จาก โพสต์ทูเดย์
ถึงตอนนี้นโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถม ของรัฐบาลที่ตีฆ้องร้องป่าวตอนหาเสียงไว้ ถือว่าเงียบสนิทเหมือนจมอยู่ใต้น้ำท่วม
โดย...ทีมข่าวการเงิน
ถึงตอนนี้นโยบายประชานิยม ลด แลก แจก แถม ของรัฐบาลที่ตีฆ้องร้องป่าวตอนหาเสียงไว้ ถือว่าเงียบสนิทเหมือนจมอยู่ใต้น้ำท่วม
เพราะวิกฤตน้ำท่วมที่เกิดขึ้นมานั้น รัฐบาลประเมินปัญหาต่ำกว่าความเป็นจริง และบริหารจัดการแก้ปัญหาล้มเหลว กลายเป็นบูเมอแรงมาฆ่านโยบายประชานิยมให้ล้มทั้งยืน
ที่เห็นเด่นชัด โครงการรถคันแรกบ้านหลังแรกที่เป็นจุดขายของรัฐบาลได้ดีในช่วงเริ่มต้น แต่โชคไม่ช่วย เปิดตัว 2 โครงการไปไม่กี่วันเจอวิกฤตน้ำท่วมรุนแรง ทำให้ไม่ได้รับความสนใจอย่างที่คาดหวังไว้
โครงการรถคันแรกที่ใช้เงินงบกว่า 100 ล้านบาท ตีฆ้องร้องป่าวจัดงานเปิดตัวที่ไบเทค บางนา เมื่อเดือนที่ผ่านมาปรากฏว่านายกรัฐมนตรีไม่ได้ไปร่วมเป็นประธานเปิดงาน เพราะกลัวเสียงวิจารณ์ว่าน้ำท่วมทั่วประเทศยังมาเปิดตัวรถคันแรกหาเสียงทาง การเมือง
ทำให้การจัดงานที่คาดว่ามีคนมาเข้าชม 2 แสนคน แต่เอาเข้าจริงยอดคนมาร่วมงานไม่ถึงครึ่ง เพราะคนไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะซื้อรถคันแรก แถมรถคันเก่าก็ไม่รู้จะจมน้ำวันไหน
โครงการรถคันแรกรัฐบาลตั้งเป้าหรูไว้ 5 แสนคัน ต้องใช้เงินงบประมาณจ่ายคืนให้ผู้ซื้อรถคันละไม่เกิน 1 แสนบาท คิดเป็นเงิน 3 หมื่นล้านบาท แต่เชื่อว่าพิษจากน้ำท่วมใหญ่ได้สร้างความเสียหายกับทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก
ผู้ประกอบการรถได้รับผลกระทบ โรงงานผลิตไม่ได้ คนชะลอซื้อรถคันแรกเป็นจำนวนมาก เพราะต้องการเก็บเงินไว้ซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายจากน้ำท่วมใหญ่
รถคันแรกจึงจอดสนิท
ขณะที่นโยบายบ้านหลังแรกก็ไม่ต่างกัน ผลจากน้ำท่วมใหญ่ท่วมบ้านเรือนคนนับหลังคาไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นบ้านคนจนในชุมชน ยันบ้านคนรวยในโครงการหรู ต่างหนีไม่พ้นน้ำ
โครงการก่อสร้างบ้านต่างๆ ที่ยังไม่มีการโอน ไม่มีการซื้อขาย ก็ถูกน้ำท่วมไปด้วยเหมือนกัน
ผลที่ตามมาหลังจากนี้ไป อาจทำให้โครงการอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ คนที่จองแล้วจะไม่โอน คนที่คิดจะมาซื้อก็ยังไม่ซื้อ
อสังหาริมทรัพย์ที่จะได้อานิสงส์จากนโยบายกลายเป็นหมัน
โครงการบ้านหลังแรกจึงไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนของคนไทยอีกต่อไป
คนไทยจำเป็นต้องเก็บเงินไว้ใช้อย่างอื่นหลังน้ำท่วม
มาตรการซื้อบ้านหลังแรก ที่ให้ผู้ซื้อนำเงินค่าซื้อบ้านมาหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 5 แสนบาท เป็นเวลา 5 ปี ที่คาดว่าต้องสูญเงินภาษีจากมาตรการนี้ไปถึง 1 หมื่นล้านบาท ก็จมน้ำไปด้วย
เช่นเดียวกับมาตรการบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) 0% เป็นเวลา 3 ปี ที่อาจต้องเปลี่ยนเป็นนโยบายซ่อมบ้านเดิมดอกเบี้ย 0% นาน 5 ปีแทน
ที่ผ่านมาแม้ว่ายังไม่มีน้ำท่วม นโยบายรถคันแรก บ้านหลังแรก ก็มีนักวิชาการออกมาวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นการลด แลก แจก แถม เกินความจำเป็น โดยเฉพาะนโยบายรถคันแรกจะทำให้ปัญหาจราจรในเมืองรุนแรงมากขึ้น
