จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ธรรมสถิตย์ ผลแก้ว
ขณะที่กระแสการปรับคณะรัฐมนตรี(ครม.) กำลังมาแรง โดยมีคนไกลจากดูไบส่งสัญญาณให้คนอยู่ในตำแหน่งเตรียมลุกจากเก้าอี้เปิดทาง ให้สมาชิกบ้านเลขที่ 111 เข้ามานั่งตำแหน่งเสนาบดีบ้าง
“ตำแหน่งขุนคลัง” ตกเป็นเป้าหมายของ”กลุ่มเหล้าเก่าในขวดใหม่”ที่อยากสัมผัสเก้าอี้ตัวนี้เช่นกัน ทว่า กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีซึ่งนั่งควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคิดอย่างไร!?!
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาก่อนประชุมครม.สัญจร กิตติรัตน์สละเวลานั่งพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นทางการเมืองซึ่งไม่ค่อยเกิด ขึ้นบ่อยนัก บิ๊กโต้งจิบไวน์ตอบคำถามคาใจ
“เรื่องนี้ผมว่ามีคำตอบเป็นมาตรฐานอยู่แล้ว เช่น จะปรับออกหรือไม่เป็นเรื่องของท่านนายกฯ จะปรับเมื่อไหร่แล้วแต่ท่านนายกฯ” กิตติรัตน์ตอบคำถามกระแสข่าวการปรับครม.ครั้งหน้าจะให้นั่งเป็นรองนายกฯ ตำแหน่งเดียว
ทั้งนี้ กิตติรัตน์รับรู้เสียงวิจารณ์ที่มีมาถึงเขาว่าเป็นรัฐมนตรีว่าการแต่แทบไม่ ค่อยมีเวลาเข้ามาบริหารงานในกระทรวงการคลัง ทำให้ฝ่ายที่ต้องการให้ปรับครม.เสนอไปถึงคนไกลต่างแดน
“ผมไม่ได้มีหน้าที่นอกจากกระทรวงการคลัง ผมยังมีอีกสองหน้าที่ คือหน้าที่เข้าทำเนียบ อีกหน้าที่ไปยังหน่วยงานต่างๆที่ปฏิบัติจริง เมื่อเวลามีร้อยส่วนถ้าเขาจะตั้งความหวังให้ผมไปนั่งกระทรวงถึงเย็น ผมทำไม่ได้ ไม่เหมาะสม “
บิ๊กโต้ง เคยเป็นรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ก่อนจะมีการปรับครม.ยิ่งลักษณ์ 2 ก็มาเป็นรองนายกฯควบรมว.คลัง ซึ่งเจ้าตัวยอมรับถ้าเทียบการทำงานระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงการคลัง ภารกิจขุนคลังหนักกว่า เพราะกระทรวงคลังต้องดูแลรัฐวิสาหกิจถึง 150แห่ง นอกจากนั้นเรื่องของกระทรวงอื่นๆที่มีความเห็น มีนโยบาย กระทรวงการคลังต้องเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความเห็นเสมอ เพราะแต่ละเรื่องต้องใช้งบประมาณ จึงเป็นความรับผิดชอบกระทรวงการคลังต้องตอบความเห็นว่าเห็นด้วยหรือไม่เห็น ด้วยอย่างไร
ถามว่า ข้าราชการมองกิตติรัตน์ในฐานะรมว.คลังเป็นคนไม่มีฝีมือ
“ผมไม่เห็นว่าต้องมีความเห็นกับเรื่องที่คนมีความเห็นกับเราทุกเรื่องต่อ ตัวเรา หน้าที่คือเมื่อเป็นอะไรก็ทำให้ดีที่สุด เชื่อว่า ผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำจะเป็นคำตอบเอง แต่ว่าผมอาจไม่ถนัดเรื่องสร้างภาพแอคชั่น เพราะฉนั้นในแง่ ป้าย บิลบอร์ดอาจไม่เห็นหน้าผม ยกตัวอย่างผมผลักดันหนี้กองทุนฟื้นฟู ผมทำจริงจัง ผมเซฟภาษีปีละหกหมื่นแปดพันล้านบาทอย่างชนิดที่ในอดีตไม่มีใครสนใจแก้ไข เพราะฉนั้นในมุมของการทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ระดับหนี้สาธารณะที่เป็นภาระงบประมาณผมถือว่าผมทำจริงจัง ส่วนคำว่ามีฝืมือแก้ปัญหาจุกจิกมากมายผมอาจไม่เก่งก็ได้ ถามว่าบางเรื่องมีปัญหาผมเห็นไหมก็พอเห็นนะ แต่เมื่อทนอยู่มาได้สิบๆปีก็ทนอยู่ไปก่อนแล้วแต่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายที่ จะแก้ไขเสร็จเดี่ยวนี้”
กิตติรัตน์ ตีความคนที่วิจารณ์รมว.คลังมือไม่ถึงว่า “น่ามาจากคนที่คาดหวังสูง คนที่คาดหวังสูงเห็นผมทำได้แค่นี้ ก็มองมามือไม่ถึง ในมุมของผมคิดว่าใช้ได้ เมื่อทำได้แต่จะให้คะแนนตัวเองป่วยการ เพราะคนให้คะแนนบอกมือไม่ถึงไปแล้ว แต่คุณคิดดูหรือไปค้นดูก็ได้ ผมเคยพูดถึงความสามารถอย่างนี้ในบทความหรือในอดีตหรือเปล่า หน้าที่เราควบคุมความพยายามให้เกินร้อยเปอร์เซนต์แล้วกัน ผลลัพทธ์ได้เท่าไหร่ไม่ได้เท่าไหร่ อยู่ที่ปัจจัยอื่นเป็นตัวประกอบด้วย แล้วต่อให้คุณได้เท่าไหร่ เมื่อคุณทำร้อย คนอาจบอกว่าไม่ดีพอก็ได้เพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัวของเขาที่จะพิจารณา เพราะฉนั้นหน้าที่เราทำให้เต็มความสามารถ”
เจ้าตัวยังเล่าถึงผลงานอันเป็นจุดยืนมั่นคงตัวเองด้วยว่า อย่างนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท แม้คนวิจารณ์จะมีปัญหาตามมาแต่ผมยืนยันที่จะทำเพราะเห็นว่าผลดีมีมากกว่าผล เสีย นโยบายค่าแรงขั้นต่ำเป็นการร่วมคิดร่วมทำกับทีมงานกับรมว.ว่าการกระทรวงแรง งาน แม้ฝ่ายค้านจะออกมาคัดค้าน ผู้ประกอบการโรงงานไม่เห็นด้วยขู่ว่าจะอยู่ไม่ได้ เราก็พยายามชี้แจงอ้อนวอนผู้ประกอบการ โรงงานให้เห็นถึงความสำคัญนโยบายนี้
“ผมเชื่อว่าเป็นเรื่องถูกตัอง และนาทีนี้ชัดเจนว่าผู้มีรายได้น้อยมากๆเหล่านั้นมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ขึ้นบ้าง รายได้จากค่าแรงเพิ่มขึ้นถูกนำไปจับจ่ายใช้สอย พิสูจน์ได้ภาษีในระบบก็ขยับขึ้น รมว.แรงงาน เต็มที่กับผม แต่กระบวนการทำงานคุยใกล้ชิด คุยปลัด อุตสาหกรรม ทั้งกราบไหว้วิงวอนขอร้อง ผู้ประกอบการที่ไม่ยอม ผมก็บอกช่วยไม่ได้ผมจะทำซะอย่าง ในมุมเหนียวแน่นกับสิ่งที่เกิดขึ้น”
เทียบฟอร์ม แม้ว อินทรีเหล็ก –ปู มะกะโรนี
การจัดสรรตำแหน่งครม.ต้องพิจารณาจากโควต้า กลุ่มก๊วนพ่วงบารมี แต่การจะสลับร่างย้ายกิตติรัตน์ หากพิจารณาจากแบล็กหนุนหลัง ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกิตติรัตน์จัดอยู่ในสายตรงพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อีกทั้งสร้างผลงานคอนเนกชั่นให้นายกฯยิ่งลักษณ์กระชับสัมพันธ์รัฐบาลสีแดง กับสายอำมาตย์
กิตติรัตน์ เล่าว่า รู้จักน.ส.ยิ่งลักษณ์นานแล้วตั้งแต่เป็นเลขาธิการมูลนิธิไทคม ทำภารกิจการศึกษาและกีฬาของเยาวชน ตนเองเป็นคนหนึ่งทำกิจกรรมกีฬาเยาวชนที่สถาบันศศินทร์ ซึ่งน.ส.ยิ่งลักษณ์มาดูโครงการเห็นว่าเป็นโครงการที่ดีจึงชวนเข้าร่วม โครงการ
“ก่อนหน้านั้นท่านอยู่เอไอเอส ท่านก็รู้ว่าใครเป็นใคร ท่านนายกฯยิ่งลักษณ์เคยถามผมอยากทำงานเรื่องการเมืองไหมตั้งแต่ก่อนตั้ง รัฐบาลคุณสมัคร สุนทรเวช ผมพูดทีเล่นทีจริงบอกว่าไม่หรอกแต่ถ้าท่านเป็นนายกฯยินดีรับใช้ ผมเป็นคนพูดคำไหนคำนั้น เราบอกท่านไปแล้ว ถ้าเป็นนายกฯจะทำหน้าที่ตรงไหนก็ได้ ตอนแรกผมเป็นตัวเก็งรมว.ต่างประเทศ แล้วมามีข่าวจะมาเป็นรมช.เกษตรและสหกรณ์ ตอนนั้นเราไม่เคยอยู่ในแวดวงการเมือง การเป็นตัวเก็งรมช. ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลย ไม่เคยมีข่าวคาดหมายว่าผมจะเป็นคลัง ตอนนั้นเขาอาจเป็นที่ชัดเจนว่าจะมีใครเป็นรมว.คลังก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นคุณโอฬาร ไชยประวัติ คุณวิชิต สุรพงษ์ชัย หรือ หม่อมอุ๋ย ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล “
ความสัมพันธ์พ.ต.ท.ทักษิณนั้น กิตติรัตน์รู้จักตั้งแต่เป็นผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ ที่ผ่านมาเขาสามารถต่อสายโดยตรงถึงพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างไรก็ตามประเด็นการสนทนา เจ้าตัวยืนยันไม่เคยถามเรื่องการกลับประเทศไทย
"ผมเคยคุยท่านสบายดีไหมครับ ท่านเห็นวิกฤติยุโรปเป็นอยางไร ที่ท่านเดินทางอยู่มีอะไรที่จะทำให้ผมทราบได้คิดต่อไหมครับ คือทุกคนก็รู้ว่าคุณทักษิณเป็นคน ชอบอ่านชอบคิด ไอ้การที่เราจะถามนายกฯทักษิณเรื่องอย่างนี้มันดีกับงานผมเรื่องบ้านเมืองนะ เช่นเดียวกับเมื่อมีโอกาสได้รู้จักกับคนสำคัญๆ ผมเคยถามพล.อ.เปรมว่า ท่านครับงานที่ผมทำอยู่ ท่านมีอะไรแนะนำไหมครับ ผมก็ถาม ถือว่าเป็นเรื่องดี"
ความคุ้นเคยอย่างดีกับอดีตนายกและนายกฯคนปัจจุบันทำให้คนคลั่งไคล้ฟุตบอล เป็นชีวิตจิตใจอย่างกิตติรัตน์ เปรียบเทียบการทำงานบุคคลทั้งสองเหมือนทีมฟุตบอลที่กำลังโม่แข้งในศึกฟุตบอล ชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป
"คุณทักษิณไม่ลังเลที่จะสวน ใครจวกท่าน ท่านพร้อมสวน สไตล์อย่างคุณทักษิณเหมือนทีมชาติเยอรมัน ส่วนนายกฯยิ่งลักษณ์เป็นอิตาลี ไม่เห็นท่านสวนใครเลย นี่คือความแตกต่าง อีกด้านหนึ่ง อดีตนายกฯทักษิณ ด้วยวัยวุฒิ ประสบการณ์ เคยรับราชการ ความรอบรู้เรื่องต่างๆ การรู้จักคนต่างๆ ทั้งแวดวงตำรวจ ทหาร ราชการ ส่วนนายกฯยิ่งลักษณ์คุ้นกับพวกแวดวงธุรกิจ แต่ถ้าราชการต่างๆ อาจไม่มาก อย่างไรก็ตามสถานการณ์ขณะนี้นายกฯยิ่งลักษณ์ดีขึ้นสามารถจดจำข้าราชการแต่ละ รายได้มากกว่าผมเสียด้วยซ้ำ"
ครั้นกล่าวถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ หนีไม่พ้นเหตุการณ์กระชับสัมพันธ์รัฐบาลกับสัญลักษณ์อำมาตย์ โดยมีกิตติรัตน์เป็นตัวจักรสำคัญในการประสาน กิตติรัตน์ เปิดเผยว่า "ท่านเป็นคนรักดนตรีเหมือนกัน ถ้าถามว่ามีโอกาสพบกันครั้งแรกก็เพราะดนตรี วันนั้นการแสดงดนตรีที่ทำเนียบในจำนวน 3 เพลงเป็นเพลงที่พล.อ.เปรมแต่ง ท่านชอบฟังดนตรีที่มหิดล ผมก็เป็นคนหนึ่งสนับสนุนวิทยาลัยดนตรี แน่นอนทุกคนรู้จักท่านอยู่แล้ว แต่ท่านรู้จักเราในมุมที่รู้จักชื่อเราทำอะไรอย่างโครงการสานใจไทยสู่ใจใต้ ตอนเริ่มโครงการ ผมเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่อยู่ตลาดหลักทรัพย์ทำงานกับดร.อาชว์ เตาลานนท์จึงเชื่อมโยงไปถึงพล.อ.เปรม"
ห่วงโซ่สัมพันธ์ดังกล่าว'จึงเหมือนยันต์คุ้มกันตำแหน่ง “ขุนคลังหนังเหนียวรายนี้?”
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน