องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยื่น UN เตือนไทยจ่อผิดอนุสัญญาฯ นิรโทษกรรมคนโกงชาติพ้นผิด
จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน บุกสหประชาชาติ ยื่นหนังสือปูดไทยเตรียมนิรโทษกรรมคนโกง เตือนรัฐบาลทำผิดอนุสัญญาฯ ตามสัตยาบัน หวั่นชาติถูกภาพลักษณ์ติดลบหนัก แถมถูกประนามจากนานาชาติ เหตุเป็นประเทศเดียวในโลกที่ปล่อยผีคนคอร์รัปชั่น
วันนี้ (29 ต.ค.) ที่สำนักงานองค์การสหประชาชาติ ประจำประเทศไทย องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) นำโดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรฯ ได้เข้ายื่นหนังสือแถลงการณ์เพื่อเรียกร้องให้ตระหนักถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 3 มีเจตนาและมุ่งหมายที่จะลบล้างให้คดีทุจริตคอร์รัปชันถูกเพิกถอนไปทั้งหมด พร้อมกับร่วมส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชา ชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Convention against Corruption : UNCAC 2003) ที่รัฐบาลเคยให้สัตยาบันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
นายประมนต์เปิดเผยว่า การยื่นหนังสือแถลงการณ์ต่อองค์การสหประชาชาติในครั้งนี้ มีเป้าหมายสำคัญ 2 ประการ คือ 1. ต้องการให้สังคมนานาชาติรับรู้ว่า องค์กรฯ ให้ความสนใจอย่างมากต่อการต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชันในประเทศไทย และ 2. ต้องการให้สังคมนานาชาติจับตามองท่าทีของรัฐบาลไทย กรณีดังกล่าวแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังดำเนินการขัดต่ออนุสัญญาฯ ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชันของทุกภาคส่วน ในสังคมไทย
นายประมนต์ระบุว่า การที่กรรมาธิการเสียงข้างมากของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีมติเห็นชอบให้แก้ไขเพิ่มเติมความในร่างมาตรา 3 มีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อความพยายามของสหประชาชาติในการต่อสู้กับปัญหา คอร์รัปชัน ซึ่งสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้เล็งเห็นถึงความ ร้ายแรงของปัญหาและการคุกคาม จนนำมาสู่การมีมติให้พิจารณากำหนดเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มี ประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นที่มาของอนุสัญญาขององค์การสหประชาชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ. 2003 (UNCAC 2003) มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2548 และรัฐบาลไทยได้ให้สัตยาบันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2554 ซึ่งรัฐบาลไทยจะต้องจัดให้มีมาตรการที่จำเป็น รวมทั้งมาตรการทางกฎหมายและทางบริหารเพื่อให้มีการปราบปรามการทุจริต คอร์รัปชันเป็นรูปธรรมอย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ
“องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ และสมาชิกองค์กรในภาคธุรกิจ การเงินและตลาดทุน จะแลกเปลี่ยนทัศนะและข้อคิดเห็นกับผู้แทนขององค์การสหประชาชาติประจำประเทศ ไทยเพิ่มเติมในประเด็นผลกระทบของร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 3 ที่อาจจะส่งผลเชิงลบต่อถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย รวมถึงเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและสังคมและความเชื่อมั่นของประชาคมโลกในอนาคต” นายประมนต์ระบุ
ทั้งนี้ จากดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันที่จัดทำโดยองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ เมื่อ พ.ศ. 2555 ประเทศไทยถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 88 จาก 176 ประเทศ ด้วยคะแนนเพียง 37 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน ต่ำกว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย อันดับที่ 66 และประเทศจีน อันดับที่ 80 ชี้ให้เห็นว่า คอร์รัปชันเป็นปัญหาใหญ่ที่ประเทศไทยต้องเร่งแก้ไข ดังนั้น หากมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ จะยิ่งซ้ำเติมให้ภาพลักษณ์คอร์รัปชันของประเทศไทยตกต่ำ ประเทศไทยอาจจะถูกประณามจากประชาคมโลก เนื่องจากได้ดำเนินการที่สุ่มเสี่ยงว่าขัดแย้งหรือเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติ ตามอนุสัญญา และเป็นประเทศเดียวในโลกที่ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่ฐานความผิดในคดี คอร์รัปชัน
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ยื่นหนังสือยูเอ็น ชี้ร่างพ.ร.บ.นิรโทษฯไทย ขัดอนุสัญญาต่อต้านทุจริต
องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) โดยนายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรฯ ได้แถลงการณ์เพื่อเรียกร้องให้ตระหนักถึงกรณี ร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมฉบับแก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 3 มีเจตนาและมุ่งหมายที่จะลบล้างให้คดีทุจริตคอร์รัปชันถูกเพิกถอนไปทั้งหมด พร้อมกับร่วมส่งสัญญาณเตือนให้รัฐบาลปฏิบัติตามอนุสัญญาขององค์การสหประชา ชาติเพื่อการต่อต้านการทุจริต (United Convention against Corruption: UNCAC 2003) ที่รัฐบาลเคยให้สัตยาบันไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้ประเทศไทยมีภาพลักษณ์ที่เสื่อมเสียในสายตาของประชาคมโลก
นาย ประมนต์ กล่าวว่า ยื่นหนังสือถึงองค์การสหประชาชาติ ผ่านสำนักงานในประเทศไทย เพื่อต้องการให้นานาชาติรับรู้ว่าองค์กรฯ และแนวร่วมให้ความสนใจต่อสู้กับปัญหาคอร์รัปชั่น และให้จับตามองท่าทีของรัฐบาลไทย กรณีพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่แก้ไขเพิ่มเติมความในมาตรา 3 เพื่อล้างผิดคดีทุจริตทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยกำลังดำเนินการขัดต่ออนุสัญญาขององค์การสหประชา ชาติ เพื่อการต่อต้านการทุจริต ค.ศ.2003 ซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างร้ายแรงต่อกระบวนการต่อสู้คอร์รัปชั่นของทุกภาคส่วน ในสังคมไทย
นายประมนต์ กล่าวว่า จากนี้ จะติดตามต่อไปว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มาตรา 3 จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เพราะหากการแก้ไขแล้วไม่นิรโทษกรรมให้กับผู้ที่ทุจริตคอร์รัปชั่นจะไม่ติดใจ แต่อย่างใด เพราะเรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นเรื่องส่วนบุคคลสามารถพิสูจน์ได้ตาม กระบวนการยุติธรรม แต่หากไม่เปลี่ยนแปลงยังคงนิรโทษกรรมให้กับผู้ที่คอร์รัปชั่นจะมีแนวทางเดิน หน้าเคลื่อนไหวคัดค้านต่อไป
แบบอย่างจากประธานองค์กรต้านคอร์รัปชัน
จาก โพสต์ทูเดย์
เมื่อครั้งได้รับเงินเดือนจากการทำหน้าที่สนช.คุณประมนต์ ก็ทำเรื่องถึงเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่าไม่ขอรับเงินเดือน
คุณประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน ท่านนี้ ปัจจุบันเป็นประธานบริษัทโตโยต้าไทยแลนด์ และเป็นกรรมการบริษัทปูนซิเมนต์ไทย
ตั้งแต่เกิดวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศมาในช่วงหลายสิบปีนี้ คุณประมนต์ถูกร้องขอให้ไปแก้ไขปัญหาในหลายองค์กร นอกเหนือจากงานหลักที่ทำอยู่เช่น ถูกคัดเลือกให้เป็นกรรมการในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2536-2539 เป็นกรรมการของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า (เอ็กซิม แบงค์) ในปี พ.ศ. 2538-2541 ได้รับการร้องขอจากผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย คุณชัยวัฒน์ วิบูลย์สวัสดิ์ ให้ไปเป็นประธานคณะกรรมการ ธนาคารมหานคร ในปี พ.ศ. 2540 เพื่อปรับปรุงกิจการหรือควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นที่แข็งแรงกว่า
ในปี พ.ศ. 2542 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ในขณะนั้น ขอร้อง ให้ไปเป็นประธานคณะกรรมการ ธนาคารไทยธนาคาร ซึ่งเกิดขึ้นจากการควบรวมธนาคารสหธนาคารและสถาบันการเงินอื่น ๆ อีกหลายสิบแห่งที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง
ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานหอการค้านานาชาติแห่งประเทศไทย หอการค้านานาชาติหรือ International Chamber of Commerce (ICC)
พ.ศ. 2549 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)
น่าสนใจว่า คุณประมนต์ไม่เคยรับค่าตอบแทนจากการทำงานในตำแหน่งหน้าที่เหล่านี้เลยเพราะคุณประมนต์ถือกติกาว่า “ตราบใดที่ยังทำงานประจำให้กับบริษัทปูนซิเมนต์ไทย และใช้เวลาของบริษัทไปช่วยงานเหล่านี้” ก็ไม่ควรรับค่าตอบแทนดังกล่าว
คุณประมนต์ เล่าไว้ในคอลัมน์ กาลเวลาจารึกคน ซึ่งตีพิมพ์เป็นประจำทุกฉบับวันเสาร์ ในหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ว่า ผมจะไม่รับค่าจ้างประจำอื่นใดนอกเหนือจากเบี้ยประชุมเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อเป็นค่าชดเชย ค่าล่วงเวลาคนรถ หรือพนักงานผู้น้อยที่มาช่วยงาน ถือเป็นหลักปฏิบัติว่าไม่ควรมีรายได้ซ้ำซ้อน และได้ยึดถือปฏิบัติตามนี้มาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อครั้งได้รับเงินเดือนจากการทำหน้าที่สนช.คุณประมนต์ ก็ทำเรื่องถึงเลขาธิการสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่าไม่ขอรับเงินเดือน
เมื่อเป็นข่าวออกไปมีผู้แนะนำว่า แทนที่จะงดรับเงินเดือน ให้นำเงินจำนวนนี้ถวายให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเสด็จตามพระราชกุศลจะได้ประโยชน์มากกว่า คุณประมนต์จึงได้ทำตามคำแนะนำนั้น
ต่อมามีหลายบริษัทและหลายองค์กรได้นำวิธีที่คุณประมนต์ได้ปฏิบัติมาคล้ายกันนี้ไปใช้แล้
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน