จากประชาชาติธุรกิจ
หลังจากที่ลุ้นกันมานานว่า เมื่อ "นวพร เรืองสกุล" อดีตประธานกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หมดวาระลงแล้ว ใครจะเข้ามารับตำแหน่งแทน เพราะการทำหน้าที่นี้เสมือนเป็นตัวแทนฝ่ายการเมืองที่มาดูแลหน่วยงานกำกับตลาดทุน และที่สำคัญยังถูกคาดหวังในเรื่องของคุณธรรมมาก
ซึ่งสุดท้ายแล้วก็มาลงล็อกที่ "ชัยเกษม นิติสิริ" อดีตอัยการสูงสุด ที่ได้นั่งเก้าอี้แบบที่ใครก็คาดไม่ถึง
- เส้นทางของการเข้ารับตำแหน่งเป็นมาอย่างไร
การเข้ามาตรงนี้ไม่ถึงขั้นที่ว่าเฮดฮันเตอร์เข้ามาหา แต่เพราะว่ามีพรรคพวกที่รู้จักกัน ซึ่งไม่ใช่นักการเมือง เขามาชวนว่าสนใจเข้ามาสมัครตำแหน่งนี้หรือไม่ แล้ว
ก็อธิบายว่า งานนี้เป็นงานประเภทคุมกติกาด้านกฎหมาย ซึ่งผมก็ยินดี เลยลองสมัครดู และก็ไม่ใช่ว่าผมจะมีการติดต่อสายตรงกับกระทรวงการคลัง หรือแม้กระทั่ง
คุณทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผมก็ไม่เคยได้รู้จักสนิทสนมกัน
- ภารกิจแรกของการเข้ามาทำหน้าที่ประธาน ก.ล.ต.
ผมมีความเชี่ยวชาญด้านกฎหมาย ดังนั้น สิ่งที่จะโฟกัสไปได้ คือเรื่อง "งานกำกับด้านกฎหมาย" เพื่อดำเนินการเอาผิดกับกรณีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดทุน โดยปัจจุบันเท่าที่ประเมินเบื้องต้นพบว่า การพิสูจน์ความผิดทางกฎหมายมีรายละเอียดมากเกินไป ทำให้เกิดความลำบากในการพิจารณาแต่ละคดี และหากจะมีการปรับแก้กฎหมายก็ค่อนข้างลำบาก เพราะต้องแก้ที่ตัวพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์ ซึ่งบางเรื่องต้องใช้เวลาเป็นปีกว่าจะเสร็จ ดังนั้น ผมจึงเห็นว่าควรจะเขียนกฎหมายเป็นกรอบกว้างมากขึ้น ส่วนรายละเอียดก็ยังคงต้องมีอยู่ แต่ให้ไปใส่ในประกาศ กฎหมายลูก ฯลฯ แทน
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ผมยืนยันว่าหลายคนก็กลัวการทำงานของ ก.ล.ต.เยอะ ดังนั้น ก.ล.ต.จึงไม่ใช่ "เสือกระดาษ" เพียงแต่ว่าคนที่ทำผิดในปัจจุบันนี้ไม่ใช่แค่พวก White Collar แล้ว แต่เป็น Super White Collar จึงมักเกิดคดีที่ซับซ้อน การรวบรวมหลักฐานเอกสารแต่ละคดีค่อนข้างยุ่งยาก ก.ล.ต.เลยน่าจะต้องมีวิธีการทำงานที่คล่องตัวขึ้นด้วย
- ภารกิจรองลงมาที่จะดำเนินการ
เรื่องที่จะต้องทำรองลงมา คือการร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ เพื่อรองรับต่อการเปิดประชาคมอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ซึ่งผมสนับสนุนการกำหนดหลักเกณฑ์ที่เป็นรูปธรรม เพื่อช่วยให้เราเชื่อมโยง
