สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ความพินาศของระบบการศึกษาไทย (2)

ความพินาศของระบบการศึกษาไทย (2)

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




สมัยที่หมอเป็นศาสตราจารย์หมาดๆ (อายุ 35 ปี) และเป็น C11 ตอนอายุ 42 และหลังจากที่ได้รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดีเด่น (ปี พ.ศ. 2547)
มีคนถามทั้งส่วนตัวและขณะที่ร่วมสัมมนาอภิปรายทางวิชาการ ทางการศึกษา เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์และสังคม ว่าต้องการให้ประเทศเป็นอย่างไร ที่ได้ตอบเหมือนกันทุกครั้งตลอดเวลา 32 ปี (ให้คิดเล่นๆ ว่าผู้เขียนอายุเท่าไรดี) คือประเทศไทยเร่งแต่สร้างหัวขบวนรถไฟอย่างเดียวไม่ได้ ทั้งนี้จะมีขบวนหลังๆ รวมทั้งคนที่ขึ้นรถไฟไม่ทันอีกมากมาย
 

การสร้างนักวิทยาศาสตร์หรือนักวิชาการเป็นหมื่นเป็นแสนในโครงการต่างๆ แทบไม่มีความสำคัญ ถ้าปราศจากรากฐานที่ดีตั้งแต่วัยก่อนประถม มัธยมศึกษา และในชั้นมหาวิทยาลัย เรามุ่งแต่หาช้างเผือก พยายามเฟ้นฟูมฟักดาวดวงเด่น ปั้นเดือนให้เป็นดาว และในที่สุดก็เห็นแจ้งประจักษ์จริง ว่าแม้แต่เดือนก็หายากขึ้นเรื่อยๆ มีแต่ดาวอุกกาบาต ทั้งนี้เกี่ยวพันไปหมดครบวงจร (อุบาทว์) อันได้แก่ เด็กสมัยตั้งแต่หลาย 10 ปีก่อน เรียนอะไรต่อไม่ไหว เข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ จบลงที่เรียนครู เพื่อมาสอนเด็กต่อ วนไปเวียนมาจนถึงปัจจุบัน
 

หัวใจของการศึกษา ต้องการความเพียบพร้อมทุกอย่าง ทั้งวิธีการสอน เนื้อหาที่สมบูรณ์ ถูกต้อง ทันสมัย และสอนให้รู้จักคิดเป็น และประยุกต์ใช้ และพร้อมที่จะหาความรู้ได้ด้วยตัวเอง ความแตกต่างที่เห็นได้จากที่ประสบเอง คือสมัยที่หมอเป็นอาจารย์ใหม่ๆ มีเด็กนักเรียนอเมริกันมาอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯ คราวละ 1-2 เดือน เด็กเหล่านี้ถูกดูถูกว่าทำอะไรไม่ค่อยเป็น เพราะทักษะในการทำหัตถการที่ต้องทำต่อคนไข้ไม่มาก แต่แท้ที่จริงเด็กพวกนี้ถูกหัดให้เป็นขั้นเป็นตอน และต้องหาเหตุผลที่จะปฏิบัติในขั้นตอนต่างๆ
 

 ตั้งแต่การสอดสายยางให้อาหารทางกระเพาะโดยผ่านทางจมูก การเจาะน้ำไขสันหลัง ไม่ใช่ว่าดีใจเจาะเป็นแล้ว แต่ต้องรู้ถึงว่าทำไมต้องเจาะ เจาะเพื่ออะไร มีข้อห้ามหรือไม่ และผลแทรกซ้อนในการเจาะ น้ำไขสันหลังที่ได้ด้วยความยากลำบากเพราะผู้ป่วยต้องเจ็บตัวด้วย จะเอาไปทำอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่เพียงนับดูว่ามีเซลล์เท่าใด ค่าน้ำตาลโปรตีนระดับไหน เหมือนเมื่อ 150 ปีที่แล้ว และเมื่อหมอไปอยู่ที่ต่างประเทศ (John Hopkins) มีนิสิตเตรียมแพทย์ ซึ่งยังไม่ได้ขึ้นปฏิบัติในหอผู้ป่วย รับจ้างในเวลาหยุดฤดูร้อน มาทำงานในแล็บ
 

ความที่เราก็เป็นห่วง กุลีกุจอ เอาวิธีทำแล็บขั้นตอนสำเร็จรูปให้ แต่เด็กนักเรียนก็ปฏิเสธอย่างสุภาพ ขอดูหัวข้อรายละเอียดและขอเวลา 5 วัน ไปค้นคว้าที่ห้องสมุด และกลับมาวางแผนร่วมกันทำการวิจัยในหนู แยกเซลล์จากสมองและน้ำไขสันหลัง นี่คือเมื่อ 27 ปีที่แล้วนะครับ และหมายความว่าระบบการศึกษาของประเทศอื่นมีความแข็งแรงสร้างเด็กที่คิดเป็น หาความรู้ด้วยตัวเองเป็นอย่างน้อยก็ 47 ปีที่แล้ว เด็กนักเรียนคนนั้นขณะนั้นอายุ 20 ปี จากตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ นี้  ชี้ให้เห็นว่าระบบการเรียนของเราเป็นชนิดสำเร็จรูป เรียนเพื่อเอาไปใช้ได้เลย
 

 และเป็นที่มาของการลดเวลาเรียนของแพทย์จาก 6 ปี หดสั้นลง จนน่าเป็นห่วงว่าถ้าเด็กเหล่านี้ไปเรียนต่อต่างประเทศ เขาจะรับรองหลักสูตรหรือไม่ รวมทั้งความคิดของเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่คิดว่าการเรียนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ การปรับตัวเข้ากับมนุษย์ด้วยกันทางด้านสังคม ความสนใจในความรู้รอบตัว ไม่ใช่เรื่องสำคัญโรค ก.ต้องรักษาด้วยยา ข. ถ้ายา ข.ไม่หายก็ไปต่อที่ ค. โดยที่คนไข้แต่ละคนเป็นมนุษย์ ไม่ใช่รถยนต์ โรคอย่างเดียวกัน อาการแตกต่างได้  ขึ้นกับการตอบสนองของร่างกาย ระยะใดของการดำเนินโรค
 

และปฏิกิริยาของยาที่มีต่อโรคและร่างกายและอื่นๆ อีกมากมาย การส่งเสริมให้ท้าย  ละเลย  ทำการ (ฆ่า) ตัดตอน  ให้ต่อยอด โดยขาดฐานที่แน่น  ส่งผลถึงระบบที่เห็นในปัจจุบันและยังถูกซ้ำเติมด้วยการที่นักวิชาการสายวิทยาศาสตร์ ไม่ยอมรับสายสังคมศาสตร์ ทั้งที่นักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์ เก่งกล้าเพียงใด ก็ยังเป็นมนุษย์ ต้องสามารถสื่อสารถึงมนุษย์ และต้องเข้าใจถึงปัญหาของมนุษย์ให้ได้ก่อน ถึงจะทำการวิจัยเพื่อหาทางแก้ไข
 

ยืดยาวถึงเพียงนี้ เพื่อที่จะชี้ให้เห็นว่า การสร้างมนุษย์ให้เป็นคนและยังมีความเป็นมนุษย์นั้นแสนลำบาก ที่หมอยังจำได้ขึ้นใจว่าเคยพูดอะไรไป เมื่อหลาย 10 ปีก่อน ในงานสัมมนาครั้งหนึ่งคือ เราต้องติดอาวุธทางปัญญาให้คนไทย เริ่มตั้งแต่เด็ก การติดอาวุธนี้ไม่ใช่เพื่อความก้าวร้าว นำความรู้ไปทำร้าย เอาเปรียบ หาประโยชน์ส่วนตน แต่เพื่อปกป้องตัวเอง สังคม คนไทยด้วยกันและประเทศ ให้รอดพ้นจากการถูกเอาเปรียบ
 

ทั้งจากต่างประเทศ ซึ่งต่างคอยฉกฉวยหาประโยชน์จากผู้โง่เขลากว่าตน การรู้ความเป็นไปทางวิทยาศาสตร์ของโลก ทำให้สามารถเลือกใช้เทคโนโลยีหรือแม้แต่กระบวนการวิทยาศาสตร์ สุขภาพอย่างเหมาะสม ไม่โง่ตามการรักษาชีวโมเลกุล ถูกหลอกเอาเงินเป็นแสน ไปเปลี่ยนเลือด เปลี่ยนเซลล์หมดเป็นล้าน เหล่านี้คือความเซ่อของคนไทย ความเขลาของนักวิทยาศาสตร์ นักวิชาการไทยที่ตามไม่ทัน วิทยามายา-ไสยศาสตร์
 

 รวมทั้งความเห็นแก่ตัวไม่คิดจะปกป้องคนไทยด้วยกัน และเลยไปถึงหน่วยราชการที่มีหน้าที่โดยตรงในการปกป้องคุ้มครองประชาชน ยังมีน้ำหน้าปล่อยให้มีการโฆษณาโจ๋งครึ่มทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ เคเบิลทีวี และสื่อยังขาดที่ปรึกษาทางวิชาการที่ยืนหยัดต่อสู้กับศาสตร์โง่เขลาปอกลอกเงิน ยอมให้มีการตีพิมพ์ เผยแพร่บทสัมภาษณ์ของดอกเตอร์เลวร้ายเหล่านี้
 

เมื่อติดอาวุธทางปัญญาได้ ต้องห้าวหาญ ฮึกเหิมที่จะกระหายหาความรู้ใหม่ และยืนหยัดต่อสู้กับอวิชชาทั้งหลาย ไม่งอมืองอเท้า ปล่อยมนุษย์คนไทยตายผ่อนส่งกับอาหารเสริมชั่วร้ายที่ อย.ให้ท้ายโฆษณาเป็นวรรคเป็นเวร การล้างระบบอุบาทว์เหล่านี้ต้องคิดกันให้ดี โดยเริ่มจากเด็ดหัวผู้กุมนโยบายอวิชชาทั้งหลายก่อน สร้างแบบแผนของการเรียนใหม่
 

 กำหนดลักษณะของครูสายพันธุ์ใหม่ (ซึ่งเคยเขียนไปแล้วในกรุงเทพธุรกิจ) ให้ครูสายพันธุ์เก่าเกษียณอย่างสมเกียรติ ต้องให้เงินเดือน ค่าตอบแทนครูมากกว่า สูงกว่าหมอ วิศวกรด้วยซ้ำ และยังเป็นไปได้ที่เอาหมอจริงๆ วิศวกรจริงๆ มาเป็นครู เอาสถาปนิกมาแสดงวิธีการคิดการออกแบบ หาสายสังคมสร้างหลอมให้คงความเป็นมนุษย์ มีมนุษยสัมพันธ์ ไม่ใช่แค่กดโทรศัพท์ทั้งๆ ที่นั่งโต๊ะเดียวกันห่างกันแค่ศอก
 

ทั้งหมดทั้งหลายทั้งปวง ต้องอาศัยผู้กำหนดนโยบายแล้วละครับ ถ้าคิดจะซื้ออาวุธคือ แทบเล็ตให้เด็กประถมหนึ่ง โดยไม่มีกรอบให้ใช้ในทางการเกิดปัญญา อันที่ให้ไปจะเป็นอาวุธจริงๆ ทำลายอนาคตที่แทบจะไม่เหลือของประเทศไทยแล้วนะครับ หรือว่าชอบ.....ชอบที่ให้คนไทยโง่ๆ จะได้ปกครองง่ายๆ ชี้ให้ขวาหันซ้ายหัน โดดเหวตายก็ได้ (แถมศพละ 7 ล้าน)


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ความพินาศของระบบการศึกษาไทย (2)

view