สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ขายข้าวจีทูจี บุญทรง สาหัส รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สั่นคลอน

จาก โพสต์ทูเดย์

เรียกว่าเป็นระเบิดลูกใหญ่ที่พรรคประชาธิปัตย์โยนเข้าใส่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อวันวาน

โดย...จตุพล สันตะกิจ

เมื่อ “หมอวรงค์” นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โชว์เอกสารหลักสารที่ “ชี้” ถึงความไม่ชอบมาพากลของรัฐบาลในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกทุกเมล็ด โดยเฉพาะการระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี

“การที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าได้ขายข้าวสารแบบจีทูจีไป 1.46 ล้านตันนั้น เป็น ‘จีทูจีเก๊’ แน่นอน เพราะหากไล่เรียงเอกสารสำคัญของบริษัทและเอกสารการเงินที่เกี่ยวโยงตัวละคร ต่างๆ ทำให้เชื่อได้ว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์ปล่อยปละละเลยให้มีบริษัทผีทำมาหากินในโครงการรับจำนำข้าว ทั้งมีกระบวนที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงิน” นพ.วรงค์ กล่าว

หากไล่เรียงเส้นทางการกระทำที่ส่อทุจริตในการระบายข้าวสารในสต๊อกตามที่ นพ.วรงค์ บอก สรุปได้ว่า

กระบวนการเริ่มตั้งแต่กระทรวงพาณิชย์บอกว่า ได้ลงนาม “เอ็มโอยูซื้อขายข้าว” กับรัฐบาลประเทศต่างๆ 45 ประเทศ และ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ยืนยันว่า ได้ลงนาม “สัญญาซื้อขายข้าว” ทั้งสิ้น 7.32 ล้านตัน และตั้งแต่เดือน ม.ค.-ก.ย. 2555 มีส่งมอบข้าวแบบจีทูจีแล้ว 1.46 ล้านตัน

แต่เมื่อล้วงลึกไปที่สัญญาซื้อขายข้าวพบว่าคู่สัญญาของ “กรมการค้าต่างประเทศ” ก็คือ “บริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP” ตั้งอยู่ที่นครกว่างโจว ประเทศจีน ในฐานะเป็นตัวแทนของรัฐบาลจีนที่ซื้อข้าวจากไทยแบบจีทูจี แต่ไม่มีการระบุปริมาณข้าวสารที่ซื้อขายระหว่างกันว่ามีปริมาณเท่าใด

ทั้งนี้ เนื่องจากการขายข้าวจำนวนนี้เป็นการทยอยส่งมอบข้าวสารและจ่ายเงินค่าข้าว เป็นล็อตๆ ต่อเนื่องหลายเดือนตั้งแต่หลักร้อยล้านบาทถึงหลายพันล้านบาทต่อครั้ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบไปที่บริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP จะพบว่า บริษัทจีนแห่งนี้มี “นายปาล์ม” รัฐนิธ โสจิรกุล เป็นผู้มีอำนาจของบริษัท และนายปาล์มมอบอำนาจให้ “นายโจ” หรือ นิมล รักดี เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทนบริษัท GSSG ในการซื้อขายข้าวตามสัญญาแบบจีทูจี

โดยเฉพาะ “นายโจ” หรือที่เรียกขานกันว่า “เสี่ยโจ เพรซิเดนท์ พิจิตร” ว่ากันว่า เป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” อภิชาติ จันทร์สกุลพร เจ้าของเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ที่ผูกขาดขายข้าว 2 ล้านตัน ในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ที่มี “วัฒนา เมืองสุข” เป็น รมว.พาณิชย์ แม้บริษัทแห่งนี้ถูกยื่นฟ้องล้มละลายปี 2549 เพราะเป็นหนี้ธนาคาร 8 แห่ง มูลหนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท

แต่เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เข้าตรวจสอบกรณีบริษัท เพรซิเดนท์ฯ พบว่ามีการฉ้อโกงเงินธนาคารพาณิชย์ 9 แห่ง “จริง” มูลค่าความเสียหาย 6,234 ล้านบาท

ในครั้งนั้น “เสี่ยเปี๋ยง” กรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ หายตัวไปอย่างลึกลับ และคดีนี้ได้เข้าสู่กระบวนการตรวจสอบทั้งในส่วนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)

ท้ายที่สุด ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิด วัฒนา เมืองสุข กับพวกรวม 7 คน ซึ่งมีคนของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ รวมทั้ง “เสี่ยเปี๋ยง” จากนั้นคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ สำนักงานอัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ้องวัฒนากับพวก ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเดือน มิ.ย. 2552

เช่นเดียวกัน “นายโจ” หรือ นิมล ซึ่งเป็นคนของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่านายโจเกี่ยวข้องกับการทุจริตรับจำนำข้าวปี 2546-2547 ในประเด็นนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำข้าวสมัยรัฐบาลทักษิณ และวันนี้ “นายโจ” เป็นผู้มีอำนาจลงนามแทนบริษัท GSSG ที่มีสัญญาซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับกระทรวงพาณิชย์

ไม่เพียงเท่านั้น “นายโจ” ยังสวมหมวกอีกใบ โดยเป็น 1 ใน 5 ของ “ผู้มีอำนาจ” ลงนามในการเบิกเงินบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-037-969 ส่วนผู้ร่วมในบัญชีดังกล่าวคนอื่นๆ เช่น เรืองวัน กฤษณา และสมคิด

โดยเฉพาะตัวละคร เช่น เรืองวัน เลิศศลารักษ์ ที่ปัจจุบันเป็นกรรมการบริษัท สยามอินดิก้า และจากการตรวจสอบพบว่า “เรืองวัน” เปิดบัญชีไว้กับธนาคารต่างๆ ใน 4 ธนาคารใหญ่กว่า 100 บัญชี และตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM ที่บริหารโดยธนาคารกรุงไทย

ขณะเดียวกัน “นายโจ นิมล” มีความสัมพันธ์หรือเกี่ยวกันกับ “เรืองวัน” ที่เป็นกรรมการของบริษัท สยามอินดิก้า เพราะเป็นกลุ่มบุคคลที่มีอำนาจลงนามในบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-037-969

ส่วนความเกี่ยวพันระหว่างบริษัท เพรซิเดนท์ฯ และบริษัท สยามอินดิก้า ก็มีหลักฐานปรากฏชัดว่าทั้งสองบริษัทมีสถานที่ตั้งบริษัทเป็นเลขที่เดียวกัน และก่อนหน้านี้ธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ให้บริษัท สยามอินดิก้า ล้างหนี้บางส่วนแทนบริษัท เพรซิเดนท์ฯ เป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท

จึงสรุปได้ว่า “นายโจ นิมล” “นายปาล์ม รัฐนิธ” และ “เรืองวัน เลิศศลารักษ์” เป็นกลุ่มคนในเครือข่ายเดียวกัน

และสรุปได้ว่าบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ของ “เสี่ยเปี๋ยง” บริษัท สยามอินดิก้า และบริษัท GSSG ที่ซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยแบบจีทูจีนั้น เป็นกลุ่มบริษัทที่มีความเชื่อมโยงกันหรือเรียกได้ว่าเป็นบริษัทเครือเดียว กันนั่นเอง

โจทย์ข้อต่อมาคือความสัมพันธ์ที่เชื่อมโยงระหว่างเครือข่ายบริษัท “เสี่ยเปี๋ยง” กับการระบายข้าวสารในสต๊อกของรัฐบาลอยู่ตรงไหน “จิ๊กซอว์” ที่ นพ.วรงค์ได้มาคือ นายสมคิด หรือ สมคิด เรือนสุภา ที่เรียกว่าเป็นคนของบริษัท สยามอินดิก้า และคนของบริษัท เพรซิเดนท์ฯ ก็ว่าได้

เพราะ สมคิด เป็น 1 ใน 5 ผู้มีอำนาจลงนามบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-037-969 ที่มี “นายโจ นิมล” และ “เรืองวัน” เป็นผู้มีอำนาจลงนามในบัญชีดังกล่าว

และนายสมคิดคนนี้เป็นคนที่นำเงินที่ระบุว่าได้จากการขายข้าวแบบจีทูจี เข้าบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลขที่ 385009504-5 โดยหลักฐานเป็น “แคชเชียร์เช็ค” 2 ฉบับที่นายสมคิดเป็นผู้สั่งจ่ายให้กรมการค้าต่างประเทศ และเท่าที่ตรวจสอบได้พบว่าเงินที่สั่งจ่ายนั้นมาจาก “นายโจ นิมล” และ “เรืองวัน”

ไม่เพียงเท่านั้นมีการตรวจสอบพบบันทึกเบิกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ มีการอำพรางชื่อบริษัทที่จะส่งมอบข้าว โดยใบบันทึกช่วงต้นพบมีการบันทึกบริษัทรับข้าวว่า “สยามเอริก้า” ซึ่งเป็นบริษัทที่ตรวจสอบแล้ว “ไม่มีตัวตน” แต่ช่วงท้ายของบันทึกเบิกข้าวสารที่เจ้าหน้าที่พิมพ์ว่า “สยามอินดิก้า”

ดังนั้น “สยามเอริก้า” ก็คือ “สยามอินดิก้า” นั่นเอง

จากหลักฐานเหล่านี้จึงเชื่อมโยงได้ว่าบริษัท สยามอินดิก้า เบิกข้าวจากโกดังกลางของรัฐบาลและนำข้าวไปขายโดยอ้างว่าเป็นการขายข้าวแบบจี ทูจี โดยมีตัวละครคือ บริษัท GSSG ที่เป็นตัวแทนรัฐบาลจีนที่ซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย แต่ไม่ปรากฏว่ามีการส่งออกข้าวไปต่างประเทศจริง

ข้อมูลของ นพ.วรงค์จะสอดคล้องกับตัวเลขการส่งออกข้าวตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-22 พ.ย. 2555 ที่มีปริมาณ 4.56 ล้านตัน และรัฐบาลแทบไม่ได้ส่งออกข้าวเลย แต่เงื่อนปมตรงนี้กระทรวงพาณิชย์ได้สร้างกระบวนการ “กลบร่องรอย” อำพรางไว้แล้ว นั่นคือการขายข้าวหน้าคลัง ที่พอข้าวออกจากคลังก็ถือว่า “พ้น” ความรับผิดชอบของกระทรวงพาณิชย์แล้ว

เมื่อพิเคราะห์ว่าเหตุใดกระทรวงพาณิชย์จึงใช้วิธีขายข้าวแบบจีทูจีมา “บังหน้า” ในการระบายข้าวในสต๊อกรัฐ

จะพบว่าการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีนั้น 1.ไม่ต้องมีการประมูล เพราะราคาซื้อขายตกลงกันเอง 2.การขายข้าวจีทูจีทำให้สามารถอ้างว่าเป็นการขายข้าวล็อตใหญ่และขายข้าวใน ราคามิตรภาพ จึงมี “ส่วนต่าง” มากกว่าการขายข้าวปกติ

นั่นเท่ากับว่าแทนที่การระบายข้าวของรัฐบาลที่ต้องขาดทุนแน่นอนนั้น จะมีการขาดทุนที่ “สูงกว่าปกติ” เมื่อเทียบกับการขายข้าวโดยวิธีการประมูลโดยทั่วไป จำนวนเงินที่ขาดทุนสูงผิดปกติจะตกไปอยู่ในมือเครือข่ายผู้เกี่ยวข้องทั้งหมด หากเทียบปริมาณที่กระทรวงพาณิชย์บอกว่าระบายไปแล้ว 1.46 ล้านตัน และที่จะระบายเพิ่มอีกเกือบ 6 ล้านตัน

การขายข้าวจีทูจีแบบนี้ไม่น่าขาดทุนสูงกว่าปกติจะน้อยกว่า 2-3 หมื่นล้านบาท

ขณะที่กระบวนการโยกเงินซื้อขายข้าวที่ซับซ้อนและมีบัญชีที่เกี่ยวข้องเกินกว่า 100 บัญชี ยังเปิดช่องให้มีการยักย้าย “เงินสด” ออกจากบัญชีใดบัญชีหนึ่งในช่วงเวลาใดก็ได้ เช่น ที่ นพ.วรงค์ บอกว่า เงินที่โอนเข้าธนาคารกรุงไทย สาขารัชดาภิเษก ของ “เรืองวัน” เลขที่บัญชี 091-0-24864-8 “เข้าเช้า บ่ายหาย โดยถอนเป็นเงินสดทั้งหมด”

ส่วนที่ว่าเหตุใดบริษัท สยามอินดิก้า และบริษัทผี GSSG จึงได้ข้าวสารไปขายนั้น

แม้หลักฐานภาพถ่ายมีรูป “เสี่ยเปี๋ยง” ในงานเลี้ยงสังสรรค์ริมสระน้ำกับอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ฮ่องกง เมื่อต้นเดือน ต.ค. และนำไปสู่ข้อสันนิษฐานของ นพ.วรงค์ที่ระบุว่า เสี่ยเปี๋ยงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงหากินในโครงการนี้ได้

ตรงนี้เป็นประเด็นที่ต้องตรวจสอบต่อไปมีความเชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ คือ “เสี่ยเปี๋ยง” คนนี้ ร่วมกระทำผิดกฎหมายอาญากรณีฉ้อโกงธนาคาร 8 แห่ง วงเงินกว่า 6,000 ล้านบาท

ทั้งนี้ ในการชี้แจงกรณีการขายข้าวแบบจีทูจี แม้บุญทรงจะยืนยันว่า ตรงไปตรงมา ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง พร้อมทั้งบอกว่า ข้อมูลที่ นพ.วรงค์นำมาแสดงเป็นเพียงแต่จินตนาการ ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ไม่มีหน้าที่สืบว่าจีนจะให้ใครเป็นคนรับข้าว เพราะได้ตรวจสอบแล้วว่าบริษัทจีนที่ซื้อข้าวจากไทยมีตัวตนและได้รับการยืน ยันจากสถานทูตจีน

นั่นเท่ากับว่า บุญทรงบอกปัดไม่รับรู้ว่าข้าวที่รัฐบาลขายไปนั้นจะไปขายให้ใครหรือส่งออกไป ต่างประเทศจริงหรือไม่ แค่รู้ว่ามีเงินเข้ามาในบัญชีชำระค่าข้าวก็พอแล้ว ถือเป็นการสุ่มเสี่ยงนำบัญชีของหน่วยงานรัฐไปมี “เอี่ยว” กับการฟอกเงิน ซึ่งมีผลกระทบร้ายแรงยิ่งกว่า

หลังจบศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้ บุญทรงต้องประสบวิบากกรรมทางการเมืองไม่น้อย

ล่าสุด นพ.วรงค์ ยืนยันว่า จะส่งกรณีความไม่ชอบมาพากลในการระบายข้าวแบบจีทูจีให้ ป.ป.ช. และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)

ตรวจสอบ และผลปรากฏว่ามีการชี้มูลความผิด

ไม่ใช่แค่เก้าอี้บุญทรงที่ต้องหัก แต่ยังหมายถึงบัลลังก์นายกรัฐมนตรีของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ต้อง‌สั่นคลอนอีกด้วย


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ขายข้าวจีทูจี บุญทรง สาหัส รัฐบาลยิ่งลักษณ์ สั่นคลอน

view