สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

อำนาจมืดเหนือเมฆ

อำนาจมืดเหนือเมฆ

จาก โพสต์ทูเดย์

 "การเซ็นเซอร์ตัวเองนี่มันเป็น ความจำเป็นของนักธุรกิจ คือ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีแรงข่มขู่ยังไง แต่รู้ว่าในที่สุดก็จะขอหยุดดีกว่า เพื่อได้ทำงานอย่างอื่นต่อไปกลับกันถ้ามี กสทช.มาดูแลโดยไม่มีระบบสัมปทานจากรัฐมาคอยบีบ ก็จะได้เห็นช่อง 3 หรือช่องอื่นๆกล้าทำละครวิจารณ์สังคมและกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรให้กับ สังคมมากขึ้น"

โดย..ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย , วิรวินท์ ศรีโหมด 

ควรแบนนักการเมือง

จนถึงทุกวันนี้เชื่อว่าสังคมยังไม่หายสงสัยว่าเหตุใดละครเรื่อง"เหนือเมฆ 2 : มือปราบจอมขมังเวทย์" นำเสนอเนื้อหาการทุจริตของนักการเมือง หลังต้องยุติการออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ลงกลางคันตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.ที่ผ่านมา ทั้งที่เหลือเนื้อหาเพียงไม่กี่ตอนละครก็จะจบบริบูรณ์
         
มี เพียงคำชี้แจงจากทางสถานีผ่าน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ว่ามีเนื้อหาขัดต่อมาตรา 37 ตาม พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ว่าด้วยผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐและศีลธรรมอันดี
         
คำชี้ แจงดังกล่าวยิ่งทำให้แฟนละครเกิดความสงสัยมากขึ้นไปอีกว่าเหตุใดละครหลัง ข่าวเรื่องนี้ถึงเป็นภัยต่อประเทศชาติ หรือการเซ็นเซอร์ตัวเองของช่อง 3 เป็นไปเพื่อความมั่นคงของสถานีกันแน่
         
โพสต์ทูเดย์ได้มี โอกาสสนทนากับ "สมเกียรติ   อ่อนวิมล" นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชนซึ่งเคยร่วมงานกับทางช่อง 3 เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีผ่านการจัดรายการข่าว เพื่อหาคำตอบกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น
         
"ตอน นี้ผมก็ผูกพันกับช่อง 3 มาร่วมงานด้วยกว่า10 ปีแล้ว จะลาออกก็ไม่ให้ออก ผมรู้จักช่อง 3 มาตั้งแต่สมัยผมอยู่ อสมท เมื่อ30 กว่าปีก่อน ช่อง 3 เป็นช่องธุรกิจบันเทิงโดยแท้ ธุรกิจบันเทิงจะไม่ทำอะไรที่มีความเสี่ยงสูง และไม่ได้ทำข่าวสารอะไรอย่างจริงจังมากนัก จนกระทั่งมาอยู่ในช่วง 10 ปีมานี้เริ่มมีนิยามว่าครอบครัวข่าวขึ้นมา...
         
...ช่อง 3 อยู่ได้ด้วยสัมปทานระยะสั้น มันก็ต้องอะลุ่มอล่วยกัน อันนี้มันเป็นธรรมดา อั้นนี้ต้องเข้าใจดังนั้นงานข่าวก็จะทำเต็มที่เท่าที่ทำได้ แต่จะไม่สร้างความขัดแย้งกับรัฐบาลผู้มีอำนาจ เพราะไม่ว่ารัฐบาลไหนต่างมีอำนาจที่จะให้หรือไม่ให้สัญญาต่อ อย่าลืมว่ารัฐบาลไม่มีความเป็นประชาธิปไตยกับนักธุรกิจอยู่แล้ว ไม่ว่าจะช่อง 3 หรือที่อื่นๆ
         
...คุณจะเห็นว่าในประวัติ ศาสตร์ที่ผ่านมาช่อง 3 จะเข้ากับทุกรัฐบาลได้เสมอ ได้ไม่ได้ก็จะเข้าเพื่อให้ธุรกิจอยู่ได้ สมัยผมเป็นนักข่าว เป็นผู้ประกาศข่าวร่วมกับ อสมท เมื่อเกือบ30 ปีก่อน มีช่วงหนึ่งเป็นช่วงที่สัมปทานของช่อง 3 ใกล้จะหมด ก็จะมีใครๆวิ่งเข้ามาหารัฐบาลเพื่อให้ได้สัมปทานแทนทำให้ต้องยอมโอนอ่อนผ่อน ตามผู้มีอำนาจตลอด"อาจารย์สมเกียรติปูพื้นให้เห็นถึงธรรมชาติของช่อง 3
         
ด้วย ท่อน้ำเลี้ยงของช่อง 3 ยังต้องผูกกับสัมปทานรัฐ ทำให้นักวิชาการอิสระรายนี้ไม่รู้สึกแปลกใจทำไมละครเหนือเมฆที่มีเนื้อหา สะท้อนการทุจริตคอร์รัปชันถึงถูกสั่งแบนกะทันหัน โดยขยายความไว้อย่างน่าสนใจ
         
"ละครที่ผ่านมาของช่อง 3 จะทำเนื้อหาที่แสดงถึงความมีคลาสเพื่อขายคนดูที่มีฐานะทางการศึกษามากกว่า ถ้าเทียบกับช่องอื่นแต่ก็เป็นละครที่จะเน้นความสนุก เพลิดเพลิน แบบว่าดูแล้วไม่ต้องเชื่อหรอกว่าเป็นจริงตามนั้น ประเภท สวย หล่อ รวย เลว อยู่ในครอบครัวเดียวกัน ไม่มีอยู่ในโลกจริงโลกนี้...
         
...เพราะ ฉะนั้นถ้าเวลามีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องบันเทิงอย่างละครเนี่ย ช่อง 3 ก็เหมือนเวลาทำข่าวนั่นแหละ ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับผู้มีอำนาจในประเทศนี้ ยังไงก็หลบให้ เพราะเขาอยู่ได้ด้วยสัมปทานรัฐ จึงต้องเซ็นเซอร์ตัวเอง"
         
ใน ประเด็นการเซ็นเซอร์ตัวเอง อาจารย์สมเกียรติ คิดว่า รัฐธรรมนูญ 2540 หรือ 2550 ห้ามอยู่แล้ว ไม่ให้รัฐบาลเข้าไปตรวจรายการต่างๆ ก่อนออกอากาศหรือก่อนตีพิมพ์ไม่ได้ แต่ไม่ได้ห้ามเรื่องการเซ็นเซอร์ตัวเอง ซึ่งกรณีของละครเหนือเมฆคงมีแรงกระตุ้นมากระชากอยู่ข้างหลัง
         
"การ เซ็นเซอร์ตัวเองนี่มันเป็นความจำเป็นของนักธุรกิจ คือ เราก็ไม่รู้หรอกว่ามีแรงข่มขู่ยังไง แต่รู้ว่าในที่สุดก็จะขอหยุดดีกว่า เพื่อได้ทำงานอย่างอื่นต่อไป กลับกันถ้ามี กสทช.มาดูแลโดยไม่มีระบบสัมปทานจากรัฐมาคอยบีบ ก็จะได้เห็นช่อง 3 หรือช่องอื่นๆกล้าทำละครวิจารณ์สังคมและกล้าเสี่ยงที่จะทำอะไรให้กับ สังคมมากขึ้น เวลานี้จะไปว่ามอมเมาหรือว่าน้ำเน่าอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าถ้าขืนทำน้ำดีออกมาก็จะเห็นที่ช่อง 3 เป็น"
         
อย่าง ไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใช่ว่าช่อง 3 จะเป็นฝ่ายเสียอย่างเดียว เพราะด้านหนึ่งการทำละครที่มีเนื้อหาสะท้อนสังคมในเรื่องการทุจริตของภาครัฐ แล้วถูกระงับการออกอากาศนั้น ได้ก่อให้เกิดประโยชน์กับช่อง 3 ทางใดทางหนึ่งด้วย แต่อีกด้านก็เป็นความผิดพลาดของผู้มีอำนาจรัฐที่ต้องการให้ละครระงับการเผย แพร่
         
"ผมเคยมีโอกาสได้คุยกับคุณประวิทย์ มาลีนนท์ แกบ่นเสมอเลยว่า จะให้ทำละครเพื่อสังคมมันทำได้แต่มันขายไม่ได้ ซึ่งเหนือเมฆ 2 บอกให้เรารู้ว่าช่อง 3 เริ่มกล้าวิเคราะห์วิจารณ์สังคมผ่านบทละครมากขึ้น ไม่ใช่ช่อง 3 แบบเอาสนุกสนานเอาเงินอย่างเดียวกล้าเสี่ยงกับบทละครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐ คือไม่ใช่รัฐบาลนี้โดยตรง แต่วิจารณ์สังคมที่อยู่ในช่วงทุจริตคอร์รัปชันในระบบราชการ รัฐหรือนักการเมืองมากขึ้น
         
