จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สรัญญา จันทร์สว่าง

ไม่ใช่เรื่องใหม่กับการปรับโครงสร้าง "ภาษีสินค้าฟุ่มเฟือย" ที่มีทั้งเสียงเห็นด้วยและเสียงค้าน

ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา "ผลดี" ย่อมตกกับผู้ได้ประโยชน์ ที่ต้องการให้มีการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยอย่างเป็นรูปธรรม ขณะที่ผู้เสียประโยชน์จาก "ผลเสีย" ไม่อยากให้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เป็นปัญหาว่าทุกฝ่ายจะ "ก้าวข้าม" เหตุผลของตน บูรณาการ "องค์รวม" ที่จะเกิดเป็นแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศไทย ในอนาคตได้อย่างไร?

ปัจจุบันสินค้าแบรนด์เนมนำเข้า มีอัตราภาษีเฉลี่ย 5-30% "กลุ่มผู้นำเข้า" หรือเจ้าของแบรนด์ หรือบรรดาผู้ทำตลาดแบรนด์นั้น ต่างมองว่ากำแพงภาษี คือ อุปสรรคทางการค้า สกัดการเข้าถึงของฐานลูกค้าที่หาก "ลดหรือไร้ภาษี" เชื่อว่าจะขยายฐานลูกค้าได้มากขึ้นทั้งชาวไทย และต่างชาติที่เดินทางท่องเที่ยวเมืองไทย

เช่นเดียวกับเจ้าของชอปปิงคอมเพล็กซ์ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นฐานลูกค้าส่วนหนึ่ง โดยเฉพาะห้างหรูใจกลางกรุง พยายามผลักดันกรุงเทพฯ และประเทศไทยเป็น "จุดหมายปลายของการชอปปิงแห่งภูมิภาค" ต่างมั่นใจว่าในแง่โครงสร้างพื้นฐาน คือ อาคารศูนย์การค้า สินค้าและบริการต่างๆ พร้อมเพรียงแล้ววันนี้ ขาดแต่ "ราคา" ที่จูงใจและสนับสนุนให้ไทยเป็นชอปปิงพาราไดซ์อย่างเต็มตัว

ด้าน "แบรนด์ไทย" และ "ผู้ผลิตไทย" ไม่เชื่อว่ามาตรการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ กลับเสมือน "ชักศึกเข้าบ้าน" มีโอกาสธุรกิจล้มทั้งยืนได้ในเร็ววัน บรรดาผู้ประกอบการต่างให้เหตุผลว่า "ไทย" ยังเป็น "ฐานผลิตสินค้า" เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า ต่างจากฮ่องกง สิงคโปร์ อย่างชัดเจน

ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยมีทรัพยากรธรรมชาติ ศิลปะ วัฒนธรรมที่โดดเด่นดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ซึ่งเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้นทุกปี ถามว่าการลดภาษีสินค้าฟุ่มเฟือยจะเป็น "แม่เหล็ก" จูงใจนักเดินทางเบนเข็มมาเมืองไทยมากขึ้นหรือไม่ ยังเป็นประเด็นต้องขบคิด? เพราะไม่ใช่แค่ประกาศลดภาษีสินค้าลงแล้วจบกันไป

หากจะยกระดับประเทศไทยเป็นสวรรค์แห่งการชอปปิง เป็น "จุดขาย" ควบคู่ไปกับทะเล ภูเขา รากเหง้าทางวัฒนธรรม นั่นหมายความว่า "รัฐ" ต้องพร้อมโปรโมทจุดขายนี้อย่างจริงจัง ระบุชัดๆ "เทียบเท่า" หรือเหนือกว่าฮ่องกง สิงคโปร์ แม้กระทั่งมาเลเซีย ที่กำลังชูโรงเรื่องการท่องเที่ยวพ่วงชอปปิงพาราไดซ์

เสียงจากกลุ่มมองบวก เชื่อว่าการลดภาษีดังกล่าวไม่เพียงส่งผลดีเฉพาะแบรนด์เนมนำเข้า แต่หากปั้นเป็นจุดขายเรียก "ต่างชาติ" เข้ามาได้มากขึ้นจริง "ไทยแบรนด์" ย่อมได้อานิสงส์ไปด้วย โดยธรรมชาติของนักท่องเที่ยวจะมองหา "สินค้าท้องถิ่น" ในประเทศนั้นๆ มากกว่า เพื่อจะเป็นของฝากติดไม้ติดมือกลับไป

นอกจากนี้การปรับลดภาษีที่จะทำให้ "ราคาขาย" ต่ำลงกว่าเดิมนั้นยังมีความเชื่อว่าจะเป็นหนึ่ง ในเครื่องมือกระตุ้นบรรดาขาชอปชาวไทยที่ไป "เสียดุล" ให้ต่างชาติเมื่อเดินทางท่องเที่ยว หันกลับมามองและใช้จ่ายในประเทศมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาชาวไทยขึ้นชื่อว่าใช้จ่ายเงินในร้านปลอดภาษี หรือกล่าวได้ว่าใช้จ่ายไปกับสินค้าแบรนด์เนมติดโผระดับโลกทีเดียว แต่ "ราคาขาย" จะปรับลดลงตามสัดส่วนอัตราภาษีที่ลดลงหรือไม่ เป็นแรงจูงใจได้แค่ไหนนั้นยังต้องพิจารณาต่อไปเช่นกัน

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน