บันได 8 ขั้น'จีน'ดัน'หยวน'ผงาดโลก
โดย : พิษณุ เหรียญมหาสาร สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พิษณุ เหรียญมหาสาร" สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ วิเคราะห์ จีนกับยุทธการนำหยวนสู่เงินสกุลหลักโลกในอีก 2 ปีข้างหน้า
ระบบเศรษฐกิจการเงินของจีนภายใต้ระบอบคอมมิวนิสต์สามารถแยกได้ 2 ช่วงตามช่วงก่อนและหลังการใช้นโยบายเปิดประเทศในปี คศ.1978 กล่าวคือ
(1) ช่วงก่อนปีคศ.1978 ที่จีนอยู่ในระบบเศรษฐกิจปิดหรือเป็นระบบเศรษฐกิจสังคมนิยมที่มีการวางแผนจากส่วนกลาง รัฐบาลกลางเป็นผู้กำหนดนโยบายและบริหารดำเนินการทางการเงินโดยตรงแต่ผู้เดียว มีธนาคารกลางแห่งรัฐที่ทำหน้าที่ควบคุมดูแลด้านการเงินและดำเนินการกิจกรรรมการเงินร่วมกับธนาคารนโยบายและธนาคารพาณิชย์ 4 แห่ง ทำหน้าที่ด้านการออมและการปล่อยกู้ตามนโยบายธนารคารกลาง
ขณะที่ในส่วนเกี่ยวกับเงินตราต่างประเทศ หรือเงินเหรินหมินปี้(Ren Minbi หรือ RMB) หรือเงินหยวน มีการตั้งหน่วยงานกลางทำหน้าที่ผลิตเงินหยวนขึ้น ในช่วงนี้จีนกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯเป็นอัตราเดียว แต่ในระหว่างปี คศ.1949-1952 ปรากฎว่าอัตราแลกเปลี่ยนหยวนต่อดอลลาร์สหรัฐฯแก่วงมากที่สุด
ในปีคศ.1949 เท่ากับ 600 หยวนต่อหนึ่งดอลลาร์ ปี คศ.1950 อัตราแลกเปลี่ยนลดฮวบเป็นดอลล่าร์ละ 42,000 หยวน ปีคศ.1951 ขยับเป็นดอลลาร์ละ 22,389 หยวน ต่อมาธนาคารกลางจีนออกเงินเหรินหมินปี้ใหม่แทนเหรินหมินปี้เก่า พร้อมกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนที่ดอลลาร์ละ 10,000 หยวน
ในปีคศ.1955 ธนาคารกลางจีนปฏิรูประบบเงินตราต่างประเทศใหม่กำหนดให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนต่อหนึ่งดอลลาร์สหรัฐฯที่ 2.4618 หยวนเป็นอัตราตายตัวที่ใช้กันมาจนถึงปีคศ.1971
(2)ช่วงหลังปีคศ.1978 เมื่อจีนใช้นโยบายเปิดประเทศพร้อมกับการนำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเปิดมาใช้ มีการปรับระบบเศรษฐกิจเป็น “ตลาดเสรี” หรือที่จีนเรียกชื่อว่า ระบบเศรษฐกิจตลาดสังคมนิยม” และเริ่มตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980s จีนได้ปฏิรูประบบเงินตราต่างประเทศ ภายใต้การดูแลรับผิดชอบของธนาคารกลางจีน กำหนดปรับอัตราแลกเปลี่ยนจากดอลลาร์ละ 2.35 หยวนในปีคศ.1978 เป็นดอลลาร์ละ 2.8 หยวนในปีคศ.1981 ต่อมาในระหว่างปี คศ.1988-1993 จีนได้กำหนดใช้ระบบเงินตราต่างประเทศ 2 ระบบ คือ
1)อัตราแลกเปลี่ยนตายตัวเงินหยวนกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
2)อัตราแลกเปลี่ยนตายตัวสำหรับเงินต่างประเทศ(Foreign Exchnage Currency หรือ FEC)กับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ โดยจีนมีจุดประสงค์เพื่อแยกเงินตราต่างประเทศ FEC ให้เป็นเครื่องมือในการเอื้ออำนวยความสะดวกทางธุรกิจกับต่างประเทศเป็นการเฉพาะอย่างชัดเจน แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็นอุปสรรคที่สร้างความสลับซับซ้อนเกิดความสับสนยุ่งยากอีกทั้งเป็นมาตรการที่ไม่สอดคล้องกับ Article 8 ของ IMF