...กรณีนี้ช่อง 3 ก็ได้ก้าวเข้าสู่การพัฒนาเพื่อสังคม และในแง่ของนิเทศศาสตร์ถือว่าประสบความสำเร็จแล้วนะ ยิ่งกว่าละครได้ออกอากาศไปถึงตอนจบอีก เพราะไปทำให้คนที่ไม่เคยรู้เรื่องรู้แล้วว่าการทุจริตมันมีจริง
         
เพราะ ถ้าปล่อยให้คนดูเหนือเมฆจนจบก็คงไม่เป็นข่าวและไม่มีผลอะไรเลย แต่พอผู้มีอำนาจมาเห็น ผู้มีอำนาจนี่ก็เลยมาสั่งห้าม ผลเสียก็มาตกที่รัฐบาลจากการถูกวิจารณ์ว่าได้ปล่อยให้เกิดการละเมิดสิทธิ เสรีภาพของสื่อมวลชน"
         
มีคำถามชวนสงสัยว่า ยุคนี้จะมีการแทรกแซงสื่ออย่างรุนแรงเหมือนสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือไม่?
        
 "ด้วย ความเป็นธรรม ไม่ว่าจะรัฐบาลใดก็แทรกแซงสื่อตลอดเวลาอยู่แล้วอย่างผมที่ต้องหยุดทำรายการ วิทยุสมัยคุณทักษิณก็เพราะไปเขียนบทความในนิตยสารฟาร์ อีสเทิร์น อีโคโนมิก รีวิว (Far Eastern Economic Review) นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ หรืออย่างช่อง 11 จะรัฐบาลไหนก็ไม่แพ้กัน เปลี่ยนผังรายการและอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ตั้งผู้อำนวยการตามใจชอบ หรือ อสมท ก็เปลี่ยนผู้บริหารตลอด...

        
 พวก นักการเมืองอาชีพทั้งหลายเป็นคนที่ล้าสมัยมาก ทำให้ประเทศเราไปได้ช้า ไม่ว่าจะเรื่องอะไรรวมทั้งเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ก็คือนักการเมืองแหละ เป็นกลุ่มที่ล้าสมัยมากๆ ในเมืองไทย ไม่พัฒนาตนเอง ไม่เรียนรู้ว่าปรัชญาประชาธิปไตยมันเป็นยังไงเอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ที่จริงเราน่าจะแบนนักการเมืองไม่ใช่แบนละคร"
         
กระนั้น แม้ว่าในระยะนี้จะเกิดกระแสโจมตีรัฐบาลอย่างหนักในโลกไซเบอร์อันจากข้อสงสัย ว่าแทรกแซงสื่อผ่านการถูกระงับออกอากาศแต่อาจารย์สมเกียรติ เชื่อว่ากระแสนี้ก็คงอยู่แค่ในเฉพาะสังคมออนไลน์เท่านั้น ไม่สามารถขยายผลออกมาเป็นขบวนการขับไล่รัฐบาลได้
         
"ก็คง เป็นกระแสอย่างนั้นสักพัก เป็นเพียงการเกิดกระแส กระแสมันเกิดขึ้นเพราะนักข่าวทำให้เป็นข่าว พอข่าวนี้มันหมดก็มีข่าวอื่นมาแทน และก็ไม่มีการสื่อสารต่ออย่างยั่งยืนเพราะฉะนั้นมันก็ส่งผลกระทบชั่วคราว ระยะสั้น คงไม่ส่งผลกระทบต่อรัฐบาลระยะยาว"


'ไร่ส้ม'ความเหมือนที่แตกต่าง

จากเหตุการณ์ "เหนือเมฆ 2" กลายเป็นจังหวะพระศุกร์พระเสาร์เข้าถึงสองครั้งอย่างจังๆ ถ้ายังจำได้ ก่อนหน้านี้บิ๊กสื่อย่านพระราม4 ก็เพิ่งเป็นจำเลยสังคมกับปัญหาเชิงจรรยาบรรณวิชาชีพ หลังทำเป็นทอง
         
ไม่ รู้ร้อนกางปีกป้อง สรยุทธ สุทัศนะจินดาเจ้าของบริษัท ไร่ส้ม ซึ่งถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดกรณีทุจริตเงินโฆษณาของ อสมท
         
อาจารย์สม เกียรติ ฉายภาพเปรียบเทียบสองเหตุการณ์ไว้อย่างน่าขบคิดว่า ทั้งสองกรณีมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ กรณีเหนือเมฆเป็นเรื่องของการปรับตัวช่อง3 ให้รับใช้สังคมมากขึ้น แต่นักการเมืองไม่ได้ปรับตัวเพื่อให้เสรีภาพกับช่อง3 อาจเรียกได้ว่าทำงานดีแต่ถูกแบน ช่อง 3 ได้คะแนนบวกทุกเรื่องเกี่ยวกับเหนือเมฆ
        
"อาจจะโดนวิจารณ์ไป บ้าง เพราะสังคมคาดหวังกับช่อง 3 สูงกว่านี้ แต่ช่อง 3 ทำได้แค่นี้ เพราะด้วยระบบโครงสร้างที่เป็นอยู่ ซึ่งต่างกับกรณีคุณสรยุทธ คือผู้ผลิตรายการคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาเรื่องทุจริตคอร์รัปชันในการทำธุรกิจ สื่อสารมวลชนแต่ช่อง 3 สมาคมก็ยังให้ทำรายการอยู่"
         
ทั้ง นี้ สามารถอธิบายได้อีกว่า ปัญหาไร่ส้มไม่ได้เกิดที่ช่อง 3 โดยตรงแต่เป็นเรื่องที่เกิดที่อสมท ที่ติดมากับคุณสรยุทธ อย่าลืมว่าในทางหนึ่งคุณสรยุทธมาอยู่กับช่อง 3 เป็นแบบรับจ้างด้วย รับจ้างเพื่อผลิตรายการข่าวและมีผลตอบแทนทางธุรกิจระหว่างกัน ฉะนั้นประเด็นนี้ช่อง 3 ได้คะแนนลบ แต่เอาเข้าจริงก็ลบไม่มาก เพราะสังคมไม่กดดันช่อง 3 มากเท่ากับปัญหาละครเหนือเมฆ 2 ซึ่งสุดท้ายทุกเรื่องก็จะเงียบไปเพราะสังคมไทยมีความอ่อนแอกับการเคลื่อนไหว เพื่อกดดันทางสังคม
         
"อย่างที่คุยตั้งแต่ต้นว่าช่อง 3 เป็นช่องทำธุรกิจ อะไรที่เป็นธุรกิจไปได้และมีเหตุผลอยู่ต่อไปได้ก็อยู่ แล้วสังคมเราก็อ่อนแออยู่แล้ว ไม่ได้ลงโทษอะไรคุณสรยุทธ นอกจากกลุ่มบุคคลอยู่ไม่กี่กลุ่มที่เคลื่อนไหวและอภิปรายให้สังคมเห็น แต่สังคมก็ไม่เห็นด้วย มีเพียงแค่จดหมายเวียนขอความร่วมมือของพวกองค์กรที่ต่อต้านการคอร์รัปชัน
         
...สังคม ไทยเป็นสังคมที่อ่อนแอมากในการตรวจสอบสื่อสนุกกันไปวันๆ หนึ่ง คุณสรยุทธก็ทำมาหากินได้ต่อไป โดยหลักการคือช่อง 3 คงอยู่ต่อไปกับคุณสรยุทธ จนกว่าจะหมดสัญญาหรือถูกกดดันทางอื่นคุณสรยุทธเขาอยู่ได้อย่างเฉยๆ โดยอ้างว่ายังไม่มีการตัดสินคดี"
        
 สุดท้าย อาจารย์สมเกียรติ เชื่อว่าการทำงานสื่อสารมวลชนอยู่ที่ความเข้มข้นในการยึดหลักจรรยาบรรณ วิชาชีพ ไม่ใช่ประโยชน์ทางธุรกิจ อย่าลืมว่าสื่อสารมวลชนล้วนเป็นบุคคลสาธารณะไม่ต่างอะไรกับนักการเมือง ซึ่งต้องต่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมเช่นกัน ทว่าสังคมไทยมีความอ่อนแอในเรื่องการตรวจสอบเป็นอย่างมากทำให้ไม่เกิดการลง โทษทางสังคมขึ้น


ล้างภาพ'แดงสปริงนิวส์'
         
ถ้า ใครเป็นคอข่าวต้องทราบกันดีว่า สมเกียรติ อ่อนวิมล คือ หนึ่งในคนข่าวตัวจริงของประเทศไทย ทั้งยังเป็นผู้ปฏิวัติวงการข่าววิทยุโทรทัศน์เมื่อหลายสิบปีก่อนด้วยความรู้ ความสามารถที่ไม่มีใครปฎิเสธ ทำให้เจ้าตัวเข้าไปมีบทบาทให้กับสำนักข่าวหลายแห่งมากมายแม้ว่าจะมีอยู่ช่วง หนึ่งเงียบหายไปบ้างแต่ชื่อของ สมเกียรติก็ยังไม่ได้เลือนหายไปจากสังคมไทยในยามที่มีประเด็นถกเถียงเรื่อง บทบาทสื่อ
         
