จากประชาชาติธุรกิจ
ต้อง ปรบมือดัง ๆ ให้ 3 ประสาน อันมีสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) สำนักงบฯ และสภาพัฒน์ ที่รุมค้าน "โครงการรับจำนำข้าว" รอบใหม่ ปกติหน่วยงานที่เอ่ยชื่อมาเป็นหน่วยงานประเภท "เอ็นเตอร์เทน" รัฐบาลอยู่แล้วมัก ไม่ค่อยขัด ทำตามสั่งตลอด แต่กล้าท้วงติงแรงๆ อย่างนี้นั่นย่อมแสดงว่าขืนปล่อยไปประเทศเจ๊งเพราะหนี้บานแน่ๆ
ลอง อ่านความเห็นเขาว่าอย่างไร "สลค." ให้ความเห็นว่า "หากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/2556 โดยไม่ระบายสต๊อกข้าวเดิมจะทำให้มีปริมาณข้าวสะสมจากการรับจำนำสูงถึง 50 ล้านตัน และมีภาระงบประมาณสูงมาก"
ส่วน สภาพัฒน์ก็คล้ายๆ กันคือ ในการรับจำนำข้าวนาปีและนาปรังปีนี้ใช้เงินรวมเกือบ 5.2 แสนล้านบาท หากจะรับจำนำในปี 2556 คงต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐในราคาและปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ กระทบราคาข้าวเปลือกและไม่ให้ขาดทุนจนเป็นภาระงบประมาณ เช่นเดียวกับสำนักงบฯ ที่บอกว่า หากไม่มีการเร่งระบายข้าวระบายผลผลิตในโครงการที่มีอยู่เพื่อนำเงินมาใช้ หมุนเวียนในการรับจำนำข้าวเปลือกครั้งนี้จะส่งผลกระทบความสามารถในการค้ำ ประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังและต้องกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูง
แปลว่าหากยังเดินหน้าจะทำให้หนี้สาธารณะสูงจนอาจมีความเสี่ยง หากจะกู้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่าปกติซึ่งจะยิ่งเป็นภาระประเทศ
"การ ระบายข้าวในสต๊อก" กลายเป็นจุดที่หลายๆ คนเป็นห่วง เฉพาะปีนี้ข้าวเปลือกที่รับจำนำ 18 ล้านตัน แปรสภาพเป็นข้าวสารได้ราวๆ 10 ล้านตันยังไม่รวมสต๊อกเดิม ที่ผ่านมา "พาณิชย์" ไม่เคยชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนเข้าใจว่าข้าวในสต๊อกระบายออกไปแล้วเท่าไหร่ มีแต่บอกว่าบอกว่ามีออร์เดอร์ "ข้าวจีทูจี" หรือขายแบบรัฐต่อรัฐ 6 สัญญากว่า 7 ล้านตัน ซึ่งยังเป็นแค่ "สัญญาลม" แม้จะอ้างว่าทำเอ็มโอยูแล้วก็ตาม เซ็นแล้วไม่ซื้อก็มีมาให้เห็นตลอด
หาก เป็นไปได้เลิกซะทีเถอะ "นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด" เพราะนี่ไม่ใช่ "รับจำนำ" แต่เป็น "การรับซื้อข้าวทุกเมล็ด" มันผิดหลักการแทรกแซงเพื่อยกระดับราคาและก็ทำกันแค่ชั่วคราว ระยะสั้นๆ แต่เที่ยวนี้รัฐบาลเล่นทำตัวเป็นพ่อค้า "ซื้อเป็นแต่ ขายไม่เป็น" ขืนทำต่อไปประเทศเจ๊งเป็นหนี้เป็นสินบานเบอะ
ไม่ มีใครค้านที่รัฐบาลจะช่วยให้ราคาข้าวสูงขึ้น แต่ต้องไม่มักง่ายและรั่วไหลอย่างนี้ ที่สำคัญมันต้องถึงมือชาวนารายเล็กๆ ที่ยากจนจริงๆ แต่หากยังเป็นอย่างนี้เลิกดีกว่ามั้ง
ลอง อ่านความเห็นเขาว่าอย่างไร "สลค." ให้ความเห็นว่า "หากดำเนินโครงการรับจำนำข้าวเปลือกนาปี 2555/2556 โดยไม่ระบายสต๊อกข้าวเดิมจะทำให้มีปริมาณข้าวสะสมจากการรับจำนำสูงถึง 50 ล้านตัน และมีภาระงบประมาณสูงมาก"
ส่วน สภาพัฒน์ก็คล้ายๆ กันคือ ในการรับจำนำข้าวนาปีและนาปรังปีนี้ใช้เงินรวมเกือบ 5.2 แสนล้านบาท หากจะรับจำนำในปี 2556 คงต้องเร่งระบายข้าวในสต๊อกของรัฐในราคาและปริมาณที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้ กระทบราคาข้าวเปลือกและไม่ให้ขาดทุนจนเป็นภาระงบประมาณ เช่นเดียวกับสำนักงบฯ ที่บอกว่า หากไม่มีการเร่งระบายข้าวระบายผลผลิตในโครงการที่มีอยู่เพื่อนำเงินมาใช้ หมุนเวียนในการรับจำนำข้าวเปลือกครั้งนี้จะส่งผลกระทบความสามารถในการค้ำ ประกันเงินกู้ของกระทรวงการคลังและต้องกู้ในอัตราดอกเบี้ยสูง
แปลว่าหากยังเดินหน้าจะทำให้หนี้สาธารณะสูงจนอาจมีความเสี่ยง หากจะกู้ก็ต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงกว่าปกติซึ่งจะยิ่งเป็นภาระประเทศ
"การ ระบายข้าวในสต๊อก" กลายเป็นจุดที่หลายๆ คนเป็นห่วง เฉพาะปีนี้ข้าวเปลือกที่รับจำนำ 18 ล้านตัน แปรสภาพเป็นข้าวสารได้ราวๆ 10 ล้านตันยังไม่รวมสต๊อกเดิม ที่ผ่านมา "พาณิชย์" ไม่เคยชี้แจงแถลงไขให้ประชาชนเข้าใจว่าข้าวในสต๊อกระบายออกไปแล้วเท่าไหร่ มีแต่บอกว่าบอกว่ามีออร์เดอร์ "ข้าวจีทูจี" หรือขายแบบรัฐต่อรัฐ 6 สัญญากว่า 7 ล้านตัน ซึ่งยังเป็นแค่ "สัญญาลม" แม้จะอ้างว่าทำเอ็มโอยูแล้วก็ตาม เซ็นแล้วไม่ซื้อก็มีมาให้เห็นตลอด
หาก เป็นไปได้เลิกซะทีเถอะ "นโยบายรับจำนำข้าวทุกเมล็ด" เพราะนี่ไม่ใช่ "รับจำนำ" แต่เป็น "การรับซื้อข้าวทุกเมล็ด" มันผิดหลักการแทรกแซงเพื่อยกระดับราคาและก็ทำกันแค่ชั่วคราว ระยะสั้นๆ แต่เที่ยวนี้รัฐบาลเล่นทำตัวเป็นพ่อค้า "ซื้อเป็นแต่ ขายไม่เป็น" ขืนทำต่อไปประเทศเจ๊งเป็นหนี้เป็นสินบานเบอะ
ไม่ มีใครค้านที่รัฐบาลจะช่วยให้ราคาข้าวสูงขึ้น แต่ต้องไม่มักง่ายและรั่วไหลอย่างนี้ ที่สำคัญมันต้องถึงมือชาวนารายเล็กๆ ที่ยากจนจริงๆ แต่หากยังเป็นอย่างนี้เลิกดีกว่ามั้ง
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
