สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

อดสู!พฤติกรรม ฉะเหลิม เมา-ม่ายยยยยยยเมา

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-"ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง"ได้ เป็นบุคคลในข่าวฉาวโฉ่อีกครั้ง...หลังจากเขาได้แสดงพฤติกรรม คล้ายกับคนเมาสุรา(เหล้า)ครั้งในระหว่างการประชุมสภาพิจารณาร่างแก้ไขรัฐ ธรรมนูญ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 55 จนถึงขั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ขอให้ ร.ต.อ.เฉลิม สำรวม และให้ไปนั่งสงบสติอารมณ์ จากนั้นถูก นางรังสิมา รอดรัศมี ลูกพรรคเดียวกัน ลุกขึ้นประท้วงและกล่าวหาว่า ร.ต.อ.เฉลิม เมาพร้อมเสนอให้ประธานสภา นำไปตรวจแอลกอฮอล์
       
       พฤติกรรมของผู้มีอำนาจ ระดับรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงในวันนั้น ทำให้ประชาชนที่รับชมการถ่ายทอดสดต่างคล้อยตามคำพูดของ ส.ส.รังสิมา และเชื่อว่า ร.ต.อ.น่าจะเมาเช่นกัน หลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จนบานปลายไปสู่การเตรียมสอบเรื่องจริยธรรม ทำให้ต่อมา เจ้าตัวออกมายืนยันว่าไม่ได้เมาตามที่ถูกกล่าวหา และพร้อมให้ทุกองค์กรเข้าตรวจสอบ
       
       ส่วนสาเหตุที่เห็นอาการเดินเซ "เป็ดเหลิม" อธิบายความและแก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ ว่า เพราะป่วยที่ก้านหู นั่งนานไม่ได้เมื่อลุกเดินจะเขยก ส่วนที่หน้าแดงนั้นก็เพราะออกกำลังกาย ไม่ ได้มีอาการเมาหรือขาดสติแต่อย่างใด โดยที่การต่อสู้ของร้อยตำรวจเอกดอกเตอร์เฉลิมก็เป็นไปตามที่หลายฝ่ายคาด การณ์ไว้ก่อนหน้าว่า เขาจะต้องนำใบรับรองแพทย์มายืนยันเกี่ยวกับอาการป่วยของเขาอย่างแน่นอน ทั้งๆ ที่ความจริงในวันเกิดเหตุ ถ้าหากมีความบริสุทธิ์ใจจริง ทำไมจึงไม่กล้าตรวจระดับแอลกอฮอล์ตามที่มีการเรียกร้อง
       
       แต่ที่เด็ดที่สุดกระทั่งตอกหน้าผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีจนไปไม่เป็นก็คือ การที่ “รศ.นพ.ภาคภูมิ สุปิยพันธ์” ประธานราชวิทยาลัยโสต ศอ นาสิกแพทย์ ที่ระบุเอาไว้ชัดเจนว่า “โรค ก้านหูอักเสบ ชื่อนี้ไม่เคยได้ยิน ไม่มีอยู่ในสาระบบศัพท์ทางการแพทย์ของโรคที่เกี่ยวกับหู ดังนั้น จึงไม่รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร เพราะในร่างกายมนุษย์ไม่มีก้านหู มีแต่ก้านสมอง จึงเป็นไปได้ว่าผู้ป่วยอาจเกิดความเข้าใจผิดแล้วบัญญัติศัพท์ขึ้นมาใช้เอง”
       
       อย่างไรก็ตาม คงต้องบอกว่า ประวัติและพฤติกรรมของ"เฉลิม อยู่บำรุง" ที่สังคมแยกไม่ออกว่าตกอยู่ใน
       
       ภาวะมึนเมาหรือแสดงอาการกร่างคับประเทศจนมีภาพออกมาสู่สาธารณะนั้น ครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก แต่อดีตได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง...
       
       เริ่มจากพฤติกรรมในอดีตและถือได้ว่า ฉาวสุดๆ สำหรับคนตระกูล"อยู่บำรุง"โดยที่สังคมเชื่อสนิทใจว่า ครั้งนั้นเขาเมาจริงๆ ก็คือในเหตุการณ์..“วันที่ 12 ตุลาคม 2543” โดยเหตุการณ์ครั้งนั้นความเดิม นายดวงเฉลิม อยู่บำรุง ลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม ถูกกล่าวหาว่าไปก่อเรื่องทะเลาะวิวาท และต้องขึ้นโรงพัก สน.ทองหล่อ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม ผู้เป็นพ่อต้องเดินทางไปที่โรงพัก เพื่อช่วยลูกชาย และทันทีที่เขาไปถึงเขาไปแสดงความไม่พอใจเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างรุนแรง โดยกล่าวว่า "สน.ทองหล่อ วันนี้บัดซบ"
       
       หลังจากนั้นเมื่อผู้สื่อข่าว นสพ.เดลินิวส์ ถามว่าเรื่องนี้นายวันเฉลิม ลูกชายอีกคนเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม ได้แสดงอาการฉุนเฉียว และด่ากราดผู้สื่อข่าวด้วยถ้อยคำหยาบคาย เช่น “ทุเรศ”… “ทะลึ่ง”....”ชั่ว”...รวมทั้งพูดถึงเจ้าของ นสพ.เดลินิวส์ โดยมีคำว่า “ไอ้” นำหน้า (มีหลักฐานเทปเหตุการณ์ เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2543 เป็นเครื่องยืนยัน)
       
       ถัดมาพฤติกรรมในปัจจุบัน แม้วันนั้นเขาจะไม่มีอาการคล้ายกับคนมึนเมา แต่เขาก็ได้แสดงพฤติกรรมกร่างที่ไม่แตกต่างไปจากคนเมา ก็คือ ครั้งที่เขาเกิดอาการเดือดสุดๆ ด้วยการควลฝีปากกับนักข่าวหลังถูกจี้การออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษเพื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” โดยไม่สนใจม็อบต่อต้าน
       
       เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลทำให้สื่อทีวีทุกช่อง หนังสือพิมพ์ทุกฉบับ นำภาพข่าวการแสดงอาการเกรี้ยวกราด ตอบคำถามแบบนักเลงโต ไปตีแผ่สู่สาธารณะชน อาทิ เขาพูดว่า...
       
       “ยังไม่ถึงเวลาแม่คุณทูนหัว”
       
       “ผมไม่ตอบ เพราะหากยืนสัมภาษณ์ต่อไป คุณสมจิตร (น.ส.สมจิตร นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 ซึ่งเป็นผู้ถาม) อาจจะเป็นผู้ที่ติดคุก”
       
       “คุณสมจิตรเป็นนักข่าวมานาน ผมไม่อยากต่อว่า อะไรที่มันเปิดไม่ได้ ผมก็ยังไม่เปิด คุณถามผมไม่จนหรอก คำถามนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าถาม รู้สึกว่าคุณกล้าจริงๆ เลย”
       
       “แล้วคุณจะไปพาดพิงอะไรเรื่องครอบครัวคนอื่น ซึ่งผมคงตอบคำถามแทนไม่ได้ มีเคเบิลทีวีช่องไหนขอให้นำคำพูดของคุณสมจิตรไปออกทุกคำพูดหน่อย”
       
       ในวันนั้นหากถามว่า “เฉลิม อยู่บำรุง” ทำไมต้องถึงกับอาการ “ของขึ้น” หลังจากสื่อถามถึงเรื่อง “ทักษิณ” จะเป็นเพราะสันดานเดิมหรือไม่ เรื่องนี้ ประชาชนผู้ติดตามชีวิตการเมืองของนักเลงโตฝั่งธนฯ ผู้นี้ย่อมรู้ดี
       
       แต่สำหรับ “เฉลิมกับทักษิณ” เขาเคยให้สัญญาอะไรต่อกันหรือไม่ ไม่มีใครทราบ โดยมีเพียงคำพูดของเขาครั้งเมื่อวันที่ 2 ส.ค. 2553 ในยุคหาเสียงเลือกตั้ง เฉลิมได้ประกาศพร้อมเป็นนายกฯ 6 เดือน เพื่อทำเรื่องนิรโทษฯ พาอดีตนายกฯ ทักษิณ กลับบ้าน โดยมีเนื้อหาว่า....
       
       “หลังการเลือกตั้งทั่วไป หากพรรคเพื่อไทยชนะได้เสียงเป็นอันดับ 1 จะประสานนายบรรหาร ศิลปอาชา เพื่อขอให้มาร่วมจัดตั้งรัฐบาล 2 พรรค และหากพรรคเพื่อไทย ไว้วางใจตน ก็จะไปชวนนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ให้เข้ามาร่วมมือกันอีก แต่ถ้าแพ้พรรคประชาธิปัตย์ ก็จะไม่หน้าด้านไปตั้งรัฐบาลแข่งแน่นอน อย่างไรก็ตาม หากชนะเลือกตั้งแล้วไม่มีใครเป็นนายกฯ ตนก็พร้อมจะเป็นนายกฯ แค่เพียง 6 เดือน เพื่อทำเรื่องนิรโทษกรรมพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับไทย แต่หากไม่ได้เป็นนายกฯ ก็จะนั่งเป็นรองนายกฯ ควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย”
       
       วันนี้ “เฉลิม อยู่บำรุง” สร้างฝันได้สำเร็จในเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ควบตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนนายกรัฐมนตรีซึ่งมีหน้าที่ท้ารบกับทุกคนที่ บังอาจมาแตะต้อง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แม้ไม่ได้เป็น รองนายกฯควบ มท.1 ตามที่คาดหวังไว้ในตอนหาเสียง แต่ก็ได้เป็น รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง คุมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งถือว่า ใหญ่สุดๆ
       
       ที่สำคัญคือ ในการกำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในฐานะ ประธาน ก.ตร.ของ “เฉลิม อยู่บำรุง” เขาก็ได้สร้างวีกรรมโดยลุแก่อำนาจอีกครั้ง โดยวันนั้นวีกรรมของ “ฉะเหลิม” ผู้สื่อข่าวประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กร่างสุดๆ...
       
       หากยังพอจำกันได้ในการประชุม ก.ตร.เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.ปีกลาย(2554)ในการแต่งตั้งโยกย้าย “นายพลเล็ก” ระดับผบก.-รองผบช. ซึ่งใช้เวลาประชุมยาวนานมาราธอนกว่า 15 ชม. โดยมีเหตุผลประการหนึ่งที่ทำให้การประชุมต้องยืดเยื้อ เพราะ “บิ๊กเหลิม” ต้องการเสนอให้มีการเปลี่ยนตัว “ผบก.ป.-ผู้บังคับการกองปราบปราม” โดยให้โยก พล.ต.ต.สุพิศาล ภักดีนฤนาท เจ้าของเก้าอี้ พ้นจากตำแหน่ง และให้ “เดอะยนต์”-พล.ต.ต.ประยนต์ ลาเสือ ผบก.สส.ภ.3 สายตรง “บิ๊กอ๊อด”-พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร.มาเสียบแทน ขณะเดียวกันต้องการโยก พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์ ผบก.ปอศ.พ้นจากตำแหน่งให้ได้
       
       ทั้งๆ ที่ทราบกันดีว่า 2 ตำแหน่งนี้ “เดอะกิ๊ก”-พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายา พันธ์ ผบช.ก.เพื่อนร่วมรุ่นนรต.31 ของนายตำรวจทั้ง 2 คน ได้พยายามชี้แจงกับ ก.ตร.เพื่อให้นายตำรวจทั้งคู่อยู่ที่เดิม ที่สำคัญคือในบัญชีที่ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร.เสนอ และรายชื่อที่ผ่านบอร์ดกลั่นกรองทั้งคู่ก็อยู่ที่เดิม สร้างความหนักใจให้กับ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นอย่างมาก เพราะทราบกันดีว่าบัญชีแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจครั้งนี้ได้รับการ "คอนเฟิร์ม" จากดูไบแล้ว เรียกว่าตลอดการประชุมเจ้าตัวรวมทั้ง พล.ต.ท.พีระพงศ์ ดามาพงศ์ ผบช.สพฐ.ตร. ซึ่งเป็นคนทำบัญชี เดินเข้า-ออกห้องประชุมลงไปสำนักงานนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากนี้แว่วว่ามีการต่อสายหา พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อคอนเฟิร์มบัญชีอีกครั้ง
       
       ...อย่างที่ทราบการประชุมที่ยืดเยื้อยาวนานทำให้ต้องมีการพักเบรกถึง 2 ครั้ง โดยก่อนการประชุมเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำสำนักงาน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร.ได้ขนไวน์ยี่ห้อหรู เข้าไปแช่ในสำนักงานเพื่อรอ ร.ต.อ.เฉลิม มาจิบ ระหว่างพักเบรก คล้ายจะช่วยให้บิ๊กเหลิมได้ "รีแล็กซ์" หลังจากที่ต้องตึงเครียดจากการประชุมที่ยาวนาน ซึ่งในการพักการประชุมทั้ง 2 ครั้ง ร.ต.อ.เฉลิมได้ลงมายังสำนักงาน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ทั้ง 2 ครั้ง และในการพักการประชุมในครั้งที่สองนี้เอง ร.ต.อ.เฉลิม ได้เดินกลับเข้าไปในห้องประชุมในสภาพที่กำลัง “กรึ่ม” เต็มที่
       
       ก่อนที่ ร.ต.อ.เฉลิม จะตัดสินใจยุติการประชุมที่ยืดเยื้อ ด้วยการประกาศเสียงดังฟังชัดในที่ประชุมพร้อมทุบโต๊ะเป็นระยะเพื่อแสดงอำนาจ บารมีว่า "ผม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ขอเสนอย้าย ผบก.ป.และผบก.ปอศ. ให้ ผบ.ตร.เสนอบัญชีขึ้นมาใหม่" แต่ ทว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ กลับยังคงยืนยันที่จะใช้บัญชีเดิม ซักพักการประชุมจึงยุติลง ร.ต.อ.เฉลิมเดินออกมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ใบหน้าแดงก่ำ พร้อมให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่รออยู่เพียงสั้นๆ ว่า “ที่ประชุมไม่มีปัญหาอะไร การประชุมเสร็จสิ้นแล้ว รายละเอียดให้ไปถามผู้ที่มีหน้าที่” จากนั้นได้ลงไปนั่งต่อที่สำนักงาน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ อีกราวครึ่ง ชม. ก่อนกลับออกมาในสภาพที่ต้องหิ้วปีก โดยมี พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ และพล.ต.ท.วิบูลย์ ปรองดอง ผบช.สง.ก.ตร.เป็นคนช่วยประคอง ระหว่างที่รอขึ้นรถ ร.ต.อ.เฉลิม ได้กล่าวบริภาษ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผสมกับตัดพ้อด้วยความน้อยอกน้อยใจที่ ผบ.ตร.ไม่ยอมตามที่ตัวเองต้องการ
       
       จากเหตุการณ์ในวันนั้น ทำให้ต่อมาเกิดข่าวการไม่ลงรอยระหว่าง “เฉลิมกับ เพรียวพันธ์” จนถึงขั้น มีข่าวลือว่าเฉลิมถูกคุณหญิง พจมาน ณ ป้อมเพชร(อดีตเมียทักษิณ)เรียกไปตักเตือนในพฤติกรรมอันก้าวร้าว โดยที่ไม่เกรงใจ ผบ.ตร.ที่เป็นพี่ชายของเธอ
       
       ถัดมาไม่กี่วัน 31 ม.ค.55 ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงในความรับผิดชอบงานของนายตำรวจระดับรอง ผบ.ตร.อีกครั้ง และถือเป็นครั้งที่สาม ที่มีการเปลี่ยนแปลง หลังจาก พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นั่งเป็น ผบ.ตร.โดยการเปลี่ยนงานครั้งนี้ ในส่วนด้านงานป้องกันปราบปรามอาชญากรรม ผบ.ตร.
       
       มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผบ.ตร.เป็นรองผบ.ตร.ปป.1 โดยให้รับผิดชอบ บช.น.แทน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองผบ.ตร.ส่วน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ให้ไปดูพื้นที่ บช.ภ.5, 6 และ 7
       
       โดยการเปลี่ยนแปลงงานครั้งนั้น ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมีการตั้งข้อสังเกตและวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ถึงการปรับเปลี่ยนผู้รับผิดชอบงานต่างๆ หลายตำแหน่ง ให้ พล.ต.อ.ปานศิริ มาดูงาน นครบาล และ บช.5 แทน พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ ซึ่งเป็นคนสนิทของ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง”
       
       ปัญหาคาใจระหว่าง “เฉลิม อยู่บำรุง” กับ “เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น กระทั่งต่อมาได้มีกระแสข่าวเตรียมเปลี่ยนตัว ผบ.ตร.จาก “เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์” เป็น “ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา “ ซึ่งจากข่าวนี้เองทำให้เฉลิมเกิดอาการไม่พอใจอย่างแรง พร้อมกับแสดงพฤติกรรมกร่างขึ้นมาอีกครั้ง
       
       โดยเขาพูดว่า...”ในเรื่องนี้อยากจะบอกกับผู้สื่อข่าวสำนักงานตำรวจ แห่งชาติ มีหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับ หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ และหนังสือพิมพ์คมชัดลึก ที่ลงข่าวให้เกิดความแตกแยกระหว่างรัฐบาลกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งหนังสือพิมพ์ทั้ง 2 ฉบับลงข่าวแล้วไม่รับผิดชอบ ใช้ความรู้สึกส่วนตัว ขอประจานหนังสือพิมพ์ 2 ฉบับนี้ และไม่เคยเกรงกลัวเครือเนชั่น ถ้าไม่ชอบหน้าผม ไม่ต้องเอาข่าวผมไปลงในทำนองว่าจะเปลี่ยน ผบ.ตร.แล้วเอา พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ไปแทนนั้น แค่คิดยังไม่เคยคิดเลย”ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอย่างมีอารมณ์ ในวันนั้น
       
       นี่ไม่นับรวมถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้นในสังคมออนไลน์ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ทั้งทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ เว็บบอร์ดต่างๆ ได้มีการเผยแพร่รูปภาพ ร.ต.อ.เฉลิมในอากัปกิริยาที่สังคมตั้งคำถามถึงความเหมาะสม
        
       นั่นคือภาพขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม กำลังสักการะศาล หน้าสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.)  สวนพลู   ระหว่างเดินทางไปมอบนโยบายให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง  เมื่อเวลาประมาณ 13.00 น.ของวันที่ 27 กุมภาพันธ์  2555 ที่ผ่านมา โดยเป็นภาพที่มีผู้ชายคนหนึ่งกำลังคุกเข่าก้มลงถอดรองเท้าให้ ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิมกำลังโอภาปราศรัยด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใสกับข้าราชการตำรวจ หญิงที่ถือพานพวงมาลัยดอกไม้รอมอบให้นำขึ้นไปสักการะศาล
        
       ทั้งนี้ ภาพดังกล่าวเมื่อถูกเผยแพร่ โดยไม่รู้ต้นตอที่มา กำลังเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์แสดงความคิดเห็นทางลบต่อ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นอย่างมากในสังคมโลกออนไลน์ และมีการส่งต่อ(แชร์) กันไปจำนวนมาก ซึ่งในวันต่อมา ร.ต.อ.เฉลิมก็อธิบายว่า “ไอ้หยอง”ไ ง (ผู้ติดตาม ร.ต.อ.เฉลิม) ภาพดังกล่าวไม่มีกระทบต่อภาพลักษณ์ เพราะผมสุขภาพไม่ดี และไม่ได้ใช้ตำรวจใส่ให้ ไอ้หยองเป็นคนสวน เวลาผมป่วยก็นอนเฝ้า คอยนวดให้ ผมไม่ได้ไปใช้ข้าราชการ เรื่องนี้มันเรื่องปกติ ซึ่งวันนั้นผมจะขึ้นไปกราบศาลที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) และพอก้มถอดรองเท้ามันจะล้ม ไอ้หยองก็ไปดึงให้”
       
       นี่คือตัวตนที่แท้จริงของ ร.ต.อ.เฉลิม ผู้ชายที่มีปมด้อยกับอดีตของตนเองจนต้องดั้นด้นไปเรียนดอกเตอร์และพยายามทุก วิถีทางที่จะเป็นใหญ่เหนือตำรวจทั้งปวง อย่างไรก็ตาม ถ้าจะว่าไปแล้วก็มิได้น่าแปลกใจอะไรนักที่ ร.ต.อ.เฉลิมไม่รู้สึกรู้สาอะไรในพฤติกรรมของเขาเอง...เพราะนั่นคือตัวตนของ ผู้ชายชื่อเฉลิมซึ่งมิเคยเปลี่ยนแปลง แต่คนที่สมควรถูกก่นด่าก็คือคนที่เลือก ร.ต.อ.เฉลิมให้มาเป็นใหญ่ในแผ่นดิน
       
       แน่นอน คนๆ นั้น ย่อมไม่ใช่หัวหน้ารัฐบาลที่ “เมารัก” จนไม่อาจสรรหาเหตุผลมาอธิบายให้สังคมเข้าใจได้ในการเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ลับที่ชั้น 7 ของโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ หากแต่เป็นนายใหญ่ของคนเสื้อแดงที่ตัดสินใจเลือกใช้บริการเป็ดเหลิมด้วย เหตุผลเพื่อต้องการให้ทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์บัลลังก์นายกรัฐมนตรี และขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ในการนำตนเองกลับบ้านโดยไม่ยอมรับความผิดที่ได้ก่อ ไว้ให้กับบ้านนี้เมืองนี้
       
       ทว่า นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร เพราะพวกเขาคือคนคอกเดียวกัน ดังนั้น จึงย่อมที่จะต้องใช้คนประเภทเดียวกันมาทำงานรับใช้
       
       สงสารก็แต่ประเทศไทยที่จำต้องทนกับสภาพนี้ต่อไป เพราะพวกเขาคือคนที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ พวกเขาจึงมีความชอบธรรมที่จะปกครองบ้านนี้เมืองนี้


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : อดสู พฤติกรรม ฉะเหลิม เมา ม่ายยยยยยยเมา

view