ล่าสุดสมเกียรติ ได้กลับคืนสู่สังเวียนอย่างเป็นทางการอีกครั้งภายใต้สังกัดสถานีโทรทัศน์ "สปริงนิวส์" ในตำแหน่งรองประธานกรรมการบริหาร ดูแลการผลิตเนื้อหาข่าวโดยเฉพาะ
        
 ผู้คนจำนวนไม่น้อยมอง สปริงนิวส์ว่าเป็นหนึ่งในทีวีสะท้อนมุมเพื่อไทย-เสื้อแดงขณะที่อาจารย์สม เกียรติถูกจัดให้เป็นนักวิชาการขาประจำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่เหตุใดถึงมาทำงานด้วยกันได้
         
กับคำถามนี้ สมเกียรติบอกถึงเหตุผลที่กลับมารับตำแหน่งในวงการว่า"ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลง"
         
"ผม ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนโดยไม่คิดจะทำงานสื่อสารอีกแล้ว ผมเลิกทำทีวีตั้งแต่ไปสมัครเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี2540 เพราะคิดว่าไม่มีอนาคตสำหรับผมในการทำโทรทัศน์ การทำทีวี ถ้าอยากมีอนาคตต้องดูแลทุกอย่างเพื่อดูแลทุกคนทั้งบนโต๊ะใต้โต๊ะเรื่องนี้ เป็นชีวิตที่คนไม่รู้หรอก โดยเฉพาะคิดว่า สมเกียรติมีชื่อเสียงโด่งดังมีตังค์ที่จริงก็ไม่มีหรอกเป็นลูกจ้างกินเงิน เดือนดีๆ นี่เองแหละ
         
ช่วงหนึ่งช่อง 3 ชวนผมไปผลิตรายการข่าวต่างประเทศเมื่อ6-7 ปีที่แล้ว ประมาณปี2545 ช่อง 3 บอกว่าไม่ให้อาจารย์ทำข่าวในประเทศ ถ้าอาจารย์ทำรับรองดังแน่แต่แป๊บเดียวช่อง 3 ปิดแน่ งานการเมืองผมก็มีแค่ สว.สุพรรณบุรี และรับจ้างทำรายการทั่วไป เช่น สมัยรัฐบาลคุณอภิสิทธิ์เป็นประธานอาเซียน กระทรวงการต่างประเทศก็มาจ้างให้ผมทำรายการสารคดีอาเซียน จากนั้นก็ไม่ได้ทำอะไร"
สมเกียรติ บอกถึงที่มาที่ไปในการมาที่สปริงนิวส์ว่า
         
"ปลาย ปี 2555 คณะกรรมการบริหารของสถานีสปริงนิวส์ชวนผมไปทานข้าว และอยากให้ผมมาทำงานที่นี่ ผมไม่รู้จักใครที่นี่นอกจากคุณกฤษณพร เสริมพานิช อดีตอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ซึ่งเข้ามารับทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้ที่นี่ ผมรับงานที่นี่โดยมีเงื่อนไขอย่างเดียวว่าผมต้องได้อำนาจการทำงานอย่างเต็ม ที่ คือ ถ้าผมไม่ได้อำนาจสั่งงานผมก็จะไม่ได้งานที่ผมอยากทำ และผมมักจะลาออกจากงานง่ายๆ เสมอ"
        
"แกรมมี่เคยจ้างผมไปผู้ อำนวยการช่องมันนี่แชนแนลอยู่ 5 เดือน เงินเดือนละ 2 แสนกว่าบาท เงินเยอะมากแต่ไม่ได้รับอำนาจในการบริหารงาน เหมือนเอาชื่อไปพอจะไปเสนออะไรก็ไม่ได้ทำ งั้นออกดีกว่า ไอทีวีผมก็อยู่ 2 เดือน ช่อง 7 ผมไปเป็นผู้จัดการฝ่ายข่าวก็อยู่ 2 เดือน หรือสำนักข่าวทีเอ็นเอ็น24 ประมาณ 3-4 เดือน พอมันไม่ถูกใจผม ผมก็ออก..."
         
