จากประชาชาติธุรกิจ
เมื่อวันที่ 3 เมษายน ที่สถาบันพระปกเกล้า มีการประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้าและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ในฐานะประธานกรรมการสภาสถาบันพระปกเกล้าเป็นประธานการประชุมโดยมีวาระเพื่อ รับทราบรายงานวิจัยแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติของคณะวิจัยสถาบันพระ ปกเกล้าที่ได้เสนอต่อคณะกรรมาธิการ(กมธ.)วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้าง ความปรองดองแห่งชาติสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งนี้ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง รายงานการวิจัย "การสร้างความปรองดองแห่งชาติ" ตามที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รายงานการวิจัยการสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่คณะผู้วิจัยได้เสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษา แนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทน ราษฎรไปตามที่คณะกรรมาธิการดังกล่าวได้ขอให้ศึกษาแล้วนั้น
สถาบันพระปกเกล้าขอแถลงข้อเท็จจริง และข้อเสนอแนะทางออกเพื่อร่วมกันสร้างบรรยากาศความปรองดองในชาติ ดังนี้
1.หน้าที่ทำการวิจัยที่คณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรขอโดยใช้เงินสถาบันพระ ปกเกล้าเป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติสถาบันพระปกเกล้า พ.ศ.2541 ภายใต้กำกับดูแลของประธานรัฐสภา และมีหน้าที่ตามมาตรา 6(8) ซึ่งบัญญัติว่า ให้สถาบัน “ส่งเสริมงานวิชาการของรัฐสภา”
ดังนั้น เมื่อคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2554 ให้สถาบันทำการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ โดยตั้งคำถามว่า “อะไรคือปัจจัย หรือกระบวนการที่ทำให้การปรองดองแห่งชาติประสบความสำเร็จ” สถาบันจึงนำเรื่องเสนอเสนอสภาสถาบันพระปกเกล้าเพื่อพิจารณาคำขอดังกล่าว สภาสถาบันได้มีมติอนุมัติให้ดำเนินการโดยใช้งบประมาณของสถาบันเอง
การดำเนินการวิจัยดังกล่าวจึงเป็นการทำหน้าที่ส่งเสริมวิชาการรัฐสภาตาม หน้าที่ของสถาบันในกฎหมาย โดยไม่มีการรับจ้างดังที่วิพากษ์วิจารณ์กันแต่อย่างใดดังนั้น ลิขสิทธิ์ของรายงานดังกล่าวจึงเป็นของสถาบันตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537
2. การรับทำงานวิจัยได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้วจากสภาสถาบันพระปกเกล้า เนื่องจากการขอให้ทำงานวิจัยดังกล่าว สถาบันไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้ และผลการวิจัยมีผลกระทบทางการเมือง สถาบันจึงนำคำขอของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาสถาบันในการประชุมสภาสถาบัน ครั้งที่11/2554 เมื่อ 30 พฤศจิกายน 2554 สภาสถาบัน ซึ่งประกอบด้วยประธานรัฐสภาเป็นประธานสภาสถาบัน ประธานวุฒิสภาเป็นรองประธาน กรรมการโดยตำแหน่ง คือ ผู้นำฝ่ายค้าน ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ประธานกรรมาธิการสามัญฯ ของสภาผู้แทนราษฎร 2 คน ประธานคณะกรรมาธิการสามัญวุฒิสภา 1 คน และผู้ทรงคุณวุฒิอื่นอีก 11 คน โดยมีเลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าเป็นกรรมการและเลขานุการ ได้พิจารณาโดยรอบคอบแล้ว มีมติให้รับทำการศึกษาโดยมีข้อสังเกตหลายประการ อาทิ ให้ขยายเวลาจาก 30 วัน เป็น 120 วัน ให้ดำเนินการโดยอิสระ และมีเสรีภาพทางวิชาการอย่างแท้จริง มิให้ยกร่างกฎหมายเสนอคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งสถาบันก็ได้ดำเนินการตามข้อสังเกตดังกล่าวทุกประการ
3.รายงานการวิจัยเป็นเสรีภาพทางวิชาการ และความรับผิดชอบของคณะผู้วิจัย เมื่อรับทำการศึกษาแล้ว สถาบันก็แต่งตั้งคณะผู้วิจัยขึ้นตามกระบวนการปกติที่เคยปฏิบัติมาประกอบด้วย ผู้วิจัย 20 คน โดยมี รศ.วุฒิสาร ตันไชย เป็นหัวหน้าคณะได้ใช้เวลาศึกษา 120 วัน ตามกรอบเวลาที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ขอเมื่อมีการทักท้วงและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ สถาบันก็ได้ลงไปตรวจสอบทั้งระเบียบวิธีวิจัย (research methodology) และเนื้อหาสารัตถะ (content) ของงานวิจัย และข้อเสนอก็พบว่า กระบวนการดำเนินงานดังกล่าวมีความถูกต้องตามหลักวิชาการควรแก่กรณี
แม้ว่าเลขาธิการจะขอให้คณะผู้วิจัยนำข้อท้วงติงของทุกฝ่ายมาพิจารณาประกอบแล้ว คณะผู้วิจัยก็ได้ปรับแก้บางส่วนแต่คงยืนยันผลการวิจัย โดยเฉพาะข้อที่ว่าปัจจุบันบรรยากาศความปรองดองยังไม่เกิด เพราะทุกฝ่ายยังมีพฤติกรรมและท่าทีเหมือนเดิม คณะผู้วิจัยจึงเสนอให้มีการสร้างบรรยากาศความปรองดองทั้งระดับบน คือในฝ่ายการเมือง และระดับล่าง คือประชาชนทั้งประเทศ ด้วยการจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกัน (dialogue) จนมีฉันทามติในระดับเหมาะสม โดยนำข้อเสนอที่ได้จากการสัมภาษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิไปเป็นประเด็นในการพูดคุยหา ทางออกร่วมกันคณะผู้วิจัยยืนยันว่า ข้อเสนอแนะดังกล่าวไม่ใช่ข้อสรุปที่ให้นำไปปฏิบัติทันทีแต่อย่างใด
ด้วยเหตุนี้ เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม คณะผู้วิจัยจึงได้ทำหนังสือแถลงจุดยืนต่อประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2555 และได้เตือนไว้ในหนังสือดังกล่าวว่าการรวบรัดใช้เสียงข้างมาก โดยไม่ทำตามข้อเสนอของคณะผู้วิจัย จะนำไปสู่ความขัดแย้งและความรุนแรงรอบใหม่ได้
การยืนยันผลการวิจัยของคณะผู้วิจัยดังกล่าวจึงเป็น ความอิสระและเสรีภาพทางวิชาการซึ่งมาตรา 50 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยรับรองไว้ ที่สถาบันและผู้ใดก็มิอาจก้าวล่วงได้
4.สถาบันไม่จำต้องเห็นพ้องด้วยกับงานวิจัย และในฐานะผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวิจัย สถาบันทรงไว้ซึ่งสิทธิ์ในการให้ใช้ หรือของานวิจัยกลับคืนได้ตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม ความเห็นและข้อเสนอในรายงานการวิจัย หรืองานวิชาการอื่น ซึ่งสถาบันให้จัดทำทุกเรื่องตั้งแต่ก่อตั้งสถาบันมาจนถึงการวิจัยเรื่องนี้ ย่อมเป็นความเห็นของผู้วิจัยเอง สถาบันไม่จำต้องเห็นพ้องด้วย แต่เมื่อลิขสิทธิ์เป็นของสถาบันตามมาตรา 14 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 สถาบันก็ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืน และห้ามทำซ้ำ หรือดัดแปลง หรือเผยแพร่ต่อสาธารณะชนได้ตามมาตรา 27 โดยเฉพาะเมื่อมีการเลือกนำรายงานบางส่วนไปใช้ประโยชน์ทางการเมือง และอาจจะเกิดความขัดแย้งและความรุนแรงขึ้น หรือมีการรวบรัดนำประเด็นซึ่งผู้วิจัยเสนอให้นำไปพูดคุยแสวงหาทางออกร่วมกัน ไปปฏิบัติทันที โดยไม่ได้นำไปพูดคุยให้กว้างขวางทั้งประเทศ
5.ทางออกเพื่อความปรองดอง แห่งชาติอย่างแท้จริงซึ่งสภาผู้แทนราษฎร พึงมีมติในวันที่ 4 เมษายน 2555 ดังนั้น เพื่อไม่ให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่อันจะนำไปสู่ความรุนแรง และเพื่อสร้างบรรยากาศความปรองดองให้เกิดขึ้นในประเทศ สถาบันจึงเสนอให้
(1) คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เสนอสภาผู้แทนราษฎร และสภาผู้แทนราษฎรโดยพรรคการเมืองเสียงข้างมากควรมีมติรับทราบรายงานของคณะ กรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งอ้างอิงผลงานวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน และขยายอายุคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ออกไปจนสิ้นสมัยประชุมสามัญสมัยหน้าเป็นอย่างน้อย และให้นำรายงานดังกล่าวไปจัดพูดคุยหาทางออกร่วมกันทั้งระดับพรรคการเมือง และในระดับประชาชนทั่วประเทศอย่างกว้างขวาง โดยไม่เร่งรีบรวบรัดเลือกนำข้อเสนอที่ตน หรือพรรคของตนได้ประโยชน์ ไปปฏิบัติ ทั้งที่ข้อเสนอดังกล่าวเป็นเพียงประเด็นที่นักวิจัยเสนอให้นำไปพูดคุยหา ทางออกจนได้ข้อยุติร่วมกันเท่านั้น
(2) ขอร้องให้พรรคฝ่ายค้าน และคนไทยทุกกลุ่มที่ต้องการเห็นบ้านเมืองก้าวไปข้างหน้า ด้วยความปรองดอง โดยมีภราดรภาพต่อกัน ให้ความร่วมมือในการพูดคุยหาทางออกร่วมกันทำนอง สุนทรียสนทนา (appreciative dialogue) หรือการเสวนาที่สร้างสรรค์ (Constructive dialogue) เพื่อยุติข้อขัดแย้งที่ยืดเยื้อยาวนานนี้ลง
(3) ขอร้องให้สื่อมวลชนรายงานข่าวให้ครบถ้วนเพื่อความปรองดองอย่างแท้จริง
(4) ขอร้องให้ประชาชนอย่าเพิ่งเชื่อคำพูดของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจนกว่าจะได้อ่านรายงานการวิจัยฉบับย่อ และรายงานการวิจัยฉบับเต็มใน www.kpi.ac.th แล้ว จึงค่อยตัดสินตามหลักกาลามสูตร
สถาบันหวังเป็นอย่างยิ่งว่าข้อเสนอดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาอย่างแท้จริง หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติตามข้อเสนอในข้อ 1 สถาบันก็พร้อมจะให้ความร่วมมือกับคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ในการเปิดเวทีพูดคุยหาทางออกทั่วประเทศ โดยเฉพาะผ่านศูนย์การเมืองภาคพลเมืองของสถาบันซึ่งมี 48 จังหวัดทั่วประเทศ
อย่างไรก็ตาม หากสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบกับรายงาน และแจ้งคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป ดังข้อเสนอเดิมของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันจะนำไปสู่ความสับสนของประชาชน และนำไปสู่ “สงครามความปรองดอง” อันเป็นการสถาปนา “ความยุติธรรมของผู้ชนะ” ขึ้น ทั้งยังจะเป็นเหตุแห่งความขัดแย้ง และความรุนแรงนั้น สถาบันก็มีความเสียใจที่จะต้องขอรายงานการวิจัยดังกล่าวกลับคืนมา และหากผู้ใดจะทำซ้ำ ดัดแปลง หรือเผยแพร่งานดังกล่าวต่อสาธารณะชน จะต้องขออนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากสถาบัน
สถาบันเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเห็นความสงบและปรองดองในบ้านเมืองจึงขอเรียกร้องให้ผู้แทนปวงชนทุกฝ่าย ตอบสนองความต้องการของปวงชน โดยใช้วิจารณญานที่รอบคอบ ปราศจากมานะทิฐิ และประโยชน์ส่วนตน หรือส่วนพรรคอย่างแท้จริง
'อภิสิทธิ์'ถามความชอบธรรม วิจัยพระปกเกล้า
