สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

CEO เอเชีย-แปซิฟิก มั่นใจอนาคตธุรกิจ-รายได้โต ชี้ อินโดนีเซีย-เมียนมาร์-จีน แหล่งลงทุนฮอต เป็น ม้ามืด ใน 3-5 ปี

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

     ‘ซี อีโอ’ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกยังมั่นใจการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว พร้อมเผย อินโดนีเซีย-เมียนมาร์-จีน เป็น “ม้ามืด” หรือแหล่งลงทุนฮอตของภูมิภาคในอีก3-5 ปีข้างหน้า แต่เรียกร้องให้ผู้นำประเทศตื่นตัวเรื่องการบังคับใช้กฏหมาย-ระเบียบข้อ บังคับให้สอดคล้องกัน รวมทั้งปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน ถนน สะพาน ท่าเรือ เพื่อให้ภูมิภาคไร้รอยตะเข็บด้านการค้าและดึงดูดเงินลงทุนจากต่างชาติ
       
       PwC ประเทศไทย (ไพร้ซวอเตอร์เฮ้าส์คูเปอร์ส) เผยผลสำรวจซีอีโอในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พบซีอีโอส่วนใหญ่มั่นใจว่าธุรกิจในระยะยาวยังเติบโต โดยการขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมือง จำนวนประชากรชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น และดีมานต์ของการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นปัจจัยที่ผลักดันการเจริญ เติบโตของรายได้ แม้ในระยะสั้นมีปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจสหรัฐ วิกฤติหนี้ในยุโรป และเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว
       ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหารและหุ้นส่วน PwC ประเทศไทย กล่าวว่า จาก การสำรวจมีบรรดาซีอีโอถึง 42% ที่มั่นใจมากต่อการเติบโตของรายได้ทางธุรกิจ (Revenue Growth) ของตนในระยะ 12 เดือนข้างหน้า โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นจากผลการสำรวจในปีที่ผ่านมา ที่มีซีอีโอที่แสดงความเชื่อมั่นเพียง 36%
       
       นอกจากนี้ ยังมีซีอีโอถึง 68% ที่กล่าวว่าตนมีแผนจะขยายการลงทุนเพิ่มในปี 2557 แม้ยังมีความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและเงินทุนไหลออกนอกภูมิภาคซึ่ง เป็นปัจจัยเสี่ยง ผลสำรวจยังระบุว่า มีซีอีโอมากกว่าครึ่ง หรือ 52% ที่มั่นใจในการเติบโตของรายได้ของธุรกิจในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
       
       “ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศเอเชีย-แปซิฟิกมี Resilience หรือมีความยืดหยุ่นสูง พูดง่ายๆ คือ มีการปรับตัวเมื่อต้องเผชิญกับวิกฤตต่างๆได้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา”
       “จุดแข็งประการสำคัญที่พบคือ เราเห็นผู้บริหารมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากปีก่อน ดูได้จากสัญญาณในเชิงบวกต่อแนวโน้มรายได้ บวกกับรายได้ประชากร โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคชนชั้นกลางที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น นอกจาก Supportive factors อื่นๆ เช่น การขยายตัวอย่างรวดเร็วของชุมชนเมือง และดีมานต์ของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน”
       
       บรรดาซีอีโอในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังเชื่อว่าประเทศต่างๆ ในภูมิภาคจะสามารถบรรลุเป้าหมายความร่วมมือทางเศรษฐกิจ เช่น การลดอุปสรรคการกีดกันทางการค้าในภาคบริการต่างๆ ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่ความร่วมมือกันมากขึ้นในกลุ่มประเทศสมาชิก APEC 21 ประเทศ
       
       “อย่างไรก็ตาม ปัญหาความไม่แน่นอนด้านการบังคับใช้กฎหมาย หรือข้อบังคับทางด้านการลงทุนแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดความเสมอภาค เท่าเทียมกันในแต่ละประเทศ จะยังคงเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตทางธุรกิจในระยะยาว”
       ผลสำรวจยังระบุว่า ซีอีโอส่วนใหญ่มองว่าจีน (35%) และสหรัฐอเมริกา (35%) จะยังเป็นตลาดหลักของการลงทุนในอีก 3-5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ ประเทศต่างๆเช่น ออสเตรเลีย (29%) นิวซีแลนด์ (26%) อินโดนีเซีย (15%) และประเทศเศรษฐกิจหลักที่มีจุดแข็งทางภาคบริการในภูมิภาค ได้แก่ ฮ่องกง (15%) และญี่ปุ่น (14%) ยังเป็นแหล่งดึงดูดเงินลงทุนที่สำคัญอีกด้วย
       
       นอกจากนี้ เดนนิส แนลลี่ ประธาน บริษัทPricewaterhouseCoopers International Ltd กล่าวถึงแนวโน้มของสภาพเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าว่า เศรษฐกิจโลกจะยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนและยังมีความเปราะบาง โดยมีความเสี่ยงขาลงจากการชะลอตัวและการเสียสมดุลของโลกมากกว่าที่คาด
       
       “ในส่วนของเศรษฐกิจในภูมิภาค เรามองว่าเอเชียแปซิฟิกจะยังต้องเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาเสถียรภาพ ของการเติบโต เนื่องจากในภาพรวม ตลาดการเงินโลกยังมีความผันผวน และทิศทางการฟื้นตัวของกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วยังเป็นไปอย่างช้าๆ”
       
       “ภูมิภาคนี้กลายเป็นเครื่องจักรสำคัญของการขยายตัวของโลกเพิ่มมาก ขึ้น ฉะนั้นทุกภาคส่วนมีหน้าที่ต้องมองไปข้างหน้า รับการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็น และประคับประคองเส้นทางที่นำไปสู่ความก้าวหน้าของเอเชีย-แปซิฟิก”
       “ม้ามืด” แห่งเอเชีย-แปซิฟิก
       
       ศิระ กล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศอินโดนีเซีย (19%) เมียนมาร์ (11%) และจีน (8%) ยังถูกจัดอันดับให้เป็น ‘ม้ามืด’ ทางเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยมีศักยภาพการเติบโตในระยะยาว เป็นผลมาจากแรงงานที่มีทักษะเพิ่มขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เติบโต บวกกับความมีเสถียรภาพของประชาธิปไตย และทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ นอกจากนี้ ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ถูกจัดอันดับความน่าสนใจ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ (7%) เวียดนาม (7%) และอินเดีย (5%)
       
       บรรดาซีอีโอยังเชื่อว่า ความร่วมมือกันของภาครัฐฯ ในอันที่จะเร่งให้เกิดการสนับสนุนในเรื่องของกรอบการตกลงทางการค้า การลงทุนทั้งในระดับทวิภาคี ไตรภาคี และพหุภาคี รวมทั้ง ความร่วมมือกันในด้านอื่นๆ ทั้งในและนอกภูมิภาค จะส่งผลกระทบในเชิงบวกต่อธุรกิจของตนอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนี้ ยังจะกระตุ้นให้เกิดกระแสการลงทุนใหม่ๆ จากต่างประเทศไหลเข้าสู่ภูมิภาคเพิ่มมากขึ้น
       
       โดยผลสำรวจ PwC ระบุว่า ประเด็นที่ซีอีโอในเอเชีย-แปซิฟิกมองว่ามีความสำคัญมากที่สุดต่อธุรกิจ 2 อันดับแรก ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงของการใช้กฏหมายข้อบังคับ (Change to regulatory) และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure development) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไฟฟ้า ขนส่ง น้ำ และสาธารณสุข
       
       “ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ออสเตรเลีย อเมริกา และญี่ปุ่น โครงสร้างพื้นฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ เริ่มล้าหลัง ต้องมีการอัพเกรด ต่างกับประเทศที่กำลังพัฒนาในเอเชีย ที่ยังคงมีช่องทางในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอยู่มาก ล่าสุด ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ เอดีบี คาดการณ์ว่าภูมิภาคนี้ยังต้องการการลงทุนมากถึง 8 ล้านล้านดอลลาร์ระหว่างปี 2553-2563 หากต้องการที่จะรักษาอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในระดับที่เป็นอยู่”
       
       “ที่ผ่านมา มองว่าเอเชียมีจุดแข็ง เพราะมีหนี้น้อยและระดับเงินออมที่แข็งแกร่ง มีกำลังพอที่จะลงทุนในโครงการใหญ่ๆ ดังกล่าวได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือ นักลงทุนบางรายอาจจะมองในเรื่องความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงกฏระเบียบ ข้อบังคับ ความไม่แน่นอนของการบังคับใช้กฏหมาย หรือแม้กระทั่งเรื่องของความโปร่งใสในการประมูล สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลทำได้ คือการช่วยกันสนับสนุนการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมต่อการลงทุนใน สินทรัพย์ที่เป็น Infrastructure ในระยะยาวเพิ่มมากขึ้น”
       สำหรับผลการสำรวจอื่นๆ มีดังนี้
       
       • ซีอีโอในเอเชียแปซิฟิกเกือบถึง 90% กล่าวว่าตลาดผู้บริโภคในกลุ่มชนชั้นกลาง (Middle-income consumer markets) มีอิทธิพลต่อกลยุทธ์การเติบโตทางธุรกิจ ขณะที่ เกือบครึ่งหนึ่งของการลงทุนที่เพิ่มขึ้น มุ่งเน้นไปที่การขยายสินค้า (Products) บริการ (Services) และช่องทางการจัดจำหน่าย (Distribution channels) ใหม่ๆ
       
       • การพัฒนาเครือข่ายบรอดแบนด์และการคมนาคมขนส่งในเขตเมืองจะช่วยเสริมสร้าง โอกาสในการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนกฏระเบียบข้อบังคับและกฏหมายที่เป็นอุปสรรคต่อ การค้าและการลงทุน
       
       • ความต่อเนื่องของการบังคับใช้กฏระเบียบข้อบังคับทั่วทั้งภูมิภาคจะช่วย กระตุ้นให้เกิดกระแสการลงทุนใหม่ๆ โดยซีอีโอถึงหนึ่งในห้ากล่าวว่าจะมองหาช่องทางในการลงทุนเพิ่ม หากกฏระเบียบข้อบังคับในประเด็นต่างๆ เช่น ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual property) ธรรมาภิบาล (Corporate governance) และธุรกิจภาคบริการมีความสอดคล้องและเสมอภาค
       
       • ซีอีโอในภูมิภาคกว่า 70% ต้องการเห็นการมีเวทีเจรจาทางการค้าเพิ่มขึ้นในหมู่ประเทศสมาชิก แต่ขณะเดียวกัน ผู้นำ 22% มองว่าการเจรจาอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนและค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการที่ มากขึ้นได้
       
       ทั้งนี้ ผลสำรวจดังกล่าวมาจากการที่ PwC ได้จัดทำ APEC CEO Survey 2013 ‘Towards resilience and growth: Asia-Pacific business in transition’ ระหว่างเดือนมิ.ย-ส.ค. 56
       
       โดยเก็บข้อมูลจากซีอีโอและผู้นำในอุตสาหกรรมชั้นนำ จำนวน 478 คน ในภูมิภาค รวมถึงกลุ่มประเทศสมาชิก Asia-Pacific Economic Cooperation (APEC) ทั้งหมด 21 ประเทศ และมีการเผยแพร่ผลสำรวจนี้ในการประชุม APEC CEO Summit ประจำปี 2556 ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : CEO เอเชีย-แปซิฟิก มั่นใจอนาคตธุรกิจ รายได้โต อินโดนีเซีย เมียนมาร์ จีน แหล่งลงทุนฮอต ม้ามืด

view