"ผม บอกผู้บริหารที่สปริงนิวส์ว่าถ้าผมไม่ได้อำนาจผมขอไม่ทำดีกว่า ผมไม่ได้ต้องการอำนาจเพื่อความยิ่งใหญ่แต่ต้องการอำนาจเพื่อเปลี่ยนคนทำงาน ให้เข้าสู่ระบบการทำโทรทัศน์อย่างแท้จริงด้วยระบบคลาสสิกต้องทำได้ทุกเรื่อง แล้วค่อยสร้างความชำนาญโดยเฉพาะผู้ประกาศข่าวต้องเก่งเหนือกว่าผู้สื่อข่าว ปกติ เพราะต้องมีบุคลิกที่จะนำเสนอข่าวได้ ต้องทำงานกับองค์กรอย่างจงรักภักดี ไม่ใช่เร่ร่อนไปประกาศข่าวที่อื่นหนึ่งชั่วโมงแล้วมาที่นี่อีกหนึ่งชั่วโมง ไม่ใช่มาแบบสวยหล่อแล้วกลับบ้านได้เงินเยอะๆ บอกให้ไปทำงานตระเวนข่าวที่ไหนก็ไม่ไป แบบนี้ไม่ได้" สมเกียรติ เล่าถึงความตั้งใจ
         
ส่วนข้อครหาความเป็นทีวีแดงของ "สปริงนิวส์" สมเกียรติ ก็บอกว่า "เป็นหนึ่งในภารกิจที่คณะกรรมการบริหารมอบหมายให้เข้ามาแก้ไข"
         
"ก่อน ที่ผมจะมาทำงานที่นี่ผมก็ไม่ได้มองว่าสปริงนิวส์เป็นทีวีแดงนะ ผมว่าเขาก็ทำข่าวมันดี ใช้เทคโนโลยีใกล้ตัวอย่างไอโฟนโทรศัพท์มือถือที่มีต้นทุนต่ำแต่ทำงานได้เร็ว มาก เป็นอีกช่องหนึ่งที่ทำข่าวแดงประท้วงได้เร็วกว่าคนอื่นอาจเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้คนมองว่าเป็นแดง"
        
 เมื่อถามว่าส่วนตัวได้ตรวจสอบหรือไม่ว่ามีผู้ถือหุ้นที่เกี่ยวข้องกับฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณก่อน
         
จะ มารับงาน? เจ้าตัวตอบว่า "ตอนจะรับงานผมก็ถามไปว่าเป็นแดงเปล่า แล้วใครถือหุ้น ตกลงเป็นบริษัท โซลูชั่นคอนเนอร์ หรือ SLC ในตลาดหลักทรัพย์ ทำธุรกิจซอฟต์แวร์แล้วมาลงทุนทำธุรกิจสื่อพอคนนึกว่าเป็นแดงก็เสียหายพอมัน ไม่มีข่าวแดงให้ทำแล้วก็ไม่มีอะไรทำ คือ ไม่มีวิกฤตให้เล่น แล้วคนก็ยังมองว่าแดง แดง อยู่ ปล่อยเป็นแบบนี้ไม่ต้องทำมาหากินกันพอดี
        
 ความ จริงการมีความคิดเป็นแดงหรือเป็นเหลืองเป็นเสรีภาพตามทางรัฐศาสตร์แต่การทำ งานสื่อสารมวลชนต้องมีจรรยาบรรณวิชาชีพ ผมก็โดนด่าทางเฟซบุ๊กนะเมื่อครั้งบอกไปว่าจะมารับงานที่นี่ว่าอาจารย์รับ เงินคุณทักษิณเหรอ นี่มันแดงไม่ใช่เหรอ ผมก็ไม่คิดแก้ตัวแต่ผมจะทำให้เห็นว่าไม่แดงไม่เหลืองโดยจะเป็นที่พึ่งของคน ทุกส่วนให้ในสังคม"
         
เมื่อการทำรายการโททัศน์จำเป็นอย่าง ยิ่งต้องอาศัยโฆษณา และถ้าเกิดมีปรากฏการณ์คุณขอมาจากภาครัฐจะวางตัวอย่างไร? สมเกียรติ อธิบายว่า "เราคงจะไปหาโฆษณาจากภาครัฐอยู่แล้วแต่ว่าจะมาแทรกแซงเราไม่ได้หรอก แต่ถ้าจะมาคุยกันให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไรได้ไม่มีปัญหา นักการเมืองต้องพัฒนาและเข้าใจว่าสื่อต้องให้ความเป็นธรรมในสังคมไม่ใช่ต้อง สยบอยู่ในอำนาจการเมือง แต่นักการเมืองจะมีอำนาจบารมีก็ต่อเมื่อได้บริหารจัดการประเทศอย่างที่น่า ยกย่อง"
         
"อีกประมาณ 15 ปีข้างหน้าระบบสัมปทานภาครัฐจะค่อยๆ หมดบทบาทไปเนื่องจากจะเข้ายุคทีวีดาวเทียมแค่ขอใบอนุญาต ซึ่งไม่จำเป็นต้องพึ่งอำนาจรัฐ ใช้เงินทุนไม่มาก ใครๆ ก็เขาทำธุรกิจนี้ได้ ไม่ต้องกลัวถูกปิด เพราะเทคโนโลยีทำให้เราทำอะไรก็ได้ เหลืออย่างเดียวคือความรับผิดชอบต่อสังคมจรรยาบรรณวิชาชีพ ถ้าไม่ยึดตรงนี้ก็ไม่รู้จะอยู่ได้ไง" สมเกียรติ ให้บทสรุป


'เสรี วงษ์มณฑา'เชื่อผู้มีอำนาจตัวการถอดเหนือเมฆ2

มธ.จัดถกถอดเหนือเมฆ2 'เสรี วงษ์มณฑา' เชื่อผู้มีอำนาจตัวการ ช่อง 3 แค่หนังหน้าไฟ เหตุสัญญาสัมปทานทาส 'หมอชูรักชูรส' อัดช่อง 3 หลากมาตรฐาน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สภานักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง “ เหนือเมฆ 2 บทบาทและความรับผิดชอบของสื่อต่อสังคม” ที่หอประชุมจี๊ด เศรษฐบุตร คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยนายเสรี วงษ์มณฑา นักสื่อสารมวลชน กล่าวว่า หากจะถามว่าใครอยู่เบื้องหลังการที่ละครเหนือเมฆ 2 ถูกแบน ก็คงได้คำตอบเหมือนเวลาที่สื่อไปถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในรัฐบาลหรือแก้รัฐธรรมนูญ หรือไม่ เขาก็ต้องบอกว่าไม่เกี่ยว แต่ถ้าเราใช้สมองและตรรกะ พิจารณาก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ซึ่งการสรุปจากสมองคิดได้ว่า ที่ละครเหนือเมฆ 2 ถูกแบน เกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจแน่นอนโดยจะเป็นใครก็แล้วแต่

ขณะที่ช่อง 3 เองก็น้ำท่วมปากอยู่ในฐานะนักธุรกิจที่ไม่อยากจะมีปัญหากับนักการเมืองจึงต้องอยู่ในสภาพเช่นนี้ ต้องออกมาเป็นแพะ เป็นหนังหน้าไฟให้โดนด่า โดนต่อว่า ซึ่งการเป็นเป็นธุรกิจสัมปทานก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นทาส เพราะการทำอะไรก็ตามก็ไม่มีทางที่จะสะอาดบริสุทธิ์ไร้แผล เพราะถ้าเขาคิดจะให้หลุดจากสัมปทานเอาเหตุนิดเดียวมาก็ได้ เหมือนครั้งที่เขาจะเอานายปิยะสวัสดิ์ อมระนันท์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทการบินไทย จำกัด ( มหาชน) ออกจากการบินไทย คิดจะเอาออกก็จะหาให้ได้ว่านายปิยะสวัสดิ์ ทำอะไรบ้างที่น่าจะหลุด จึงไม่ต่างกับกรณีนี้ ดังนั้นวันนี้ถ้าเขาจะหาเหตุมาไต่สวนเพื่อยกเลิกสัมปทานช่อง 3 หาได้หรือไม่ ดังนั้นช่อง 3 ในฐานะธุรกิจสัมปทานก็น่าเห็นใจ ที่มีสิทธิ์จะถูกหาเหตุมาสร้างความหวั่นไหวในธุรกิจ ขณะที่เวลานี้ช่อง 3 กำลังเลือกระหว่าง ถูกประณามโดยกลุ่มในสื่อโซเชียลมีเดีย กับการมีธุรกิจสัมปทาน เขาก็เลือกถูกต่อว่าดีกว่าธุรกิจต้องสั่นครอน

นายเสรี กล่าวว่า อย่างไรก็ดีหากมองช่อง 3 ในแง่มุมององค์กรด่านธุรกิจ เราเข้าใจได้ แต่ในแง่องค์กรทางสังคมในมุมมองสังคมและมนุษย์ศาสตร์เพื่อปกป้องธุรกิจตัวเองจนลืมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์นั้น เราก็ไม่ชอบใจเพราะสื่อไม่ใช่แค่การทำธุรกิจ เนื่องจากสิ่งที่สื่อทำมีทั้งผู้ชมอยู่ ฟังอยู่ และมีคนเลียนแบบ ดังนั้นสื่อจึงต้องรักษาศักดิ์ศรีและความเป็นครูไว้ให้ได้ด้วย เพราะสื่อเป็นครูในสังคม ซึ่งหากในมองมุมกลับกันถ้าช่อง 3 ถูกรังแกเราก็คงไม่นิ่งเฉย ขณะที่การแก้วิฤตินี้ ช่อง 3 ควรจะต้องเรียนรู้และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น และต้องขอโทษประชาชน แล้วหาทางแก้ไขปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นอีกในอนาคต ส่วนฝ่ายอื่นๆ ก็ควรต้องปฏิบัติตามบทบาทและหน้าที่ของตน อย่างเช่นกลุ่มสปอนเซอร์ ควรตระหนักว่ายังจะโฆษณาอยู่ต่อไปหรือไม่ เช่นเดียวกับประชาชนว่ายังจะชมละครช่อง 3 อีกหรือไม่ ส่วนสมาคมสื่อก็ควรจะลุกขึ้นมาพิจารณาเรื่องจริยธรรมของสื่อต่อไป

ขณะที่ น.พ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล อดีตผู้ดำเนินรายการ ชูรักชูรส ช่อง 3 กล่าวเปรียบเทียบถึงกรณีที่รายการ ไทยแลนด์ ก็อตทาเลนท์ เคยถูกวิพากษ์วิจารณ์ที่มีการนำผู้แข่งขันมาโชว์สรีระไม่เหมาะสมว่า ที่ผ่านมาในความรับผิดชอบฐานะสื่อ ช่อง 3 ก็ไม่ได้นำรายการนั้นออกจากผัง แค่มีการออกมาขอโทษแล้วก็จบกันไปก่อนที่จะโดนปรับเงินจำนวนหนึ่ง หรือแม้กระทั่งกรณีที่มีพิธีการฉาวโฉ่คนหนึ่ง ซึ่งสปอนเซอร์โฆษณาเคยบอกว่าจะถอนโฆษณาแต่ก็ไม่ได้ทำ ขณะที่กรณีของละครเหนือเมฆ ต้องเรียกว่าเป็น Multiple Standrad ไม่ใช่แค่ Double Standard หรือสองมาตรฐานแค่นั้น แต่มีอะไรเยอะแยะมากมายจนเรียกว่าได้เอาตามใจฉัน ฉันจะให้ใครอยู่ ฉันก็ทำ ซึ่งความเป็นจริงนั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง โดยช่อง 3 เอง ก็มีสโลแกนว่า “ คุ้มค่าทุกนาที ถูกทีวีสีช่อง 3 ” ดังนั้นความคุ้มค่าที่เกิดขึ้นที่คุณพยายามจะนำเสนอต่อสังคม ประชาชนต้องได้รับความคุ้มค่า ถือว่าเป็นการได้ประโยชน์ร่วมกันไม่ใช่ฉันเป็นองค์กรนำเสนอความบันเทิงให้กับพวกเอ ฉันมีบุญคุณกับพวกเธอคงไม่ใช่ เพราะเมื่อผู้ชมเลือกที่จะดูช่องคุณและซื้อสินค้าที่โฆษณาผ่าช่องคุณ แสดงว่าเขาให้เครดิตคุณแล้วคุณก็ได้เงินไป ดังนั้นต้องให้เกียรติซึ่งกันและกัน

ด้านนายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการด้านกฎหมาย กล่าวว่า ในทางสังคมเราก็ต้องติดตามเรื่องนี้ต่อไป ซึ่งวันที่ 16 ม.ค.นี้ คณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎร จะเรียกตัวแทนช่อง 3 ผู้ผลิตละคร รัฐมนตรี และ กสทช.ไปชี้แจง ขณะที่ถ้ามองในแง่เสรีภาพ การที่ช่อง 3 เซ็นเซอร์ตัวเอง ยังไม่ถูกว่าละเมิดสิทธิ เพราะตามกฎหมายโดยหลักการจะต้องเกิดจากการใช้อำนาจบางอย่างทางกฎหมายเข้าไปจัดการช่อง 3 โดยกระบวนการขั้นตอนไปหลังจากวันที่ 16 ม.ค.นี้หากไม่ได้คำตอบว่าความไม่เหมาะสมคืออะไร เราก็ต้องคิดว่านอกจากช่อง 3 แล้วใครเกี่ยวข้องอีก ซึ่งก็มีผู้จัดละครดังนั้น คุณสามารถเอาผลงานย้ายวิกไปช่องอื่นได้หรือไม่ รวมถึงสปอนเซอร์จะพิจารณาการลงโฆษณาหรือไม่ และประชาชนผู้ชมเองยังจะซื้อสินค้าอยู่อีกหรือไม่ ซึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างประชาชนควรแสดงตนให้ชัด หรือคนที่ยืนอยู่ข้างเงินก็แสดงออกมาให้ชัดอย่าทำอ้ำอึ้ง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : อำนาจมืด เหนือเมฆ

view