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"อภิสิทธิ์"ถามหาความชอบธรรม หากสถาบันพระปกเกล้า ถอนผลวิจัยปรองดอง เพราะได้บรรจุเป็นระเบียบวาระไว้แล้ว
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ Blue Sky Channel ถึงกรณีที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานสภาสถาบันพระปกเกล้าระบุว่าแม้คณะผู้วิจัยจะถอนรายงานชิ้นนี้ออกไปแต่ก็ไม่มีผล ต่อการประชุมสภาวันที่ 4 เม.ย.เพราะได้บรรจุเป็นระเบียบวาระไว้แล้วว่า นายสมศักดิ์ พูดไม่ผิด แต่จะมีความชอบธรรมหรือไม่ ถ้าสภาสถาบันถอนผลวิจัยออกไป และอยากให้รัฐบาลทบทวนข้อเสนอของคอป. เพราะมีบางข้อเสนอของ คอป. ที่ถูกหยิบไปใช้ แต่ฝ่าย คอป. ระบุว่าไม่ตรงกับสิ่งที่ คอป. นำเสนอ ซึ่งถ้ารัฐบาลใช้วิธีพิจารณาข้อเสนอจากคอป.หรือสถาบันพระปกเกล้า ตามหลัก 1. สมประโยชน์ หรือถูกใจ ก็จะเดินหน้า บางทีมีการเพิ่มเติมสิ่งอื่น ๆ นอกเหนือไปจากที่เขาเสนอด้วย 2. กระทบฝ่ายของตนไม่ทำ 3. ข้อเสนอที่เป็นกลาง ๆ จัดลำดับความสำคัญไว้หลัง ๆ อย่างนี้มันไม่ใช่การปรองดองตามเจตนารมณ์ของคนทำงา
เมื่อถามว่า คอป. เสนอให้ช่วยกันประคับประคอง สร้างบรรยากาศของความปรองดอง ควรทำอย่างไร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ด้านฝ่ายนิติบัญญัติ นาทีนี้คนที่จะแก้ปัญหาได้คือ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธานคณะกรรมาธิการปรองดองฯ ควรถอนรายงานของกรรมาธิการออกไปก่อน แล้วไปตั้งหลักใหม่โดยหยิบเอาตัวแก่นของข้อเสนอของพระปกเกล้าในเรื่องการสร้างบรรยากาศการปรองดองกับการทำเสวนาระดับชาติต่อไป ส่วนรัฐบาลควรพิจารณาให้ ปคอป. ทบทวนข้อเสนอของ คอป. อีกครั้ง เพราะที่ผ่านมามีการแปลงข้อเสนอของ คอป. เพื่อนำเสนอต่อ ครม.
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงมติครม.ที่ให้ขยายสมัยประชุมนิติบัญญัติออกไปอย่างไม่มีกำหนดว่า รัฐบาลต้องการให้สภาในสมัยประชุมนี้รับรองรายงานของคณะกรรมาธิการปรองดอง เพื่อสร้างความชอบธรรมให้เกิดเงื่อนไขในการผลักดันสู่การนิรโทษกรรม จะเห็นว่ามีการวบรัดขั้นตอนของกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเมื่อพิจารณารายมาตราในวาระที่ 2 ก็จะมีการรวบรัดลงมติกัน แต่ถ้าต้องการออกกฎหมายปรองดองด้วย คงต้องใช้เวลานาน ทำไมรัฐบาลถึงไม่ปิดสมัยประชุมสภาไปก่อน เมื่อพร้อมแล้วจึงเสนอเปิดสภาสมัยวิสามัญ แต่คำตอบก็คือว่าเขากลัวจะมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ จึงใช้วิธียืดไปเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ว่าจะจบเมื่อไหร่ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก เวลานี้รัฐบาลมีธงชัดเจนในการนำไปสู่ประเด็นการนิรโทษกรรม ที่สำคัญก็คือให้มันครบถ้วนไปถึงการล้างคดีทุจริต ซึ่งอันนี้อันตรายมาก
เมื่อถามว่า ตัวนายกฯ กับผู้นำฝ่ายค้าน ควรจะได้มีการพูดคุยกันหรือไม่นั้น นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนไม่มีปัญหา พร้อมจะพูดคุย แต่ประเด็นอยู่ที่รัฐบาลจะมีความจริงใจแค่ไหน เพราะที่ผ่านมา รองนายกฯบอกว่า ร่างกฎหมายแล้วมีคนเซ็นแล้ว รอยื่นอย่างเดียว ถ้าอย่างนี้จะคุยกันทำไม คุยกันเสร็จ ก็ทำเหมือนเดิม แต่ควรจะมาหาจุดร่วมกันจริงหรือเปล่า
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน