สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

การสร้าง ความต้องการเทียม ในตลาดเสรี

การสร้าง “ความต้องการเทียม” ในตลาดเสรี

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




หลักของการค้าขายในตลาดเสรีทั่วไป ได้แก่ การทำให้สินค้าของตนเป็นที่ต้องการของตลาด ซึ่งทำได้ในหลายรูปแบบ
เช่น ฉีกตลาดออกไปสู่ตลาดบนเพื่อทำให้ความแตกต่างของรสนิยมอันเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญในการบริโภค แต่สำหรับสินค้าที่มีความแตกต่างน้อย การผลิตก็ไม่สามารถฉีกตลาดไปได้ด้วยคุณลักษณะของสินค้า เช่น สินค้าการเกษตรทั่วไป วิธีการที่ต้องทำกันเพื่อทำให้สินค้าของตนนั้นขายได้และมีราคาดีขึ้น ก็คือ การทำให้สินค้านั้นๆ มีน้อยลงในตลาดขณะที่ความต้องการมีเท่าเดิม ซึ่งก็ส่งผลให้สินค้านั้นมีราคาสูงขึ้นทันที เช่น เมื่อหลายปี (สิบปีกระมัง) บริษัทอุตสาหกรรมการเกษตรแก้ปัญหาราคาไก่ตกต่ำด้วยการนำลูกไก่ไปทิ้งทะเล เป็นต้น
 

การทำให้สินค้าที่มีความแตกต่างน้อยหรือไม่มากนักนี้หายไปจากตลาดเพื่อที่จะทำให้สินค้าที่เหลืออยู่มีราคาสูงขึ้นนี้ เรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า เป็นการสร้าง “ความต้องการเทียม” (Pseudo Demand) ซึ่งทำขึ้นเพื่อจะดึงเอาสินค้าที่ผลิตขึ้นมากจนทำให้ราคาตกต่ำนั้นไปอยู่ในที่ที่ไม่ใช่ตลาด เช่น ทะเล เผาไฟ ยุ้งฉางหรือที่เก็บกักไว้เฉยๆ ฯลฯ อันทำให้สินค้าที่ผลิตขึ้นนั้นมีน้อยลงในตลาดนั้นเอง
 

การจัดการกับปัญหาราคาข้าวในประเทศไทย รัฐบาลทุกรัฐบาลตั้งแต่รัฐบาลพลเอก เปรม ติณสูลานนท์ (ทศวรรษ 2520) เป็นต้นมาก็ดำเนินมาในลักษณะเดียวกันนี้ (ยกเว้นรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ผ่านมา ซึ่งจะขอกล่าวต่อไปในภายหลัง) คือ การสร้างความต้องการเทียมขึ้นมาในแต่ละปีนั่นเอง
 

แต่การจัดการกับปัญหาข้าวในรัฐบาลนี้แตกต่างจากเดิมในเรื่องขนาดของการสร้าง "ความต้องการเทียม" เพราะรัฐบาลที่ผ่านมามักจะประเมินว่าผลผลิตจะเกิดความต้องการของตลาดโลกจำนวนสักเท่าไร จากนั้นก็จะจัดสรรงบประมาณมาทำให้เกิดการ “จำนำ” ข้าว (ความต้องการเทียม) ในปริมาณที่คาดไว้ ซึ่งก็จะส่งผลให้ข้าวหายไปจากตลาดจำนวนตามที่คาด อันส่งผลทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นในตลาดซื้อขายทั่วไป
 

รัฐบาลนี้ได้ขยาย “ความต้องการเทียม” นี้ขึ้นครอบคลุมข้าวทุกเม็ดในตลาดของไทยหรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือรัฐบาลสร้าง “ความต้องการเทียม” ในตลาดข้าวร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นในทางทฤษฎีแล้วข้าวจึงหายหมดจากตลาดภายใน แม้ว่าในทางปฏิบัติผู้ส่งออกและโรงสีเครือข่ายผู้ส่งออกย่อมมีเครือข่ายผู้ปลูกข้าวของตนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ไม่มากพอที่จะส่งออกได้อย่างเดิม เพราะ “ความต้องการเทียม” ได้แย่งข้าวไปจนเกือบหมดตลาด
 

 การสร้าง “ความต้องการเทียม” ครอบคลุมตลาดทั้งหมดเช่นนี้ เกิดขึ้นเพราะคิดว่าจะสามารถควบคุมราคาตลาดข้าวในโลกได้ เพราะไทยเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ ดังนั้น หากไทยยังไม่ส่งออกข้าว ข้าวในตลาดโลกก็ลดลงซึ่งย่อมส่งผลต่อราคาที่ไทยจะขายต่อไปในอนาคตว่าจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน
 

แต่การสร้าง “ความต้องการเทียม” ในตลาดการค้าข้าวของโลกวันนี้จะประสบกับปัญหาใหญ่ เพราะตลาดข้าวของโลกวันนี้ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว กล่าวคือ หลังจากทศวรรษ 1990 กลุ่มประเทศคอมมิวนิสต์ในเอเชียที่ล่มสลายและหันกลับมาเดินทางสายเสรีนิยม ได้มุ่งเน้นที่จะพัฒนาอุตสาหกรรมโดยเริ่มจะสะสมทุนเบื้องต้นจากการผลิตเกษตรเพื่อขาย โดยเฉพาะข้าว ได้ทำให้ตลาดข้าวของโลกตกในสภาวะ “ตลาดเปราะบาง” (Thin Market) มากขึ้น
 

“ตลาดเปราะบาง” เห็นได้ชัดเจนจากขนาดของตลาดและผู้ผลิตสินค้าป้อนตลาด เท่าที่ผ่านมาตลาดข้าวของโลกมีความต้องการที่ไม่เพิ่มมากนัก เพราะหากราคาข้าวสูงขึ้นเกินไป ประเทศต่างๆ ก็ที่เคยซื้อข้าวก็จะหันไปบริโภคอาหารแป้งจากสินค้าเกษตรตัวอื่นแทน ดังนั้นตลาดจึงจะผันแปรอย่างรวดเร็วในกรณีที่ทีการผลิตข้าวเพื่อส่งออกเพิ่มแม้เพียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น  เดิม เวียดนามไม่เคยส่งออกข้าว แต่เมื่อเวียดนามตัดสินใจส่งออกข้าวแม้ว่าปริมาณอาจจะไม่มากนัก เช่น ปีละหนึ่ง-สองล้านตัน ก็จะส่งผลให้ตลาดที่มีขนาดคงที่นั้นกระทบกระเทือนทางด้านราคาทันที
 

ดังนั้น ความหวังที่จะสร้าง “ความต้องการเทียม” ในประเทศไทยทั้งหมดจึงประสบปัญหาทันที เพราะทันทีที่ปริมาณข้าวในตลาดลดลง ราคากำลังจะเพิ่มสูงขึ้น เวียดนามได้ส่งออกเข้าไปสู่ตลาดทันที ส่งผลให้ความต้องการในตลาดโลกนั้นไม่เพิ่มมากขึ้นอย่างที่รัฐบาลนี้คาดหวังเอาไว้
 

การสร้าง “ความต้องการเทียม” ในตลาด “เปราะบาง” เช่นตลาดข้าวของโลกวันนี้ จึงทำให้รัฐบาลต้องรับภาระอันหนักหน่วงมากขึ้น เพราะรัฐกลายเป็นเจ้าของข้าวทั้งหมดที่ผลิตได้ และยังไม่รู้ว่าจะทยอยออกไปขายให้แก่ใครและขายที่ไหน สิ่งที่ต้องทำก็คือการหาบริษัทมาประมูลเพื่อนำออกออกจากยุ้งฉาง ซึ่งก็ต้องปล่อยให้ประมูลในราคาที่ต่ำแน่นอน เพราะบริษัทที่จะมาประมูลย่อมไม่มีทางที่จะสู้ราคาที่สูงได้
 

รัฐบาลเองก็เห็นปัญหาอย่างชัดเจนนี้ แต่เนื่องจากทางออกทางเศรษฐกิจของการค้าโลกเหลือน้อยลงมาก ซึ่งจะส่งผลกระทบทางการเมืองอย่างรุนแรงในอนาคตอันใกล้ ทางรอดทางการเมืองทางหนึ่ง ก็คือ ใช้วิธีการประเมินนโยบายด้วยการเบนประเด็นมาอธิบายถึงการทะลายการผูกขาดการค้าข้าวแทน โดยมักจะกล่าวทำนองว่าเมื่อก่อนเราส่งออกมาก แต่ชาวนาจน แต่วันนี้เราส่งออกน้อย แต่ชาวนากลับมีรายได้มากขึ้นเพราะการจำนำข้าว (ตลาดเทียม) ซึ่งเป็นความจริงที่ ปฏิเสธไม่ได้ รวมทั้งพยายามที่จะอธิบายว่าการส่งออกข้าวเกรดดียังทำได้เรื่อยๆ ดังนั้นประเทศไทยก็อาจจะลดการส่งข้าวเกรดต่ำราคาถูกหันไปสู่การผลิตข้าวเกรดสูงราคาแพงแทน
 

แต่ปัญหานี้ไม่ได้ง่ายอย่างที่รัฐบาลอธิบายไว้
 

การสร้าง “ความต้องการเทียม” ให้มีขนาดเท่ากับตลาดในประเทศทั้งหมด จะทำให้เกิดการขยายตัวของการปลูกข้างเกรดต่ำที่ไม่ต้องการการดูแลมากนักเพิ่มมากขึ้นทันที เพราะการสร้าง “ความต้องการเทียม” เช่นนี้ คือ การดึงภาระ “ความเสี่ยง” ทางเศรษฐกิจทั้งหมดออกจากบ่าของคนปลูกข้าว และการทำเช่นนี้จะทำให้คนจำนวนมากกลับมาสู่การผลิตที่ไม่ต้อง “เสี่ยง” อะไรเลยแบบนี้มากขึ้น ขณะเดียวกัน คนที่อยู่ในชนบทที่ร่ำรวยอยู่แล้ว ก็จะลงทุนในการเพราะปลูกขนาดใหญ่ (Plantation) เพื่อผลิตข้างเกรดดี ราคาสูงเพิ่มมากขึ้น คนจำนวนมากที่กลับมาสู่การผลิตที่ไม่ต้อง “เสี่ยง” อะไรเลยแบบนี้ก็ไม่ใช่ชาวนาผู้ยากจนอย่างที่รัฐบาลโหมโฆษณาหรอกครับ
 

ปริมาณข้าวที่จะถูกผลิตในปีต่อๆ ไปจะสูงมากขึ้นๆ จนอย่างไรก็ตามในที่สุด รัฐบาลก็จะไม่สามารถที่จะดำเนินนโยบาย “ความต้องการเทียม” นี้ได้ต่อไปได้อย่างแน่นอน
 

ทางออกเฉพาะหน้าวันนี้อย่างน้อยสองทาง ได้แก่ การระดมผู้ส่งออกเดิมทั้งหมดซึ่งเป็นสายตระกูลที่ผูกขาดการค้าข้าวมาหลายชั่วอายุคนมาสู่การเป็น “เอเยนต์” ของรัฐบาลโดยกำหนดค่าตอบแทนตามปริมาณข้าวที่ส่งออกได้ เพื่อที่จะระบายข้าวที่เก็บเอาไว้ โดยทั้งรัฐบาลและผู้ส่งออกรายใหญ่มาตกลงราคาพื้นฐานที่ทำให้รัฐบาลขาดทุนน้อยที่สุด ทางออกที่สอง ได้แก่ การสร้างอุตสาหกรรมแปรรูปข้าวให้หลากหลายมากที่สุด เพื่อที่จะเป็นการระบายข้าวที่เก็บเอาไว้ไปสู่การผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มภายในประเทศ
 

จากนั้น รัฐบาลจะต้องหันกลับมาทบทวนว่าหากจะสร้าง “ความต้องการเทียม” ในตลาดโลกวันนี้จะต้องวางแผนอะไรเพิ่มขึ้นอีก รวมทั้งต้องศึกษาวิจัยให้ชัดเจนว่าชาวนาคือใคร ยังมี “ชาวนา” เหลือร้อยละเท่าไร ผู้ประกอบการการนาหรือผู้จัดการนามีจำนวนเท่าไร เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว เรากำลังวางแผนการตัดการงบประมาณไปบนความเชื่อเก่าๆ ว่ามีสังคมชาวนาและชาวนายากจนอยู่เต็มประเทศไทย ซึ่งไม่จริงแล้วในวันนี้
 

เอาเข้าจริงๆ ในภาคเหนือ ชาวนาที่เป็นชาวนาจริงที่ยากจน ก็ไม่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ เพราะพวกเขาปลูกข้าวเหนียวในพื้นที่เล็กน้อยเพื่อการบริโภคตลอดปีเท่านั้น
 

นโยบายช่วยเหลือคนจน/คนด้อยโอกาสเพื่อลดความเหลื่อมล้ำเป็นเรื่องที่ดี แต่ก็ต้องมองให้เข้าใจด้วยว่าคนจน/คนด้อยโอกาสอยู่ตรงไหนและพวกเขาเหล่านั้นต้องการอะไร มิฉะนั้นนโยบายนี้ก็ไม่ได้ส่งผลดีอะไรตามที่ต้องการเลย


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ความต้องการเทียม ตลาดเสรี

view