเคลื่อนไหวทางการเมืองเพื่อปรับเปลี่ยนระเบียบทางการเมืองให้สอดคล้องไปกับการเกิดขึ้นมาของกลุ่มของตน ซึ่งเป็นกลุ่มทางการเมืองกลุ่มใหม่
กล่าวได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจได้ทำให้เกิด "คนกลุ่มใหม่" ที่มีวิถีชีวิตแตกต่างไปจากเดิม และก่อตัวเป็นกลุ่มก้อน/ชนชั้นชัดเจนขึ้น การดำรงวิถีชีวิตของ "คนกลุ่มใหม่" ได้เผชิญหน้า/สัมพันธ์/ปะทะกับระเบียบทางการเมืองแบบเก่ามากขึ้นหรือถี่ขึ้นกว่าเดิม ในระยะแรกๆ ของการเผชิญหน้า/สัมพันธ์/ปะทะนั้น คนกลุ่มใหม่นี้ก็จะค่อยเรียนรู้ถึงความไม่สอดคล้องของระเบียบการเมืองแบบเก่ากับการดำรงชีวิตของกลุ่มตน การเรียนรู้เช่นนี้จะพัฒนาขึ้นและแพร่หลายออกไปกว้างขวางมากขึ้น ตามระบบการสื่อสารของคนกลุ่มใหม่ที่ได้สร้างสรรค์ขึ้นมา
ประวัติศาสตร์ของ "ชีวิตประจำวัน" ที่ต้องสัมพันธ์กับอำนาจรัฐในระเบียบทางการเมืองแบบเก่าได้ก่อให้เกิดความอึดอัดคับข้องใจมากขึ้นๆ จนกระทั่งเกิดการจุดชนวนทางการเมืองขึ้นมา ซึ่งเป็นเชื้อไฟให้แก่ความอึดอัดคับข้องใจได้ปะทุเข้มข้นมากขึ้น
เราอาจจะต้องแบ่งประวัติศาสตร์ออกเป็นอีกช่วงหนึ่ง เพราะประวัติศาสตร์ในช่วงของการลุกขึ้นสู้ของคนกลุ่มใหม่ จะกลายเป็นกระบวนการ "ตกผลึก" ของระบบอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในเรื่องความไม่เท่าเทียมให้แจ่มชัดจนเป็น "ธงนำ" ของการต่อสู้ทางการเมือง
กล่าวโดยสรุป คือ การศึกษาการเกิด "คนกลุ่มใหม่" ในสังคมอย่างเป็นประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับโครงสร้าง จะช่วยทำให้เราเข้าใจถึงการปะทุขึ้นมาของอารมณ์ความรู้สึกของความไม่เท่าเทียมทางชนชั้นได้ชัดเจนขึ้น
พร้อมกันนั้น จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในคู่ตรงกันข้ามของความรู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมทางชนชั้น ก็คือ ต้องศึกษาระเบียบทางการเมืองแบบเดิมที่พยายามจรรโลงความไม่เท่าเทียมให้ดำเนินต่อไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นกลไกอำนาจรัฐ กลไกทางด้านอุดมการณ์ และกลไกทางด้านสังคมและวัฒนธรรม
ระเบียบการเมืองแบบเดิมที่ด้านหนึ่งใช้อำนาจรัฐในการควบคุมและใช้ความรุนแรง ในอีกด้านหนึ่งกลับใช้ระบบเกียรติยศดึงเอาคนเข้ามาสยบยอม
คำถามที่สำคัญสำหรับการทำความเข้าใจระเบียบทางการเมืองแบบเก่า ได้แก่ การที่ชนชั้นนำไม่สามารถที่จะปรับการใช้กลไกอำนาจรัฐและระบบเกียรติยศของตนให้ครอบคลุมและดูดซับเอาคนกลุ่มใหม่ให้เข้ามาอยู่รวมในกรอบความคิดเดิมได้ เพราะความสำเร็จของการรักษาระเบียบทางการเมือง ก็คือ ศักยภาพในการดูดซับเอาคนแต่ละรุ่นได้เข้ามามีส่วนร่วมในระเบียบทางการเมืองนั้นๆ
(ทั้งหมดนี้ ผู้เขียนได้ความคิดมาจากงานวิจัยที่มีคุณภาพของนักวิชาการสายมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อันได้แก่ ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี อรัญญา ศิริพล สิบสกุล กิจนุกร นพพล อาชามาส แต่ทั้งสี่ท่านไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบกับการตีความของผม)