สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

โลกจับตาสัมพันธ์มะกัน-จีน เปลี่ยนผู้นำ แต่ไม่เปลี่ยนท่าที

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...นงลักษณ์ อัจนปัญญา

ได้ผลลัพธ์ตามการคาดการณ์ หมดสิทธิพลิกโผเรียบร้อยแน่นอนแล้ว เมื่อประธานาธิบดีบารัก โอบามา สังกัดพรรคเดโมแครต ได้รับฉันทามติครองตำแหน่งผู้นำสหรัฐต่ออีกหนึ่งวาระ

หรือเป็นเวลาอีก 4 ปี ที่ประธานาธิบดีโอบามาให้คำมั่นหนักแน่นว่า “สิ่งที่ดีที่สุดกำลังจะมาเยือนสหรัฐแล้ว” แม้นักวิเคราะห์จากหลายสำนักจะพร้อมใจเห็นตรงกันว่าน่าจะเป็นอีก 4 ปีที่สุดยอดสารพัดปัญหาจะรุมสหรัฐเสียมากกว่า

ตั้งแต่ภาวะการว่างงาน การขาดดุลงบประมาณ หนี้สาธารณะท่วม เศรษฐกิจซึม และการเมืองติดขัด จนนำไปสู่ความเสี่ยงตกหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) เพื่อลดการขาดดุลงบประมาณซึ่งปาเข้าไปที่ 1.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐแล้ว

ถือเป็นงานหนักสุดหินที่รอวัดใจพิสูจน์ฝีมือประธานาธิบดีโอบามาต่อไป

หันกลับมาทางด้านมหาอำนาจเบอร์ 2 ของโลกอย่างจีน ก็อยู่ในสภาพที่ไม่อาจไว้ใจได้เช่นเดียวกัน เมื่อนักวิเคราะห์ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นอาการนิ่งสงบก่อนเกิดคลื่นครั้งใหญ่

คลื่นที่ว่า ก็คือการเปลี่ยนถ่ายอำนาจจากประธานาธิบดีหูจิ่นเทา สู่มือผู้นำประเทศคนใหม่อย่างสีจิ้นผิง พร้อมกับการส่งมอบตำแหน่งสำคัญๆ ในคณะรัฐบาลให้กับกลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ ในขณะที่ดินแดนพญามังกรแห่งนี้อยู่ในสภาพไม่สู้เรียบร้อยสักเท่าไรนัก

ทั้งเศรษฐกิจที่โตต่ำกว่า 8% เป็นครั้งแรกในรอบหลายสิบปี ระดับหนี้สาธารณะของรัฐบาลท้องถิ่นที่สูงขึ้น การกระจายรายได้ที่ยังไม่ทั่วถึง ตลอดจนความกังขาต่อความโปร่งใสของสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งชาติจีน ท่ามกลางกระแสตื่นตัวของประชาชนในประเทศที่เพิ่มมากขึ้นหลังจากกรณีอื้อฉาว ของสมาชิกพรรคระดับสูง เช่น ป๋อซีไหล เกิดขึ้น

อาจเรียกได้ว่า ปลายปี 2555 นี้ คือเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญแห่งประวัติศาสตร์ของสองชาติมหาอำนาจโลก ระหว่างฟากตะวันตกอย่างสหรัฐกับฟากตะวันออกอย่างจีน ที่มีการเปลี่ยนผู้นำในเวลาไล่เลี่ยกันพอดิบพอดี 

และถือเป็นความบังเอิญที่ประจวบเหมาะจนบรรดาผู้เชี่ยวชาญอดตั้งคำถามไม่ ได้ ว่าการเปลี่ยนแปลงผู้นำที่เกิดขึ้น จะทำให้ท่าทีและจุดยืนของทั้งสองเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด และสะเทือนโลกอย่างไร

ทั้งนี้ สหรัฐภายใต้การนำของประธานาธิบดีโอบามา คงไม่น่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงจาก 4 ปีที่ผ่านมาเท่าไรนัก เห็นได้จากการยืนกรานตั้งแต่ช่วงหาเสียงเลือกตั้ง ว่านโยบายต่างประเทศนั้นจะยึดมั่นในแนวทางการทูต การเจรจา และการใช้มาตรการคว่ำบาตรมากกว่าอำนาจทางทหาร

ขณะเดียวกันโอบามายังมีแผนเดินหน้าเชื่อมสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ผ่านทางการค้า ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงเขตการค้าเสรี ข้อตกลงความเป็นหุ้นส่วน หรือการลงนามความร่วมมือด้านอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การศึกษา

ด้วยท่าทีที่ถ้อยทีถ้อยอาศัยอย่างชัดเจนของโอบามา ความสัมพันธ์กับจีนในฐานะประเทศคู่ค้าอันดับต้นๆ โดย 3 ไตรมาสแรกของปีนี้ จีนส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐมีมูลค่าถึง 2.58 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือเพิ่มขึ้น 9.6% ขณะที่การส่งออกของสหรัฐมาจีนเพิ่มเช่นกันที่ 972 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเติบโตขึ้น 7.7% ย่อมเป็นไปอย่างละมุนละม่อมแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายสำนักเห็นตรงกันว่า ประธานาธิบดีโอบามาไม่น่าจะอ่อนหวานอ่อนโยนกับจีนตลอด เนื่องจากหน้าที่หลักของผู้นำสหรัฐต่อจากนี้ คือการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศให้กับมาแข็งแกร่งขึ้นอีกครั้ง ซึ่งรวมถึงการเพิ่มขีดความสามารถด้านการผลิตและการส่งออกที่สหรัฐสูญเสีย ตำแหน่งผู้นำให้กับพญามังกรไปได้หลายปีแล้ว รวมถึงยอดขาดดุลการค้าให้จีนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องหลาย 10 ปี และแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 2.95 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2554

นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งชี้ว่า ในมุมมองสหรัฐสาเหตุที่ประเทศขาดดุลการค้ากับจีน เพราะรัฐบาลกรุงปักกิ่งเล่นไม่ซื่อ โดยมีทั้งมาตรการช่วยเหลือภาคเอกชน และการแทรกแซงค่าเงินหยวนจนอ่อนกว่าเงินเหรียญสหรัฐจนพ่อค้าจีนสามารถขาย สินค้าในราคาที่ถูกกว่าชาติอื่นๆ รวมถึงสหรัฐในตลาดโลก

ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากแนวคิดและจุดยืนของประธานาธิบดีโอบามาที่มีต่อจีนผ่านการ แสดงวิสัยทัศน์ (ดีเบต) ท่าทีแข็งกร้าวที่ผู้นำสหรัฐจะนำมาใช้กับจีนย่อมหนีไม่พ้นการใช้มาตรการทาง กฎหมายเข้าช่วยเพื่อบีบให้จีนเล่นตามกฎระเบียบการค้าโลกให้ได้

จนถึงขณะนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐยื่นฟ้องจีนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิลยูทีโอ) แล้วถึง 15 คดี โดยที่ 8 คดียื่นในสมัยรัฐบาลโอบามา โดยในระหว่างการดีเบต ประธานาธิบดีโอบามากล่าวหนักแน่น ว่าจะเดินหน้าเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับสหรัฐต่อไปไม่เปลี่ยนแปลง

เช่นเดียวกับกรณีแทรกแซงค่าเงินหยวน สหรัฐมีแนวโน้มใช้กฎหมายและระเบียบเพื่อปกป้องผลประโยชน์สหรัฐ เช่น กรณีขึ้นภาษีบริษัทผู้ผลิตแผงพลังงานแสงอาทิตย์จีน

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นว่า แม้ท่าทีผู้นำสหรัฐจะต่างจากมิตต์ รอมนีย์ ตรงที่ฝ่ายหลังดูจะแข็งกร้าวและเห็นจีนเป็นศัตรูมากกว่า แต่การนิ่งเงียบปล่อยให้จีนได้เปรียบการค้ากับสหรัฐก็เป็นสิ่งที่โอบามาทน ไม่ได้เช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่น่าจะได้เห็นจากผู้นำรายนี้ คือการเดินหน้าเพิ่มอำนาจหน้าที่ให้กับหน่วยงานบังคับการค้า ซึ่งเป็นการรวบรวมทรัพยากรต่างๆ จากฝ่ายบริหาร ที่ตั้งขึ้นเพื่อควบคุมดูแลให้จีนและชาติอื่นๆ ปฏิบัติตามกฎระเบียบการค้าโลก

สำหรับท่าทีของจีนที่มีต่อสหรัฐภายใต้การนำของว่าที่ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ผู้เชี่ยวชาญด้านจีนศึกษาเห็นว่า แทนที่จะเปลี่ยนแบบพลิกผันน่าจะเป็นการเปลี่ยนที่เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง มาจากรัฐบาลชุดที่แล้วมากกว่า

เฉินติงลี คณบดีสถาบันต่างประเทศศึกษาและผู้อำนวยการศูนย์อเมริกาศึกษา มหาวิทยาลัยฝูตัน กล่าวว่า ผู้นำคนใหม่จีนต้องเผชิญกับความท้าทายในการถ่วงดุลอำนาจระหว่างความต้องการ ฟื้นฟูพัฒนาเศรษฐกิจประเทศให้ก้าวหน้ายั่งยืนและทั่วถึงเท่าเทียมกันกับ บทบาทจีนบนเวทีโลก เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะชาติมหาอำนาจที่ทัดเทียมกับสหรัฐ

เท่ากับว่าจีนต้องแสดงให้โลก หรืออย่างน้อยก็สหรัฐยอมรับและเชื่อว่าจีนมีวุฒิภาวะ ความสามารถ และศักยภาพดีพอที่จะเป็นผู้นำ รวมถึงการเล่นตามกติกาการค้าโลก

เรียกได้ว่า ในทางหนึ่ง ว่าที่ผู้นำอย่างสีจิ้นผิงต้องคอยกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศให้เดินหน้าเติบ โตอย่างยั่งยืน รักษาผลประโยชน์ของชาติ พร้อมๆ กับดูแลปากท้องของประชาชนทุกคนให้สามารถเลี้ยงปากท้องได้อย่างทั่วถึงเท่า เทียม ส่วนอีกทางหนึ่งก็ต้องเผชิญหน้ายืนหยัดกับแรงกดดันจากหลายประเทศ รวมถึงสหรัฐที่ต้องการให้จีนยกเลิกมาตรการบางอย่างที่ดีต่อจีนแต่ไม่ดีกับ นานาประเทศ เช่น การควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินหยวนของรัฐบาลจีน

อย่างไรก็ตาม การผงาดของจีนในฐานะผู้ผลิตและผู้บริโภครายใหญ่ของโลก ที่มีส่วนในการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายประเทศรวมถึงสหรัฐ อาจทำให้จีนได้รับการเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง

กระนั้น เพื่อเลี่ยงการแตกหักกับสหรัฐ สีจิ้นผิงย่อมเลือกการใช้อำนาจอย่างนุ่มนวล (ซอฟต์พาวเวอร์) และน่าจะพยายามหาทางรักษาสมดุลผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ จีนกับสหรัฐให้เป็นไปในลักษณะที่ไม่มีใครเสียเปรียบใคร

ทั้งนี้ ในฐานะที่สหรัฐและจีนมีขนาดเศรษฐกิจเป็นอันดับหนึ่งและสองของโลก ความร่วมมือและความสัมพันธ์อันดีระหว่างกันนับเป็นข่าวดีต่อสภาพเศรษฐกิจโลก ที่กำลังง่อนแง่นอยู่ในขณะนี้

อย่างไรก็ตาม เฉิงติงลี ผู้อำนวยการศูนย์อเมริกาศึกษา กล่าวว่า สิ่งที่น่าวิตกสำหรับรัฐบาลจีนชุดใหม่ไม่น่าจะเป็นประเด็นด้านเศรษฐกิจ เท่ากับประเด็นด้านการเมืองและสังคม โดยความเห็นของเฉิงติงลี สอดคล้องกับนักวิเคราะห์จากต่างชาติก่อนหน้านี้ ที่ระบุว่าปัญหาพื้นที่พิพาททางทะเล การละเมิดสิทธิมนุษยชน กฎหมายลิขสิทธิ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ และการอวกาศ มีแนวโน้มจะเป็นประเด็นให้นานาชาติ ตลอดจนสหรัฐใช้เป็นข้ออ้างในการจัดการกับจีนอย่างเด็ดขาด

หรือกระทั่งบีบให้จีนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากใช้ความเด็ดขาดโต้ตอบกลับไป

เมื่อนั้นความสัมพันธ์ที่มีแนวโน้มว่าจะหวาน อาจกลายเป็นขมเฝื่อนคอ ที่ทุกประเทศทั่วโลกมีอันต้องได้ลิ้มรสร่วมกันแน่นอน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สัมพันธ์มะกัน-จีน เปลี่ยนผู้นำ ไม่เปลี่ยนท่าที

view