ดังนั้นในปี คศ.1994 จีนจึงได้ยกเลิกระบบ 2 อัตราแลกเปลียนดังกล่าว และกำหนดให้มีอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐฯเพียงระบบเดียว
การยกเลิกสองระบบอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าว มีสาเหตุจากการที่จีนอยู่ในช่วงที่ต้องการจะสมัครเข้าเป็นสมาชิกWTO จึงต้องปรับระบบการค้าและการบริการรวมถึงระบบการเงินให้สอดคล้องกับกติกา WTO และ IMF อีกทั้งต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่ประเทศตะวันตก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สหรัฐอเมริกากำหนดกดดันให้จีนต้องปฏิบัติตาม ซึ่งสองระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินให้เป็นระบบเดียว ก็เป็นหนึ่งเงื่อนไขที่จีนถูกกดดัน แต่เนื่องจากมาตรการเงินตราต่างประเทศมีส่วนสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศจีนเป็นอย่างมาก ดังนั้นจีนจึงได้ใช้ความระมัดระวังในการกำหนดนโยบายและบริหารจัดการระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนอย่างรอบคอบมากที่สุด
อย่างไรก็ตามหลังจีนเข้าเป็นสมาชิก WTO เมื่อ 11 ธันวาคม คศ.2011 ประเทศตะวันตกโดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกายังคงสร้างแรงกดดันต่อค่าเงินหยวนของจีนมากยิ่งขึ้น โดยอ้างถึงการขาดดุลการค้ากับจีนที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990s และในปีคศ.2000
สหรัฐอเมริกาขาดดุลกับจีนถึงประมาณ 84,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเพิ่มเป็นยอดขาดดุลประมาณ 162,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปีคศ.2004 พร้อมกล่าวหาว่าเป็นเพราะค่าเงินหยวนที่อ่อนเกินจริงถึงร้อยละ 20 จึงพากันกดดันให้จีนปรับเพิ่มค่าเงินหยวนให้ใกล้ค่าแท้จริงโดยเร็ว
ในเดือนกรกฎาคม คศ.2005 จีนจำเป็นต้องสนองต่อแรงกดดันของประเทศตะวันตกด้วยการปรับเพิ่มค่าเงินหยวนอย่างระมัดระวัง หันมาใช้ระบบแลกเปลี่ยนเงินตราลอยตัวแบบจัดการได้(Managed Floating Rate)ด้วยการกำหนดเพิ่มค่าเงินหยวนขึ้นในอัตราต่ำมากเพียงร้อยละ 2.1
กล่าวคือจากอัตราดอลลาร์ละ 8.27 หยวนเป็นดอลลาร์ละ 8.10 หยวน ทั้งนี้เพื่อรักษาภาพลักษณ์ความน่าเชื่อมั่นของเงินหยวนให้เป็นเงินตราที่มีเสถียรภาพอย่างมั่นคง ไม่แกว่งขึ้นลงอย่างฮวบฮาบ ซึ่งจะช่วยให้เงินหยวนได้รับความเชื่อถือนิยมและวงการการค้าและธุรกิจให้ความไว้วางใจเชื่อมั่นในระดับโลกต่อเงินหยวน เป็นการเพิ่มโอกาสให้เงินหยวนกลายเป็นเงินสกุลหลักคู่ไปกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯและเงินยูโร ได้ภายในระยะเวลาอันใกล้ได้
จีนกับการขับเคลื่อนเร่งเงินหยวนเข้าสู่สากล
ตั้งแต่กลางปี คศ.2005 ที่จีนได้เปลี่ยนระบบเงินตราต่างประเทศเป็นแบบกำหนดค่าเงินหยวนลอยตัวแบบจัดการได้ พร้อมกับทยอยปรับค่าเงินหยวนให้แข็งขึ้นเพื่อผ่อนปรนแรงกดดันจากประเทศตะวันตกทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปแบบค่อยเป็นค่อยไป ปรากฎว่าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา
ตั้งแต่กรกฎาคม 2005 จนถึง ตุลาคม 2011 ค่าเงินหยวนได้ปรับค่าแข็งขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปจากดอลลาร์ละ 8.27 หยวน เมื่อ 20 กรกฎาคม 2005 เป็นดอลลาร์ละ 6.3483 หยวนเมื่อ 11 ตุลาคม 2011 หรือเงินหยวนแข็งค่าขึ้นร้อยละ 23.3
ขณะที่ประเทศตะวันตกกล่าวหาว่าค่าเงินหยวนอ่อนกว่าความเป็นจริงถึงกว่าร้อยละ 40 ปรากฎว่าล่าสุดจีนได้ปรับค่าเงินหยวนแข็งขึ้นสูงสุดเท่าที่มีมาในช่วง 6 ปี คือร้อยละ 7 ก่อนที่รัฐสภาสหรัฐอเมริกาจะมีการผ่านร่างกฏหมายลงโทษจีนกรณีควบคุมค่าเงินหยวน เมื่อ 3 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา
ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมา ภายใต้แรงกดดันต่อเงินหยวนจากประเทศตะวันตกอย่างต่อเนื่องนั้น ทางฝ่ายจีนก็ได้ดำเนินการออกมาตรการต่าง ๆ ควบคู่กันไป เพื่อผลักดันให้ประเทศต่าง ๆ หันมานิยมและให้ความเชื่อมั่นต่อเงินหยวนอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้นตลอดมา ดัง ปรากฎมาตรการเร่งผลักดันหยวนสู่เงินหลักสากล ดังต่อไปนี้
การผ่อนปรนการควบคุมการใช้เงินหยวนในเวทีสากล ส่งเสริมให้มีการใช้เงินหยวนในวงการธุรกิจการค้าระหว่างประเทศให้กว้างขวางมากขึ้น กล่าวคือ
1.1) ในเดือนกันยายน 2554 ที่ผ่านมา จีนประกาศให้บริษัทต่างชาติที่จะเข้าลงทุนในจีนสามารถใช้เงินหยวนลงทุนได้
1.2) ในเดือนสิงหาคม 2554 จีนอนุญาตให้กลุ่มผู้ส่งออกจีนทั่วประเทศ สามารถใช้เงินหยวนชำระหนี้ต่างแดนได้
1.3)ในเดือนมิถุนายน 2553 จีนยอมผ่อนปรนแรงกดดันจากตะวันตกด้วยการปล่อยให้มีการค้าด้วยเงินหยวนกับดอลลาร์สหรัฐฯได้เสรีมากขึ้น เลิกการตรึงค่าเงินหยวนกับดอลลาร์อย่างเหนียวแน่นตายตัว ทำให้ค่าเงินหยวนในช่วงที่ที่ผ่านมาเพิ่มค่าได้สูงถึงร้อยละ 7 เทียบกับการเพิ่มค่าเงินหยวนเพียงร้อยละ 2-3 ต่อครั้ง
ภายใต้มาตรการควบคุมการปล่อยค่าเงินหยวนอย่างระมัดระวังค่อยเป็นค่อยไป จนทำให้เกิดการกล่าวหาจากประเทศตะวันตกว่าค่าเงินหยวนเพิ่มค่าต่ำกว่าค่าแท้จริงถึงกว่าร้อยบละ 40 เป็นที่มาให้สหรัฐอเมริกานำมาตรการตอบโต้จีนมาใช้
โดยวุฒิสภาสหรัฐอเมริกาลงมติผ่านร่างกฎหมายลงโทษจีนที่ควบคุมค่าเงินหยวน ซึ่งนายกรัฐมนตรีจีน เวิน เจียเป่า ได้แสดงท่าทีตอบโต้ทันทีด้วยการกล่าวว่า “จีนจะรักษาเสถียรภาพเงินหยวนเพื่อผู้ส่งออกจีน เพราะถ้าให้ค่าเงินหยวนแกว่งมากไปก็จะเสี่ยงต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมของจีนได้”
2) จีนส่งเสิรมให้เกิดการใช้เงินหยวนในต่างแดนมากยิ่งขึ้น โดยให้มีการซื้อพันธบัตรในตลาดฮ่องกงด้วยเงินหยวนควบคู่กับการใช้เงินปอนด์สเตอริงซึ่งเป็นสกุลเงินที่นิยมกันมากในฮ่องกง ในปีคศ. 2011 จีนสามารถออกพันธบัตรขายในฮ่องกงได้คิดเป็นมูลค่าแล้ว 70,000 ล้านหยวน
3) รัฐบาลจีนกำหนดให้กลุ่มบริษัทจีนที่ออกไปลงทุนในต่างประเทศ สามารถนำเงินหยวนไปลงทุนต่างประเทศได้
4) จีนลงนามทำข้อตกลงสวอป เงินหยวนกับ 6 ประเทศ คือ เกาหลีใต้ ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย รัสเซียและอาร์เจนตินา และให้มีการใช้เงินหยวนในการซื้อขายนำเข้าส่งออกสินค้าบริการกับ 10 ประเทศ ได้แก่ เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ รัสเซีย พม่า ลาว มาเลเซีย อินโดนีเซีย เวียตนาม ฮ่องกง และอาร์เจนติน่า
5) เดือนกรกฎาคม 2552 รัฐบาลจีนอนุญาตให้ใช้เงินหยวนในการชำระหนี้กับต่างประเทศใน นครซ่างไห่ และ 4 เมืองในมณฑลกวางตง คือ กวางโจว เซินเจิ้น จูไห่และตงก่วน และต่อมาได้ขยายรวมอีก 20 มณฑล ได้แก่ เป่ยจิง เทียนจิน มองโกเลียใน เหลัยวหนิง เจียงซู เจ้อเจียง ฝูเจี้ยน ซานตง หูเป่ย กวางซี ไห่หนาน ฉงชิ่ง ซึ่อชวน หยุนหนาน จี๋หลิน เฮยหลงเจียง ทิเบต ซินเจียงและกวางตง
เมื่อ 6 ธันวาคม 2553 ธนาคารกลางจีนได้เปิดเผยตัวเลขบริษัทจีนที่ใช้เงินหยวนทำธุรกรรมส่งออกนำเข้ากับต่างประเทศในมณฑลต่าง ๆ ของจีน มีรวมกัน 67,359 รายการ จาก 365 บริษัท แยกเป็นบริษัทในกวางโจว เซินเจิ้น จูไห่ และตงกวน รวม 273 บริษัท เป็นบริษัทในซ่างไห่จำนวน 92 บริษัท
6) เดือนสิงหาคม 2553 จีนทดลองให้สถาบันการเงินต่างชาติลงทุนตลาดตราสารหนี้ อินเตอร์แบงค์ในจีน ซึ่งเป็นความเคลื่อนไหวที่จะเปิดช่องให้ผุ้ถือสินทรัพย์เป็นสกุลเงินหยวนได้ เพื่อให้เกิดความมั่นใจในการถือสินทรัพย์และเป็นการกระตุ้นการใช้เงินหยวนในการชำระหนี้การค้าต่างประเทศด้วย และส่งผลให้มีบริษัทและสถาบันการเงินในฮ่องกงได้ออกตราสารหนี้และผลิตภัณฑ์ทางการเงินเป็นเงินหยวนมากขึ้น
ธนาคารโลกเองก็ได้สนับสนุนมาตรการนี้ของจีนด้วยการออกพันธบัตรเป็นเงินหยวนระยะ 2 ปีใช้ในฮ่องกงคิดเป็นมูลค่า 500 ล้านหยวน ซึ่งถือเป็นพื้นฐานเชิงสัญญลักษณ์สำหรับเงินหยวนที่จะเพิ่มบทบาทการเป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนในวงการค้าและธุรกิจระดับโลกได้อย่างแน่นอนในที่สุด ธนาคารดอยซ์แบงค์ของเยอรมันนีคาดว่าในปีคศ.2011
ตราสารหนี้สกุลหยวนในฮ่องกงจะเพิ่มเป็นมูลค่า 150,000 ล้านหยวนเทียบกับมูลค่า 17,800 ล้านหยวนในปี คศ.2010 และเงินฝากสกุลหยวนในฮ่องกงจะมีระดับ 2 ล้านล้านหยวนภายในปี คศ. 2012
7) เดือนกรกฎาคม 2553 รัฐบาลจีนประกาศให้ตั้งศูนย์กลางการเงินที่คุนหมิง มุ่งเน้นเป็นศูนย์กลางของอาเซียนและเอเซียใต้ รวมถึงตะวันออกกลาง โดยกำหนดเป็น 3 ขั้นตอน คือ
ระยะแรก เป็นศูนย์กลางใช้เงินหยวนชำระเงินทำการค้าต่างประเทศ
ระยะที่สอง เป็นศูนย์กลางใช้ขยายการทำธุรกรรมการเงินต่าง ๆ กับต่างประเทศ
ระยะที่สาม เป็นศูนย์กลางพัฒนาการใช้เงินหยวนขวางมากขึ้นและเป็นพื้นฐานสำคัญในการยกระดับเงินหยวนให้เป็นเงินสกุลหลัก(Hard currency)สามารถใช้เป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศควบคู่กับ ดอลลาร์สหรัฐฯและเงินยูโร
8) 1 พฤศจิกายน 2551 จีนส่งเสริมให้มีการใช้เงินหยวนทำการค้าซื้อขายในรูปแบบการค้าชายแดนกับประเทศที่มีดินแดนติดต่อกับจีน โดยเฉพาะการค้าขายกับอาเซียน ให้มีการต่อยอดจากค้าชายแดนเป็นการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านด้วย พร้อมกับกำหนดให้การค้าชายแดนกับประเทศเทศอาเซียนที่มีชายแดนติดกับจีนเพิ่มขึ้น
