จาก โพสต์ทูเดย์
กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิงจากเรือดำน้ำมาเป็นเรือดันน้ำ ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นจากไหนและมาเกี่ยวกันได้อย่างไร
โดย........อสนีบาต
ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
หัวเรื่องข้างต้น มิได้เขียนผิด แต่เป็นปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่ก่อนเข้าประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) และหลังประชุมครม.เสร็จสิ้น เหตุการณ์พัฒนามาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่การกระพือข่าวทางสื่อออนไลน์ เอสเอ็มเอส “ ครม.ผ่านฉลุยจัดซื้อเรือดำน้ำ “จนกระทั่งมาถึงข่าว “กองทัพเฮเก้อ” แต่ที่หนักกว่านั้น กลับปรากฎอีกข่าวตามมาด้วยการอ้างถึงคำว่า “เรือดันน้ำ”
กลับตาลปัตรโดยสิ้นเชิง จากเรือดำน้ำ มาเป็นเรือดันน้ำ ความผิดพลาดนี้เกิดขึ้นจากไหนและมาเกี่ยวกันได้อย่างไร
ข่าวความพยายามผลักดันโครงการเรือดำน้ำมีมาตั้งแต่ช่วงปลายรัฐบาล อภิสิทธิ์ก่อนยุบสภา จนกระทั่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารประเทศ มีการขีดเส้นตายผ่านมาจากกองทัพ จะต้องเร่งเสนอให้ทันก่อนสิ้นปีงบประมาณนี้ นั่นคือ ปลายเดือนกันยายนนั่นเอง เพราะหลังจากนี้การตั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการจะยุ่งยากมากขึ้น ทำให้ทุกสายตาโดยเฉพาะบรรดาผู้นำเหล่าทัพ จับจ้องมาที่ประชุมครม.นัดสัปดาห์สิ้นเดือน ผลจะออกมาหัวหรือก้อย
การประชุม ครม.เมื่อวันที่ 27 ก.ย. ใช้เวลายาวนานเป็นพิเศษ 3 ชั่วโมงกว่า กระทั่งเวลา 13.30 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงมาแถลงข่าว.เธอลงมาด้วยสีหน้างุนงงและยิ้ม พร้อมกับกล่าวว่า "จำ ไม่ได้วันนี้ครม.พิจารณา 37 ข้อ จริงๆแล้วในส่วนของครม.นั้นไม่ได้ติดขัด ในส่วนของเรือดำน้ำผ่านเรียบร้อยแล้วค่ะ ส่วนของแบล็คฮอว์กนั้นยังติดนิดเรื่องของเทคนิคเรื่องของรายละเอียดราคาเท่า นั้น ก็ให้ไปหารือกับทางด้านของสำนักงบใหม่ค่ะ”
นี่คือคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่สื่อมวลชนบันทึกเทปไว้และถอดเทปฟังคำต่อคำ เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นถ้อยแถลงของผู้นำประเทศ ก่อนถูกนำไปตีแผ่สาธารณชนให้เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่าบัดนี้ ครม. สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับกองทัพประเทศไทย ด้วยการจัดซื้อเรือดำน้ำ
สื่อมวลชนหูผึ่ง กองทัพยิ้มร่า
ในเมื่อรู้แล้วว่าอนุมัติซื้อแต่เพื่อให้การนำเสนอรายละเอียดต่อประชาชน ชัดเจนมากกว่านี้ จึงมีการติดตามข้อมูลจากทีมโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ว่า เป็นการจัดซื้อเรือดำน้ำรุ่นใด จากประเทศไหน ราคาเท่าไหร่ก่อหนี้ผูกพันกันอย่างไร
ทว่า การเช็คข้อมูลของสื่อก็ต้องหยุดกึ๊ก เมื่อทีมโฆษกรัฐบาลออกมายืนยันว่า “ไม่มีวาระจัดซื้อเรือดำน้ำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.!”
แล้วเหตุใดนายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทย ถึงได้แถลงออกมาชัดเจนซะขนาดนั้น
สื่อมวลชนจึงเริ่มทำการตรวจสอบหาข้อเท็จจริงกันอีกรอบ เมื่อพบว่า ในวาระการประชุมครม.มีโครงการจัดซื้อของกระทรวงกลาโหม สองโครงการใหญ่ นั่นคือการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์ติดอาวุธ 8 ลำ ส่วนโครงการที่สอง เป็นการจัดซื้อเฮลิคอปเตอร์แบล็กฮอลก์แบบทั่วไป ซึ่งมติครม.วันที่ 27 ก.ย. เห็นชอบเฉพาะโครงการแรกเท่านั้น ส่วนโครงการที่สองให้ไปหารือกับสำนักงบประมาณอีกครั้ง
อ้าว โครงการจัดซื้อเรือดำน้ำ จมหายไปไหน
การตรวจสอบในเชิงลึก พบว่า มีการหารือนอกรอบระหว่าง นายกรัฐมนตรีกับ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ซึ่งไม่อาจคาดเดาได้ว่าเป็นการหารือเรื่องขอนำวาระซื้อเรือดำน้ำเข้า ครม.หรือ การทำความเข้าใจเรื่องซื้อเฮลิคอปเตอร์ เป็นเรื่องของคนสองคนเท่านั้นที่จะรู้เรื่องดี ยกเว้นมีจิ้งจกใต้เบาะอีกตัวหนึ่งอาจทราบข้อเท็จจริง
แต่ไม่ว่าจะหารือนอกรอบประการใด โครงการใหญ่ๆจำเป็นต้องนำเข้าครม.อยู่ดี และถ้าจะอนุมัติกันนอกห้องประชุมก็คงจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งถ้านำเสนอเป็นวาระจรดูจะสุ่มเสี่ยงอย่างยิ่ง จึงสรุปว่า ไม่มีวาระเรือดำน้ำเข้าครม.
การติดตามหาความกระจ่างไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ จึงนำเรื่องไปถามความชัดเจนและรายละเอียดทั้งบุคคลใกล้ชิด ทีมโฆษกเริ่มตึงเครียด พร้อมกับออกมาเปิดเผยอย่างเบาๆในเวลาต่อมาว่า “ เรากำลังหาทางออกให้ท่านนายกฯ”
15.30น.ที่ตึกนารีสโมสร น.ส.ฐิติมา ฉายแสง โฆษกรัฐบาสลได้เรียกทีมโฆษกรัฐบาลหารือ และทีมงานโฆษกได้พยายามบอกกับสื่อมวลชนว่า นายกรัฐมนตรีเข้าใจผิด อาจจะเป็นเรื่องของการเผลอ ขณะที่ทีมข่าวสอบถามจากรองโฆษกรัฐบาล อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด และ ชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา ก็ได้รับคำอธิบายละม้ายคล้ายกันว่า” สงสัยนายกฯต้องการบอกกับสื่อถึงเรื่อง “ เรือดันน้ำ “ที่ครม.เห็นชอบในหลักการเมืองเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เพื่อนำมาดันระบายน้ำลงสู่ทะเลไม่ให้ท่วมขัง
แน่นอนทั้งสองพูดตรงกัน ! แถมย้อนคำถามมาที่สื่อฟังผิดหรือเปล่า กลับกลายเป็นว่าโทษสื่ออีก
ไม่ว่าจะเฉไฉกันอย่างไร แต่ในช่วงเวลาต่อมา ทีมงานนายกฯ แหล่งข่าวผู้ใกล้ชิดนายกฯ ต่อสายถึงสื่อมวลชนที่รู้จัก พร้อมกับขอแก้ข่าวพัลวัน โดยต้องการให้สื่อเข้าใจว่า น่าเป็นการพูดถึงเรือดันน้ำ
เมื่อข้อความดังกล่าวออกมาหลายทางในลักษณะโทนเดียวกัน พอจะทำให้เห็นว่า นี่แหละคือการหาทางออกให้นายกฯหญิงคนแรกของประเทศไทยสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
ในที่สุดจากเรือดำน้ำสามารถพลิกเปลี่ยน เป็นเรือดันน้ำ ถ้าไม่คิดอะไรมากก็เหมือนรับฟังมุขตลก แต่นี่คือวาระประเทศไทย วาระรัฐบาลที่กำลังทำงานเพื่อประชาชน กลับการเล่นตลกแบบนี้ น่าจะออกไปทางตลกร้ายซะมากกว่า
เพราะไม่ว่าจะเป็นเรือดำน้ำ มาเป็นเรือดันน้ำ หรือจะเป็น ฮ.ดำน้ำ หรือจะเป็นคนดำน้ำ ก็ได้สร้างความสับสน ความเข้าใจผิดไปสู่วงกว้างเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
มิใช่ครั้งแรกกับพฤติกรรมสร้างความสับสนอลหม่าน หากแต่ก่อนหน้านี้ เกิดขึ้นกับกรณีนายกฯยิ่งลักษณ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ระบุว่า “ไม่ยืนยันพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรรอบปราสาทพระวิหารเป็นของไทย” แต่ทว่าในเวลาต่อมากลับมีการโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คนายกฯยิ่งลักษณ์” พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร เป็นของประเทศไทย” จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ตกลงจะเชื่อนายกฯยิ่งลักษณ์ หรือนายกฯในเฟซบุ๊คกันดี หรือการทวงถามจุดยืนนายกฯที่เคยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ จะแก้กฎหมายมาตรา 112 เกี่ยวกับคดีหมิ่นสถาบัน แต่ก็ออกมาชี้แจงไม่ทราบ
จากคำพูดยังสะท้อนไปถึงบรรดานโยบายรัฐบาลที่ออกมาเอาใจประชาชนอยู่ในขณะ นี้ จะเป็นรถยนต์คันแรก บ้านหลังแรก หรืออะไรก็แล้วแต่ มักมีเหตุการณ์ชักเข้าชักออก เปลี่ยนแปลงรายละเอียดเงื่อนไข นำเสนอครม.ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับการกำหนดนโยบายในช่วงที่ผ่านมาไม่สะเด็จน้ำ ทำกันแบบสุกเอาเผากิน จนเริ่มมีคำถาม ที่ทำอยู่ขณะนี้ เป็นความมุ่งมั่นจริงใจทำเพื่อประชาชน 63 ล้านคนจริงหรือเปล่า
งานบริหารชาติบ้านเมือง มิใช่บริหารด้วยคำพูดแบบบอกผ่านหนูไม่รู้ หรือผลิตนโยบายเล่นขายของไปวันๆ แต่ความรับผิดชอบทุกคำพูดทุกการตัดสินใจเป็นสิ่งสำคัญ
เพราะสามารถพาชาติรุ่งโรจน์และลงเหวได้ในเวลาเดียวกัน