กับนานาประเทศได้ และต้องทำอย่างเร็วที่สุด เนื่องจากการหารือระหว่างประเทศเป็นเรื่องยาก เวลาเพียง 3 ปี ถือว่าสั้นมาก นอกจากนี้ ในด้าน "งานพัฒนาและส่งเสริม" ที่เกี่ยวกับการพิจารณาผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ผมก็จะรับฟังจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เมื่อจะมีการออกตราสารทางการเงิน เพราะต้องยอมรับว่า โดยส่วนตัวไม่ถนัดมากนัก เมื่อเทียบกับงานกำกับฯ
- หนักใจหรือไม่ เมื่อต้องมาทำงานที่สังคมจับตามองมากในเรื่องจริยธรรม
กรณีที่เคยมีปัญหาเกิดขึ้นกับประธานก.ล.ต.ผมก็รับทราบมาบ้าง ดังนั้นเมื่อผมทำหน้าที่นี้จะใช้วิธีที่ว่า ถ้าอะไรทำแล้วจะมีความขัดแย้ง (conflict) ต้องระวังไม่เข้าไปยุ่ง ซึ่งปัจจุบัน แม้ผมจะเป็นประธานกรรมการบริหารของคณะอนุกรรมการ (บอร์ดเล็ก) ของธนาคารอาคารสงเคราะห์ รวมถึงเป็นกรรมการของ บมจ.ปตท.สผ (PTTEP) และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP)
แต่ผมจะยึดถือว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่มีปัญหาเกิดขึ้น ผมจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว ไม่อย่างนั้นจะมีปัญหา
อย่างไรก็ตาม การดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทนั้น ต้องขอยืนยันว่า ผมสามารถทำได้ เพราะปัจจุบันผมเป็นที่ปรึกษาอัยการสูงสุดอยู่ และตามกฎหมายของอัยการระบุว่า ผมสามารถทำหน้าที่กรรมการของรัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทที่เข้าข่ายในทำนองเดียวกัน เพียงแต่จะเข้าไปทำหน้าที่ในบริษัทเอกชนไม่ได้เท่านั้น
- ตั้ง KPI ของตัวเองว่าอย่างไรบ้างในระยะ 4 ปีที่รับตำแหน่ง
เรื่อง KPI คงจะต้องมี แต่ตอนนี้ยังเป็นช่วงเริ่มต้นที่ผมจะต้องศึกษางานก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่การเข้ามาทำงานนี้ ผมก็จะใช้ความสามารถ รวมถึงเครือข่าย (คอนเน็กชั่น) ประสานงานร่วมกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องด้านการตรวจสอบ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฯลฯ เพื่อให้ทุกส่วนเข้าใจ และพิจารณาคดีได้ง่ายขึ้น สามารถสอบถามหารือกันได้ ไม่ใช่เพียงพิจารณาจากตัวอักษรเท่านั้น
- เตรียมพร้อมรับมือกับคดีหุ้นชินอย่างไร หากมีการหยิบยกเป็นประเด็นอีกครั้ง
ผมว่าทุกอย่างอยู่บนพยานหลักฐานและข้อกฎหมาย และถ้ายิ่งทำในรูปคณะกรรมการ ผมยิ่งไม่หนักใจ เพราะผมเป็นเสียงเดียวในคณะกรรมการ และทุกคดีก็ต้องคุยกันด้วยเหตุและผล ซึ่งความจริง การทำหน้าที่ตามกระบวนการยุติธรรม มันไม่ยาก แต่บางครั้งเราต้องพิจารณาว่ามีข้อมูลอะไรที่เบี่ยงเบนไปจากความจริงบ้าง ซึ่งกรรมการก็ต้องใช้ความละเอียด เพื่อให้สิ่งที่พิจารณานั้นยุติและเป็นธรรม ซึ่งในกรณีเคสชิน ผมก็เห็นว่าเขาไม่ได้ถูกทุกเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้ผิดทุกเรื่อง
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
