สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ฝ่ายขวาผงาดครอง 3 ยักษ์เอเชียส่อตึงเครียด-ร่วมมือ ศก.ชะงัก

จาก โพสต์ทูเดย์

เป็นไปตามความคาดหมาย เมื่อปาร์คกึนเฮ บุตรสาวของปาร์คจุงฮี อดีตผู้นำเผด็จการเกาหลีใต้ ในยุคปี 1961–1979

โดย...พันธสิทธิ เจริญพาณิชย์พันธ์ 

สามารถคว้าชัยชนะจากศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้กลายเป็นผู้หญิงคนแรกในประวัติศาสตร์เกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำของประเทศได้อย่างเป็นทางการ

การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเกาหลีใต้ที่มีอุดมการณ์อนุรักษนิยมอย่างปาร์คกึน เฮ ยังเป็นช่วงเวลาที่ประจวบเหมาะกับการที่กลุ่มการเมืองสายอนุรักษนิยมและชาติ นิยมในประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน ได้ก้าวขึ้นมาครองอำนาจอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกรณีของจีนที่ สีจิ้นผิง บุตรชายของอดีตรองนายกรัฐมนตรีสีจงสุน เตรียมจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรุ่นที่ 5 อย่างเต็มตัวในต้นปีหน้า หรือกรณีญี่ปุ่น ที่พรรคเสรีประชาธิปไตย (แอลดีพี) ซึ่งนำโดย ชินโสะ อาเบะ ที่สามารถผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำเป็นคำรบที่ 2 หลังจากลาออกไปเมื่อปี 2009 เพราะปัญหาสุขภาพ

ด้วยเหตุนี้ จึงกลายเป็นความกังวลเกิดขึ้นมาในหมู่นักวิเคราะห์ทันที ว่าการผงาดขึ้นมาของนักการเมืองและผู้นำสายอนุรักษนิยมของผู้นำชุดใหม่จาก ทั้ง 3 ชาติมหาอำนาจแห่งเอเชียตะวันออก อาจจะกลายเป็นตัวผลักดันให้นำไปสู่ความขัดแย้งในภูมิภาค ที่จากเดิมคุกรุ่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ให้ยิ่งเลวร้ายลงไปกว่าเดิม

โดยเฉพาะปัญหาข้อพิพาทเขตแดนหมู่เกาะในทะเลที่มีชื่อว่าเตียวหยู หรือเซนกากุ ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น และด็อกโตะ หรือทาเคชิมา ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการซ้ำเติมจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่ย่ำแย่อยู่แล้ว ให้ยิ่งดำดิ่งถลำลึกลงไปอีก

ขณะที่ปมประวัติศาสตร์ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งญี่ปุ่นเคยรุกรานและทำทารุณกรรมต่อประชาชนชาวจีนและเกาหลีใต้ ก็ยังเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ยังเป็นหอกที่คอยทิ่มแทงใจของประชาชนของทั้งสอง ประเทศนี้อีกด้วย ซึ่งปัจจุบันผู้คนยังต้องการให้ผู้นำญี่ปุ่นออกมาขอโทษกับเรื่องราวที่เกิด ขึ้น ทว่าด้วยจุดยืนของพรรคการเมืองสายนักอนุรักษนิยมที่เชื่อในศักดิ์ศรีของชาติ อย่างแอลดีพี ก็เป็นเรื่องยากมาก หรือแทบจะไม่มีความเป็นได้เลยที่จะเกิดขึ้นมา

ดังนั้น การเข้ามาของกลุ่มการเมืองอนุรักษ์นิยมจึงกลายเป็นการสร้างความเสี่ยงและ สั่นคลอนต่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการค้าต่างๆ ในภูมิภาคให้ชะงักงันไปด้วย โดยเฉพาะข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ไตรภาคีระหว่างจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งจะเป็นการหลอมรวม 3 เขตเศรษฐกิจที่มีจีดีพีรวมกันกว่า 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% ของจีดีพีโลก ซึ่งได้ประกาศว่าจะริเริ่มเจรจากันไปเมื่อเดือนที่ผ่านมา ในระหว่างการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชียตะวันออก ที่กรุงพนมเปญ อาจจะล้มลงอย่างไม่เป็นท่า

แม้ว่าผู้นำประเทศต่างๆ จะพยายามส่งสัญญาณว่าต้องการจะสานสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านและแก้ปัญหา อย่างสันติ แต่หากลองสำรวจท่าทีและนโยบายของเหล่าบรรดาผู้นำใหม่จากทั้ง 3 ประเทศอย่างจริงจังแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าดูน่าเสียวไส้ว่าจะนำไปสู่ความขัดแย้ง เช่นกรณีของญี่ปุ่นที่อาเบะประกาศลั่นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้งว่า จะไม่ยอมอ่อนข้อ หรือยอมมานั่งโต๊ะเจรจากับจีนในประเด็นความขัดแย้งหมู่เกาะอย่างเด็ดขาด

นอกจากนี้ อาเบะยังได้ลั่นวาจาไว้อีกว่าจะแก้ไขบทบัญญัติรัฐธรรมนูญบางมาตรา เพื่อให้ญี่ปุ่นมีอิสระในการจัดการความมั่นคงได้โดยอิสระมากขึ้น รวมไปถึงการเตรียมกระชับด้านความมั่นคงกับสหรัฐให้มากขึ้น ซึ่งการดึงสหรัฐเข้ามาในภูมิภาคมากขึ้นกว่าเดิมนี้ไม่เพียงแต่จะส่งผลต่อ ความไม่สบายใจต่อจีน แต่ยังทำให้เกาหลีเหนือรู้สึกกังวลใจอีกด้วย

ขณะที่ทางฝั่งของผู้นำจีน ก็ประกาศกร้าวในการประชุมสมัชชาใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าในประเด็นด้านอธิปไตยและบูรณภาพเหนือดินแดนจีนจะไม่มีทางยอมถอยแม้แต่ ก้าวเดียว ส่วนผู้นำหญิงเกาหลีใต้ก็เพิ่งประกาศไปสดๆ ร้อนๆ ว่าจะให้ความสำคัญกับเรื่องของความมั่นคงเป็นเรื่องสำคัญในลำดับต้นๆ โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเขตแดนหมู่เกาะทางทะเลที่ชื่อว่า ด็อกโตะ หรือทาเคชิมากับญี่ปุ่น

ขณะที่อีกประเด็นหนึ่งที่น่าเป็นห่วง ก็คือการที่ผู้นำใหม่จากทั้ง 3 ชาติ ต่างก็มุ่งหวังและเร่งดำเนินการฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศตนเองให้พ้นจากภาวะการ ชะลอตัว ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากภาวะเศรษฐกิจโลกซบเซา ก็อาจกลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่สร้างความขัดแย้งและการแข่งขันกันทางในทาง เศรษฐกิจระหว่างกันขึ้นมาแทนที่ จะเป็นการสร้างความร่วมมืออย่างที่ตั้งใจไว้

เห็นได้จากแนวทางที่รัฐบาลแอลดีพีของญี่ปุ่นประกาศว่า จะแก้ปัญหาเงินเยนที่แข็งค่า ด้วยการพยายามกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) หามาตรการทางการเงินต่างๆ มากดให้ค่าเงินอ่อนค่าลง และหวังว่าจะทำให้การส่งออกทั้งของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมในประเทศ เช่น ยานยนต์ หรืออุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำลังย่ำแย่และประสบปัญหาการขาดทุน สามารถกลับมาแข่งขันในตลาดโลกได้มากขึ้น

ทว่าในอีกมุมหนึ่ง แนวดังกล่าวจะเป็นตัวกระตุ้นประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค โดยเฉพาะรัฐบาลเกาหลีใต้ต้องหันมาตอบโต้ด้วยการลดค่าเงินวอนของตัวเองลงบ้าง เพราะเกรงว่าค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะทำให้สินค้าที่มาจากญี่ปุ่นเริ่มเข้า มาตีตื้นและแย่งส่วนแบ่งในตลาดสินค้าที่มาจากเกาหลีใต้มากขึ้น โดยเฉพาะเหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่ครอบครองโดยบริษัทจากเกาหลีใต้อย่างซัมซุงและแอลจี ในขณะนี้

ไม่เพียงเท่านั้น การทำให้ค่าเงินเยนอ่อนลงของญี่ปุ่น ที่มีแนวโน้มว่าจะดำเนินอย่างจริงจัง หลังจากญี่ปุ่นจัดตั้งรัฐบาลขึ้นอย่างสมบูรณ์ในสัปดาห์หน้านี้ ก็ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณร้ายที่เข้ามาขัดขวางต่อแนวทางการปล่อยค่าเงินหยวน ต่อเงินเหรียญสหรัฐ ให้ลอยตัวขึ้นและเป็นไปตามกลไกตลาดเสรีของจีนอย่างช้าๆ ตามที่รัฐบาลจีนประกาศเอาไว้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ในสายตาของนักวิเคราะห์บางส่วนกลับมีทัศนะและมุมมองในทิศทางตรงกันข้าม โดยระบุว่า การเข้ามาของนักการเมืองและผู้นำสายอนุรักษนิยมอาจส่งผลดีต่อเสถียรภาพและลด ความขัดแย้งก็เป็นไปได้ เพราะพรรคการเมืองสายอนุรักษนิยมที่เก่าแก่มักจะมีแนวโน้มที่จะดำเนินนโยบาย การต่างประเทศในทางปฏิบัติได้ดีกว่า และมีมุมมองที่เหมาะกับสถานการณ์ที่เป็นจริงอีกด้วย โดยเฉพาะการใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัวระหว่างบุคคลที่ค่อนข้างแนบแน่นก็จะทำให้ การพูดคุย หรือการแก้ปัญหาหลังฉากทำได้ง่ายขึ้น

เช่น พรรคแอลดีพี ที่ยังมีช่องทางการติดต่อและสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับรัฐบาลกรุงปักกิ่ง มาเป็นระยะเวลานาน ขณะที่ปาร์คจุงฮี บิดาของปาร์คกึนเฮ ประธานาธิบดีโสมขาวคนใหม่ กับโนบูซูเกะ กิชิ อดีตนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นปู่ของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ คนปัจจุบัน ก็เคยทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยฟื้นความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศ ในช่วงปี 1965

อีกทั้งด้วยความที่ทั้ง 3 ประเทศต้องเผชิญปัญหาร่วมกัน นั่นคือการต้องเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจให้พ้นจากภาวะชะลอตัวอย่างหนัก เช่น ญี่ปุ่น ที่ปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ภาวะถดถอยแล้ว หลังจากที่จีดีพีไตรมาส 2 และ 3 หดตัวลงติดต่อกัน ขณะที่เกาหลีใต้ก็มีแนวโน้มว่าการขยายตัวจีดีพีในอนาคตจะโตได้ไม่ถึง 3% รวมถึงปัญหาเสถียรภาพในคาบสมุทรเกาหลี ที่รัฐบาลเกาหลีเหนือยังคอยสร้างความปั่นป่วนอยู่เรื่อยๆ โดยล่าสุดได้ทำการทดลองปล่อยขีปนาวุธไปเมื่อสัปดาห์ก่อน ดังนั้นปัจจัยเหล่านี้จึงน่าจะทำให้ทั้ง 3 ประเทศหันมาร่วมมือกันมากขึ้น

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ไม่ว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ความตึงเครียดที่มากขึ้น หรือจะกลับกลายเป็นการเพิ่มความร่วมมือให้แนบแน่นกว่าเดิม

สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับทิศทางและสถานการณ์โลก รวมถึงผลประโยชน์ในช่วงเหตุการณ์นั้นๆ ว่าจะเป็นปัจจัยให้เหตุการณ์และทิศทางว่าจะโน้มเอียงไปทางไหน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ฝ่ายขวาผงาด ยักษ์เอเชีย ส่อตึงเครียด ร่วมมือ ศก.ชะงัก

view