จากเดิมวันละ 3,000 หยวน ค่อคน เป็นไม่เกิน 8,000 หยวนต่อคน โดยไม่ต้องเสียภาษี ผลจากการส่งเสริมการค้าชายแดนด้วยเงินหยวนทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายจากอัตราแลกเปลี่ยนผ่านดอลลาร์สหรัฐฯ และได้เพิ่มความนิยมต่อผู้ค้าชายแดนมาก ปรากฏว่า การค้าชายแดนด้วยเงินหยวนระหว่างพม่ากีบจีนในปี 2553 รวม 1000 ล้านหยวนต่อปี และการค้าผ่านแดน(ประเทศเพื่อนบ้าน)ไทย-จีนมูลค่า 5008.2 ล้านหยวนในปี พศ.2553
ด้วยมาตรการเร่งเงินหยวนสู่เงินสกุลหลักที่จีนออกมาเป็นชุด ๆ อย่างต่อเนื่องด้วยความสุขุมเยือกเย็นและรอบคอบ จะเอื้อให้เงินหยวนเป็นเงินหลักหรือเป็นเงินสากล(International currency) ได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพราะเงินหยวนมีคุณสมบัติเป็นไปตามเงื่อนไขของการเป็น International currency ครบถ้วนทุกประการ
กล่าวคือ (1) เงินหยวนเป็นเงินที่ใช้แลกเปลี่ยนได้เต็มที่(Full convertibility) (2)ตลาดเงินสกุลหยวนมีแนวโน้มขนาดใหญ่และมีระดับการพัฒนาที่มีศักยภาพสูงมาก ดังกรณีการพัฒนาตลาดเงินหยวนในฮ่องกงที่ประสบผลสำเร็จด้วยอัตราการเจริญเติบโตที่สูงมาก
(3)ประเทศจีนเจ้าของเงินหยวนมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของโลกด้วย GDP ปี 2010 มูลค่า 5.88 ล้านล้านเหรียญสรอ. ปี พศ.2543 จีนมีมูลค่าการส่งออกใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก(1.51 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ) และมูลค่าการนำเข้าของจีนมากเป็นอันดับสองของโลก(1.31 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ)รองจากสหรัฐอเมริกา
(4) ดัชนีชี้เสถียรภาพเศรษฐกิจของจีนทั้ง 5 ตัว( 5 convergences) อยู่ในช่วงการแสดงถึงเศรษฐกิจจีนมีเสถียรภาพมากที่สุดในโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งหนี้สาธารณะของจีนมีเพิยงร้อยละ 18.9 ของ GDP(EUROSTAT) หรือร้อยละ 33.8 ของ GDP(IMF) เทียบกับค่าสัดส่วนหนี้สาธารณะเสถียรภาพต้องไม่เกินร้อยละ 60 ของ GDP
ดังนั้น สถานภาพเศรษฐกิจจีนจึงยังมีความมั่นคงสูงมากขนาดเป็นที่พึ่งพิงของสหรัฐอเมริกาและยุโรปได้สบาย ๆ อย่างไม่ต้องกังขาและเมื่อพิจารณารวมถึงปัจจัยเสริมให้สถานภาพเศรษฐกิจระหว่างประเทศของจีนก็มีฐานะแข็งแกร่งที่สุดในโลก คือการมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก ถึง 3.2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯในเดือนกันยายน 2554
ด้วยปัจจัยความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจของจีนที่กล่าวมาข้างต้นย่อมเป็นหลักประกันให้ เงินหยวนของจีน สามารถผงาดขึ้นสู่เงินสกุลหลักหรือเงินสากล(Internatioal currecy) ได้อย่างไม่ยากในอนาคตอันใกล้คือภายในเวลาไม่เกิน 2 ปีข้างหน้านี้ และไม่ต้องรอถึงเกิน 10 ปีดังที่กูรูการเงินระหว่างประเทศปรามาสกันไว้
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี