สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

จรัญ แจงถอนตัวกันคนตั้งแง่มีอคติ ทำกระบวนพิจารณาสะดุด

จรัญ” แจงถอนตัวกันคนตั้งแง่มีอคติ ทำกระบวนพิจารณาสะดุด

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

“จรัญ” ขอโทษ 8 ตุลาการก่อนถอนตัว ยอมรับเคยพูดถึงมาตรา 291 จริง ระบุ หวังให้ศาล รธน.ทำงานต่อได้ ห่วงมีมติ 4 ต่อ 4 เสียง จะเข้าเดดล็อก แนะคุยกันก่อนลงมติ เชื่อไม่มีเตี๊ยมกันแน่
       
       วันนี้ (5 ก.ค.) นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ให้สัมภาษณ์ 100.5 เอฟเอ็ม ถึงการถอนตัวจากองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้พิจารณาคำร้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ชอบด้วยกฎหมาย ว่า ได้ตัดสินใจโดยทันที หลังจากที่ฝ่ายผู้ถูกร้องได้มีการอ้างอิงคำให้สัมภาษณ์ของตนในอดีตในห้อง พิจารณาคดี เมื่อเสร็จสิ้นการไต่สวนในช่วงเช้า จึงได้รีบให้เจ้าหน้าที่ไปค้นคำให้สัมภาษณ์ และหลักฐานต่างๆ ก็พบคลิปที่เคยกล่าวถึงเรื่องนี้เอาไว้ โดยตรวจสอบคำพูดอย่างละเอียดแล้ว ก็เห็นว่า เป็นการพูดในช่วงการรณรงค์ให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญปี 50 ซึ่งได้ลงรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรา 291 ไว้ด้วย จึงเห็นว่า หากทำหน้าที่ต่อไปคงไม่สมควร และจะถูกมองว่าทำหน้าที่โดยอคติในการตัดสินคำร้องนี้
       
       “เมื่อได้ตรวจสอบพบแล้ว จึงได้นำเรื่องนี้แจ้งต่อที่ประชุมตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนเริ่มการไต่สวนในช่วงบ่าย โดยได้แสดงเจตจำนงขอถอนตัว และขออภัยต่อตุลาการทั้ง 8 คน ที่ทำให้การทำงานของศาลรัฐธรรมนูญมีปัญหา ซึ่งที่ประชุมได้เชิญผมออกจากห้องประชุม ก่อนมีมติอนุญาตให้ผมถอนตัวได้” นายจรัญ ระบุ
       
       นายจรัญ กล่าวด้วยว่า คิดว่า การตัดสินใจของตนครั้งนี้ เป็นการทำให้การพิจารณาดำเนินต่อไปได้ เพื่อให้เกิดความโปร่งใส โดยยอมรับว่า ก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีการตรวจสอบมาก่อน จำได้เพียงคร่าวๆ ว่า ได้ไปพูดในเวทีสาธารณะเวทีหนึ่ง ว่า ขอให้ประชาชนรับร่างรัฐธรรมนูญไปก่อน จึงแก้ไขในภายหลัง แต่เมื่อตรวจสอบในรายละเอียด ก็เห็นว่า มีการลงลึกในส่วนของการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 291 จริง
       
       นายจรัญ ยังกล่าวอีกว่า การถอนตัวของตน ส่งผลให้ขณะนี้องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเหลือเพียง 8 คน ยอมรับว่า อาจมีปัญหาในการลงมติ ด้วยจำนวนที่เป็นเลขคู่ เพราะหากตุลาการมีมติเท่ากัน 4 ต่อ 4 เสียง ก็จะติดปัญหา หรือเข้าเดดล็อกได้ ซึ่งที่ผ่านมายังไม่เคยเกิดเรื่องนี้ในการลงมติของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็มีความพยายามในการแก้ปัญหาด้วยการออกกฎหมายการพิจารณาคดีของศาลรัฐ ธรรมนูญ แต่ก็ยังไม่แล้วเสร็จ ยังอยู่ในการพิจารณาของรัฐสภา
       
       “หากมีมติเท่ากันจริงก็อยู่ที่การตัดสินใจตุลาการทั้ง 8 คน ว่า จะทำอย่างไร ซึ่งวิธีการแก้ปัญหาน่าจะทำได้ เช่น อาจจะใช้วิธีการพูดคุยกันภายในก่อนการลงมติ แต่ไม่ใช่เป็นการมาตกลงกัน หรือตั้งธงล่วงหน้าร่วมกัน เพราะตุลาการแต่ละคนก็มีดุลยพินิจของตัวเอง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าว่าแต่ละคนจะลงมติไปในทางไหน ทุกอย่างอยู่ที่วันประชุม” นายจรัญ กล่าว


“จรัญ” ถอนตัวคดีแก้ รธน.-ไม่สบายใจเผยความเห็นล่วงหน้า

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ศาล รธน.ไต่สวนคดีแก้ รธน.291 ล้มล้างการปกปครอง “สมเจตน์-เดชอุดม” ระบุชัดล้มเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งฉบับ-ตั้ง ส.ส.ร. ทำไม่ได้ ด้านตุลาการวาง 4 ประเด็นวินิจฉัย ด้าน “จรัญ” ขอถอนตัว เหตุไม่สบายใจ หลังฝ่ายผู้ถูกร้องอ้างคำให้สัมภาษณ์สมัยเป็น ส.ส.ร.ให้รับร่างรัฐธรรมนูญ 50 เท่ากับรู้ความเห็นล่วงหน้า

       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ก.ค.) คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธาน ได้ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนผู้ร้องและพยานในคดีที่ศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 เข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 หรือไม่ ทั้งนี้ มีพยานผู้ร้องที่เข้าไต่สวน จำนวน 7 คน ประกอบด้วย พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม, นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ ส.ว.สรรหา, นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา พรรประชาธิปัตย์, นายวันธงชัย ชำนาญกิจ, นายวรินทร์ เทียมจรัส อดีต ส.ว.สรรหา, นายบวร ยสินธร, นายสุรพล นิติไกรพจน์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยการไต่สวนครั้งนี้ได้รับความสนใจจากฝ่ายผู้ร้องและผู้ถูกร้องอย่างมาก ซึ่งบุคคลที่ไม่ได้เข้ารับการไต่สวน เช่น นายสมชาย แสวงการ ส.ว.สรรหา นายถาวร เสนเนียม ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ นายพีรพันธุ์ พาลุสุข นายพิชิต ชื่นบาน นายวีรภัทร ศรีโชค รวมถึงสื่อมวลชนและเครือข่ายประชาชนกลุ่มต่างๆ ก็ได้เดินทางมาร่วมรับฟังและให้กำลังใจผู้เข้าไต่สวน
       
       ก่อนการไต่สวนมีรายงานว่า นายชูศักดิ์ ศิรินิล ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้มีการยื่นเอกสารเป็นถ้อยคำที่มีการถอดเทปการสัมภาษณ์นายจรัญ ภักดีธนากุล สมัยที่เป็น ส.ส.ร. ที่มีการระบุว่าให้รับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ไปก่อนแล้วค่อยมีการแก้ไขภายหลัง
       
       ทั้งนี้ เมื่อเริ่มการไต่สวน นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้มอบหมายให้นายนุรักษ์ มาประณีต และนายบุญส่ง กุลบุปผา ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ดำเนินกระบวนการพิจารณา โดยนายนุรักษ์ได้แจ้งถึงประเด็นในการพิจารณาวินิจฉัยของคณะตุลาการว่าจะมี ทั้งสิ้น 4 ประเด็น 1. ผู้ฟ้องมีอำนาจในการฟ้องคดีตามมาตรา 68 วรรคสองหรือไม่ 2. การแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 โดยเป็นการยกเลิกรัฐธรรมนูญทั้งฉบับสามารถทำได้หรือไม่ 3. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ 291 มีปัญหาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ หรือเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตาม วิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญนี้หรือไม่ 4. หากมีการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุให้ต้องมีการยุบพรรคตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 วรรคสามและสี่หรือไม่
       
       ส่วนการไต่สวนพยานปากแรกคือ พล.อ.สมเจตน์ ผู้ร้องที่ 1 ก็ได้เบิกความยืนยันถ้อยคำตามบันทึกถ้อยคำที่ได้ยื่นไว้ และนำส่งรายงานการพิจารณาของอัยการสูงสุดที่มติว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เป็นการล้มล้างการปกครองตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 จึงไม่ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามที่ศาลขอไว้ รวมทั้งขอนำส่งบันทึกถ้อยคำยืนยันข้อเท็จจริงของ นายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อาจารย์นิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันที่ 6 ก.ค. ซึ่งถูกคัดค้านจากฝ่ายผู้ร้องโดยอ้างว่าเกินระหว่างที่ศาลฯ กำหนดให้ยื่นบันทึกถ้อยคำ แต่ศาลก็อนุญาตให้นำส่งได้และจะพิจารณาภายหลังว่าจะให้รวมไว้ในสำนวนหรือไม่
       
       จากนั้น นายวัฒนา เซ่งไพเราะ และนายชูศักดิ์ ศิรินิล ในฐานะตัวแทนผู้ถูกร้องก็ได้ซักค้านพล.อ.สมเจตน์ ว่า พล.อ.สมเจตน์เป็น ส.ว. ทราบดีว่ากระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเดินหน้าไม่ได้หาก ส.ว.ไม่เสนอสัดส่วนกรรมาธิการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญขึ้น แต่ทำไม พล.อ.สมเจตน์ กลับเป็นหนึ่งในคณะกรรมาธิการฯยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ และที่คิดว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการล้มล้างการปกครองฯ ก็เป็นการคิดไปเอง รวมทั้งที่ผ่านมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เคยใช้กระบวนการสมาชิกสภาร่างรัฐ ธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มาแล้ว จึงอาจถือเป็นประเพณีปฏิบัติได้ เมื่อรัฐธรรมนูญ 50 ไม่ได้บัญญัติไว้โดยตรงว่าให้มีการตั้ง ส.ส.ร. ซึ่ง พล.อ.สมเจตน์ชี้แจงว่า ที่ผ่านมาได้คัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาโดยตลอดเพราะเห็นว่าเป็นการเปลี่ยน แปลงการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่แตกต่างจากการรัฐประหารเพื่อฉีกรัฐธรรมนูญ เพียงแต่การรัฐประหารใช้ปืน แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ใช้ข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตย
       
       “ยอมรับว่าได้รับทราบถึงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาแต่ต้น แต่ไม่มีอำนาจใดๆ ไปคัดค้านการดำเนินการของรัฐสภา ซึ่งได้แสดงความเห็นต่อสาธารณะมาตลอดว่าไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะจะเกิดภัยร้ายแรงต่อประเทศชาติจึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญและ อัยการสูงสุด แม้ว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 291/11 จะบัญญัติให้การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองจะกระทำไม่ ได้ก็จริง แต่กระบวนการในการวินิจฉัยประเด็นนี้อยู่ประธานรัฐสภาแต่เพียงผู้เดียว ผมไม่สามารถเอาความมั่นคงของประเทศชาติและการดำรงอยู่ของสถาบันพระมหา กษัตริย์ มาฝากไว้กับประธานรัฐสภาคนเดียวไม่ได้ ยิ่งมีคลิปเสียงออกมายิ่งทำให้ไว้วางใจไม่ได้”
       
       ส่วนการอ้างว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับปี 35 ก็มีการตั้ง ส.ส.ร.และยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540 นั้นจะเอามาเทียบเคียงกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่ได้ เพราะในอดีตบริบทของสังคมเวลานั้นต้องการให้เกิดการปฎิรูปการเมืองเพื่อปลด แอกจากทหาร และต้องการนายกรัฐมนตรีจากการเลือกตั้ง แต่บริบทสังคมเวลานี้เกิดความขัดแย้งรุนแรง อีกทั้งสมาชิกของพรรคเพื่อไทยและอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย เช่น นายอดิศร เพียงเกษ ก็ปราศรัยเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมาว่า “ใฝ่ฝันที่อยากจะเห็นสถาบันของเราเป็นเพียงสัญลักษณ์เหมือนประเทศอังกฤษ” ซึ่งก็คือแตกต่างจากปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง เห็นว่ามีความมุ่งร้ายกับสถาบันอย่างชัดเจน ดังนั้นบริบทของสังคมในปี 40 และ 50 จึงแตกต่างกัน
       
       ทั้งนี้ ในการซักค้านของนายชูศักดิ์ได้มีการหยิบยกคำสัมภาษณ์ของนายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ที่ขณะนั้นเป็น ส.ส.ร.ระบุว่าให้มีการรับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ไปก่อนแล้วค่อยไปแก้ไขมาตราเดียวก็แก้ได้ทั้งฉบับแล้ว ซึ่งทำให้นายจรัญต้องขอชี้แจง โดยระบุว่า ในขณะนั้นได้แสดงความเห็นว่า ถ้าเราไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 50 ก็จะไม่พ้นระบอบรัฐประหาร จึงน่าจะรับไปก่อน ถ้าไม่เหมาะสมตรงไหนก็แก้ไขได้ แต่ไม่ได้บอกว่าแก้มาตราเดียวแล้วเลิกทั้งฉบับ ตนไม่เคยพูด
       
       ต่อมา นายภารดร ปริศนานันทกุล ผู้ถูกร้องที่ 6 ก็ได้ซักค้าน พล.อ.สมเจตน์ ซึ่งตลอดเวลาของการซักค้านทั้ง 3 ฝ่ายค่อนข้างกล่าวด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ โดยเฉพาะเมื่อนายภารดรถามว่า พล.อ.สมเจตน์ก็อยู่ร่วมในการรัฐประหาร 19 ก.ย. 49 ซึ่งการปฏิวัติดังกล่าวถือเป็นการล้มล้างการปกครอง และเป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ แต่ครั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ให้อำนาจไว้ ซึ่ง พล.อ.สมเจตน์ก็ตอบด้วยเสียงดังว่า “ผมไม่ได้ร่วมปฏิวัติ ถ้าบอกว่าการรัฐประหาร เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญ ผลของการแก้รัฐธรรมนูญนี้ก็เป็นการฉีกรัฐธรรมนูญเหมือนกัน” ซึ่งนายภารดรก็ตอบโต้ว่า “ผมทำตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด ส.ส.ร. จะไปทำอะไรเหนือการตัดสินใจของพวกผม”
       
       ขณะที่การไต่สวนนายเดชอุดมนั้น นายวัฒนาได้พยายามซักค้านถึงกรณีการตั้ง ส.ส.ร. และการที่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาจะไม่ใช้อำนาจเพียงลำพังวินิจฉัยว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง แต่จะมีการตั้งคณะกรรมการที่ประกอบไปภาคส่วนต่างๆ รวมถึงคณบดีนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ จะสามารถคลายความกังวลได้หรือไม่ หรือมีบุคคลที่นายเดชอุดมอยากเสนอให้ร่วมเป็นคณะกรรมการฯ แต่นายเดชอุดมก็กล่าวว่า ตนเองไม่เห็นด้วยต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญนี้มาแต่ต้น และคิดว่าสังคมก็ไม่สบายใจต่อการที่จะให้อำนาจประธานรัฐสภาวินิจฉัยชี้ขาด แม้ประธานรัฐสภาระบุว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาช่วยพิจารณาก่อนตัดสินใจ ก็เกรงว่ประธานฯ จะทำผิดกฎหมาย ซึ่งความจริงไม่ควรมาถามคำถามนี้กับตนเพราะโดยข้อเท็จจริงรัฐธรรมนูญไม่มี เจตนาให้มีการตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญ
       
       “จะเห็นได้ว่าถ้อยคำในมาตรา 291 ระบุชัดว่า การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญให้กระทำได้ตามหลักเกณฑ์และวิธีการดังต่อไป นี้.. ซึ่งไม่ต้องเป็นนักกฎหมาย ก็รู้ว่าหมายความว่าอย่างไร แต่นักกฎหมายก็มาคุยกันว่าเมื่อมีถ้อยคำอย่างนี้อยู่มันจะตั้ง ส.ส.ร.ได้ไหม ก็เห็นว่าไม่ได้ การจะแก้ไขต้องให้รัฐสภาดำเนินการ” นายเดชอุดมกล่าวชี้แจง
       
       อย่างไรก็ตาม ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญก็ได้ขอความเห็นนายเดชอุดมว่าอำนาจในการสถาปนารัฐ ธรรมนูญเป็นของใคร ซึ่งนายเดชอุดมกล่าวว่า หลักการอำนาจนี้เป็นของประชาชน โดยเสียงส่วนใหญ่ แต่วันนี้ที่มาชี้แจงต่อศาลฯ คือ การแปลความรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐธรรมนูญนี้ได้ผ่านเสียงส่วนใหญ่ของประชาชนมาแล้ว
       
       ส่วนนายวันธงชัย ผู้ร้องที่ 2 ชี้แจงว่า เหตุที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเนื่องจากเห็นว่ารัฐธรรมนูญมาตรา 291 ไม่เปิดช่องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในลักษณะยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ทั้งฉบับ และอำนาจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นของรัฐสภา ไม่ใช่การตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาทำการ
       
       ส่วนการไต่สวนในช่องบ่ายคณะตุลาการได้เริ่มในเวลา 14.00 น. โดยเมื่อคณะตุลาการฯ ออกนั่งบัลลังก์ ก็ได้แจ้งคู่กรณีว่า เหตุที่ออกนั่งบัลลังก์ช้าก็เนื่องมาจากกรณีที่มีการอ้างถึงคำให้สัมภาษณ์ ของนายจรัญเมื่อครั้งเป็น ส.ส.ร. ซึ่งทำให้นายจรัญไม่สบายใจและขอถอนตัวจากการเป็นองค์คณะพิจารณาคดีนี้ ซึ่งที่ประชุมคณะตุลาการก็อนุญาต แต่นายชูศักดิ์ก็ได้ชี้แจงว่าการที่ตนเองอ้างคำสัมภาษณ์ของนายจรัญไม่ได้ เป็นการคัดค้านการเป็นองค์คณะ
       
       นายวสันต์จึงอธิบายว่า การขอถอนตัวเกิดจากการที่นายจรัญไม่สบายใจ ซึ่งนายจรัญบอกว่า ถ้าท่านจะตัดสินใจก็เท่ากับว่าคนรู้ความเห็นของท่านล่วงหน้าแล้ว เพราะท่านก็ต้องตัดสินไปตามสิ่งที่ท่านเคยแสดงความคิดความเห็นเอาไว้ การที่ท่านชี้แจงขณะไต่สวน ก็เหมือนท่านเปิดเผยความเห็นของท่านไปแล้ว ซึ่งที่ประชุมคณะตุลาการฯ ก็เห็นด้วยจึงอนุญาตให้ถอนตัวจากการเป็นองค์คณะ


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : จรัญ แจงถอนตัว กันคนตั้งแง่ มีอคติ ทำกระบวนพิจารณาสะดุด

view