พอมีปัญหาน้ำท่วมใหญ่ สร้างความเสียหายให้กับทรัพย์สินและเศรษฐกิจรวมกันกว่า 1 ล้านล้านบาท ก็ยิ่งมีเสียงเรียกร้องดังมากขึ้นให้ยุบนโยบายหาเสียงดังกล่าว เพื่อนำเงินที่ต้องใช้รวมกัน 34 หมื่นล้านบาท ไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังน้ำท่วมที่ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล
แม้ตอนนี้รัฐบาลไม่ยอมฟังเสียงค้าน ยืนยันที่จะเดินหน้าต่อไป ทั้งที่เห็นปัญหาอยู่ตำตา โดยเฉพาะนโยบายรถคันแรกที่เกิดวิกฤตน้ำท่วมมีปัญหาการจราจรอย่างหนัก ส่วนหนึ่งเพราะรถที่มีจำนวนมากไม่มีที่จอด ก็นำรถไปจอดบนสะพานข้ามถนนและบนทางด่วนยาวเหยียดจาก กทม.ถึงเพชรบุรี เป็นปัญหาซ้อนปัญหา
น้ำท่วมใหญ่ทำให้อารมณ์และกำลังซื้อของคนไทยไหลไปกับมวลน้ำแทบไม่เหลือแล้ว
ถือเป็นจังหวะดีที่รัฐบาลจะพับนโยบายนี้ทิ้งไป นำเงินไปช่วยคนน้ำท่วม เชื่อว่าไม่มีคนด่า มีแต่จะได้รับคำชม
การล้มนโยบายดังกล่าวยังทำให้รัฐบาลกู้เงินมาฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วม น้อยลง อย่างน้อยก็ไม่น่าถึง 9 แสนล้านบาท ภายใต้โมเดลนิวไทยแลนด์
หากรัฐบาลยังดื้อ ลด แลก แจก แถม ทั้งที่กระเป๋าตัวเองฉีก เชื่อว่าจะเป็นกับดักระเบิดในอนาคต
โดยเฉพาะในเรื่องการกู้เงินมาฟื้นฟูประเทศ เพราะรัฐบาลดื้อแจกจนกระเป๋าฉีก และยังแบกหน้ากู้หนี้ท่วมหัวทำประเทศจมน้ำชูหัวขึ้นมาหายใจไม่ออก
ไม่ใช่แต่รถคันแรกและบ้านหลังแรกเท่านั้น ที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนล้มเลิก นำเงินไปใช้ในเรื่องที่ควรใช้มากกว่า
ในส่วนของการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ในปี 2555 และ 20% ในปี 2556 ทำให้สูญเงินภาษี 1.5 แสนล้านบาท ทางภาคอุตสาหกรรมก็เรียกร้องให้รัฐบาลทบทวนเลื่อนออกไปก่อน เพื่อนำเงินมาตั้งกองทุนฟื้นฟูผู้ประกอบการที่อาการสาหัสจากน้ำท่วมใหญ่
มีการประเมินกันว่าผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งที่จมอยู่ใต้น้ำ มีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาท และนอกนิคมอุตสาหกรรมอีก 2 แสนล้านบาท
รวมยอดความเสียหายของผู้ประกอบการไม่ต่ำกว่า 45 แสนล้านบาท
ขณะที่นโยบายจำนำข้าวที่ต้องใช้เงิน 34 แสนล้านบาท ก็ถูกเรียกร้องให้ทบทวน เพื่อนำเงินไปช่วยรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบวงกว้างมากกว่า
เมื่อพิจารณาแล้วจะเห็นได้ว่า หากรัฐบาลฟังเสียงเรียกร้องจากสารทิศให้ทบทวนยกเลิกนโยบายประชานิยมที่ตอน นี้ถือว่าไม่ผิดที่ผิดทางและผิดเวลา จะทำให้รัฐบาลมีเงินมาฟื้นฟูประเทศหลังน้ำท่วมได้ 56 แสนล้านบาท
อาจจะไม่ต้องไปกู้อีก 9 แสนล้านบาท ให้ประเทศจมอยู่ในกองหนี้
หากรัฐบาลยังไม่ฟังเสียงเตือนและยอมถอยหลัง ก็เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังให้ทั้งประชาชนและประเทศลืมตาอ้าปากไม่ได้เพราะท่วม กองหนี้ตาย เพราะรัฐบาลเอาแต่ประโยชน์ส่วนตัว คะแนนเสียงของพรรค รักษาแต่คะแนนทางการเมือง โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ประเทศชาติโดยรวมว่าจะจมดึงลงเหวไปเท่านั้น
ถึงเวลาทบทวนนโยบาย ลด แลก แจก แถม ที่จมหายไปกับน้ำ หาเงินมาลงทุนโครงสร้างประเทศในระยะยาวกันได้แล้ว
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี