สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ไม่ประมาท มีสติปัญญา รู้คิด

ไม่ประมาท มีสติปัญญา รู้คิด

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




พระราชดำรัสพระราชทานพรปีใหม่แก่ประชาชนชาวไทยในปีพุทธศักราช 2555 ให้ประชาชนชาวไทยตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท โดยมีสติรู้ตัว และปัญญารู้คิดนั้น
พรพระราชดำรัสที่มีค่าและตรงประเด็นที่สุดสำหรับการบริหารเศรษฐกิจของไทยปีนี้ เพราะปีนี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนมากที่สุดปีหนึ่ง และสำหรับเศรษฐกิจไทยเอง ก็จะเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ทำให้ปีนี้การบริหารนโยบายเศรษฐกิจจะประมาทไม่ได้


สำหรับเศรษฐกิจโลก ค่อนข้างชัดเจนว่าปีนี้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนสูงจากปัญหาวิกฤติหนี้ยุโรป ทำให้สถานการณ์ของตลาดการเงินและเศรษฐกิจยุโรปปีนี้จะอ่อนไหวมาก ส่งผลกระทบต่อทั้งเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย


ภายในประเทศเอง ปีนี้ก็เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของเศรษฐกิจว่าเราจะเริ่มตั้งหลักได้หรือไม่ หลังจากที่เศรษฐกิจได้สะดุดมานานหลายปีจากความวุ่นวายของเหตุการณ์การเมืองในประเทศ ที่ทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจ มีข้อจำกัดอยู่ตลอด ไม่สามารถขับเคลื่อนตัวเองได้ตามศักยภาพที่มีอยู่ บวกกับปลายปีที่แล้ว เศรษฐกิจก็ถูกกระทบมากจากมหาอุทกภัยน้ำท่วม ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจลดต่ำลงมาก ปีนี้จึงเป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญว่าเศรษฐกิจจะสามารถฟื้นตัวจากภาวะน้ำท่วมได้อย่างเข้มแข็งหรือไม่ และจะเป็นปีเริ่มต้นของการกลับมาเติบโตตามศักยภาพของเศรษฐกิจที่มีอยู่ได้หรือไม่


ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยเศรษฐกิจให้สามารถกลับมาตั้งหลักได้ในปีนี้ ก็คือ การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่ต้องดูแลให้เศรษฐกิจสามารถปรับตัวได้ต่อผลกระทบที่จะมาจากปัญหาในยุโรป ให้การบริหารนำมาสู่แผนการลงทุนแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพ และน่าเชื่อถือที่สามารถดึงความมั่นใจ และการลงทุนของเอกชนให้ฟื้นตามมา และมีการบริหารเศรษฐกิจของประเทศที่น่าเชื่อถือ สร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน และนักลงทุนต่างประเทศ


ในการบริหารนโยบายเศรษฐกิจ ประเด็นที่ต้องตระหนัก ก็คือ นโยบายเศรษฐกิจเป็นปัจจัยสำคัญที่จะชี้นำ และขับเคลื่อนกิจกรรมเศรษฐกิจของภาคเอกชนโดยเฉพาะ    การลงทุน ผ่านการสร้างความมั่นใจในทิศทางเศรษฐกิจของประเทศ และความมั่นใจในการบริหารจัดการเศรษฐกิจของภาครัฐ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะสัดส่วนและบทบาทของภาคเอกชนในระบบเศรษฐกิจนั้นใหญ่กว่าภาครัฐมาก ถ้าการขับเคลื่อนของภาครัฐ ผ่านการบริหารจัดการเศรษฐกิจและการลงทุน สามารถสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชนได้ การใช้จ่ายและการลงทุนของภาคเอกชนก็จะเร่งตัวขึ้นตามแน่นอน  แต่ถ้านโยบายและการบริหารจัดการของภาครัฐดูแล้วไม่มีอะไร ไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนได้ โมเม็นตัมของการใช้จ่ายของภาคเอกชนที่จะนำเศรษฐกิจไปสู่การฟื้นตัวที่เข้มแข็งก็จะไม่เกิด ดังนั้น ปีนี้ถ้าการบริหารจัดการเศรษฐกิจของภาครัฐออกมาเป็นกรณีหลัง ปีนี้ก็คงเป็นอีกปีที่เศรษฐกิจไทยจะยังเดินเป็นวงกลม ไม่สามารถพุ่งทะยานไปสู่การขยายตัวตามศักยภาพที่มีอยู่ได้


ดังนั้นปีนี้จึงเป็น “โอกาสทอง” ของภาครัฐที่จะใช้ “ความไม่ประมาท มีสติปัญญา รู้คิด” เป็นหลักในการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่จะสร้างความมั่นใจให้กับภาคเอกชน ประชาชน และนักลงทุนต่างประเทศ ทั้งเพื่อขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจให้เกิดขึ้นทันที และเพื่อตั้งหลักให้เศรษฐกิจกลับเข้าสู่แนวของการเติบโตตามศักยภาพ รัฐบาลนี้ในอดีตที่เป็นรัฐบาลพรรคไทยรักไทยได้เคยทำแบบนี้สำเร็จมาแล้วครั้งหนึ่งในช่วงหลังปี 2544 ที่ผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็งจากวงจรของความอ่อนแอหลังวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งประเด็นสำคัญที่นำไปสู่ความสำเร็จในคราวนั้น และเป็นสิ่งเดียวกันที่ต้องทำให้เกิดขึ้นในคราวนี้ ก็คือ การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นต่อการบริหารจัดการเศรษฐกิจของรัฐบาล


สำหรับปีนี้ ประเด็นความเชื่อมั่นที่สำคัญต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชน จะมีอยู่สามประเด็น


ประเด็นแรก  คือ การสร้างความมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะสามารถปรับตัวต่อผลกระทบที่จะมาจากวิกฤตการณ์ในยุโรปได้ โดยไม่ทำให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจต้องชะงักงัน หรือสูญเสียการฟื้นตัว ในประเด็นนี้ผมเชื่อว่าขนาดของทุนสำรองทางการที่มีมาก และความเข้มแข็งของสถาบันการเงินของไทย จะทำให้ผลกระทบด้านสภาพคล่องจากปัญหาหนี้ยุโรป ต่อเศรษฐกิจและต่อสถาบันการเงินไทยจะมีจำกัด แต่ผลกระทบจะมีมากจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจยุโรป และการลดลงของการค้าโลก ที่จะกระทบการส่งออก โดยเฉพาะผู้ส่งออกรายเล็กรายย่อยของไทย ที่ต้องปรับตัวมากและคงต้องการความช่วยเหลือ ดังนั้นการสร้างความมั่นใจว่า ทางการให้ความสำคัญและมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมที่จะดูแลผลกระทบเหล่านี้จะสำคัญ


ประเด็นที่สอง ก็คือ การสร้างความมั่นใจว่าการลงทุนเพื่อสร้างระบบป้องกันน้ำท่วม และระบบการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำของประเทศที่ทางการจะทำ จะเป็นระบบที่ดีมีประสิทธิภาพ และตรงต่อการแก้ไขปัญหา ในเรื่องนี้ รัฐบาลคงตระหนักดีอยู่แล้ว แต่ที่ต้องย้ำก็เพราะประเด็นนี้เป็นประเด็นสร้างความเชื่อมั่นสำคัญที่สุดที่อยู่ในใจของภาคเอกชน และนักลงทุนต่างประเทศขณะนี้ และเป็นประเด็นที่นักลงทุนจะใช้วัดความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล ในฐานะผู้บริหารประเทศ ความเสี่ยง ก็คือ รัฐบาลจะใช้โอกาสนี้ลงทุนในหลายๆเรื่องที่อยากทำทั้งที่ไม่เกี่ยวโดยตรงกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ทำให้โครงการลงทุนที่ประกาศออกมาดูไม่แน่น และไม่ดีพอเมื่อเทียบกับเป้าหมายหลักของการบริหารจัดการปัญหาน้ำท่วม ทำให้ไม่ได้ใจภาคเอกชนและนักลงทุนต่างประเทศ แต่ถ้าโครงการที่ประกาศออกมาเป็นผลงานที่สร้างความมั่นใจ และความสบายใจให้กับภาคเอกชน ภาคเอกชนคงพร้อมลงทุนตามด้วยโรงงานใหม่ที่ทันสมัยกว่าเดิม สวยงามกว่าเดิม มีระบบป้องกันน้ำท่วมที่ดีกว่าเดิมสอดคล้องกับการลงทุนของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกฝ่าย


ประเด็นที่สาม ก็คือ การสร้างความมั่นใจว่ารัฐบาลจะบริหารเศรษฐกิจ โดยยึดหลักของความถูกต้อง การทำในสิ่งที่ควรทำ และการให้ความสำคัญกับการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งเป็นแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุด ความเข้มแข็งในประเด็นเหล่านี้เป็นสิ่งที่เศรษฐกิจไทยยังขาดและเป็นสิ่งที่คนในประเทศต้องการ เพราะจะนำไปสู่ระบบเศรษฐกิจที่เติบโตบนพื้นฐานของการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fairness) เป็นระบบเศรษฐกิจที่เปิดโอกาสให้แก่ทุกๆ คนในประเทศ และเป็นระบบที่เอาจริงเอาจังกับการแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน การคอร์รัปชันที่ทำให้คนรวยได้ โดยทุจริตผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการลงโทษ เป็นการทำลายแรงจูงใจทางเศรษฐกิจที่สำคัญ ดังนั้น ถ้าภาคเอกชนเชื่อว่ารัฐบาลเอาจริงกับปัญหาคอร์รัปชัน เศรษฐกิจของประเทศจะเปลี่ยนทันที จากความเชื่อมั่นและกำลังใจที่เกิดขึ้น


ทั้งสามประเด็นความเชื่อมั่นนี้ อยู่ในวิสัยที่ทางการจะสามารถทำให้เกิดขึ้นได้โดยความ “ไม่ประมาท มีสติปัญญา รู้คิด” ก็เอาใจช่วยเต็มที่


สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี

Tags : ไม่ประมาท มีสติปัญญา รู้คิด

view