จาก โพสต์ทูเดย์
อดีตปธ.ศาลรัฐธรรมนูญอัดรัฐบาลผิดกฎหมายหลายข้อ เชื่อกปปส.เสนอมาตรา7 ไม่มีกฎหมายรองรับ แต่ยังมองไม่ออกวิกฤตจบอย่างไร
เมื่อวันที่ 15 พ.ค. ที่โรงแรมตะวันนา สโมสรโรตารีบางรัก ได้เชิญนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ บรรยายพิเศษในหัวข้อ”รัฐธรรมนูญ : ผลกระทบทุกภาคส่วน” โดยนายวสันต์ เปิดเผยว่า ทางออกจากวิกฤตขณะนี้คือต้องทำให้กฎหมายมีผลบังคับใช้ได้ มากกว่าตีความให้ทุกเรื่องเป็นทางตัน มากกว่าตีความว่าไปช่องไหนก็ไม่ถูกต้อง บอดทุกเรื่อง
ทั้งนี้ เห็นว่าทุกฝ่ายควรร่วมกันหาทางออกได้แล้ว เนื่องจากการไม่มีรัฐบาลยาวนานขนาดนี้ สร้างปัญหาเศรษฐกิจ และการลงทุนของภาครัฐอย่างมาก รวมถึงหากสถานการณ์ทางการเมืองยังคงอึมครึมต่อไป ก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจหนักขึ้น
อย่างไรก็ตามยังมองไม่ออกว่าวิกฤตจะจบอย่างไร แต่โดยส่วนตัวภาวนาให้วิกฤตครั้งนี้จบดีๆ แบบละครน้ำเน่าไม่ใช่จบขมขื่นแบบนิยายโรมิโอและจูเลียต
สำหรับอำนาจของรัฐบาลรักษาการขณะนี้ นายวสันต์ กล่าวว่า เชื่อว่า นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รักษาการรองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ยังสามารถเป็นผู้ทูลเกล้าฯ พระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.)เลือกตั้งได้ เนื่องจากกฎหมายกำหนดไว้ว่าหากยุบสภาแล้ว ก็ต้องมีการเลือกตั้งต่อไป ขณะเดียวกัน งานประจำอย่างการทูลเกล้าฯชื่อประธานวุฒิสภาคนใหม่ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน
"ไม่คิดว่าจะเป็นปัญหา แม้ว่า พ.ร.ฎ.เปิดประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญ จะไม่ได้กำหนดวาระดังกล่าวไว้ก็ตาม เนื่องจากวุฒิสภามีอำนาจในการพิจารณาเรื่องที่เป็นมติของที่ประชุม"นายวสันต์กล่าว
ส่วนการเสนอชื่อนายกฯ คนกลาง ด้วยช่องทางมาตรา 7 ของรัฐธรรมนูญ 2550 นั้น นายวสันต์ กล่าวว่า คงไม่ใช่ช่องทางนายกฯ มาตรา 7 แต่เป็นการเทียบเคียงทางกฎหมายกับมาตรานี้มากกว่า แต่ไม่คิดว่าจะสามารถทำได้ เนื่องจากไม่เคยทำมาก่อนในประวัติศาสตร์ และผลที่ทำแล้วก็คงเป็นเรื่องใหญ่ เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามก็เตรียมต่อสู้ไว้แล้ว
อดีตประธานศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวอีกว่า การดำเนินการของกปปส. ที่จะยึดอำนาจจากรัฐบาลและให้ข้าราชการมารายงานตัวนั้น ไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่งวิธีการที่จะทำได้อย่างเดียวคือการปฏิวัติประชาชน แต่โดยความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า การปฏิวัติประชาชนนั้น หากไม่มีอาวุธ ก็ยากที่จะสำเร็จ เพราะในที่สุดแล้วจะไม่มีใครเกรงกลัว
นอกจากนี้ นายวสันต์ ยังกล่าวอีกว่า ไม่ควรมีฝ่ายใดใช้การเลือกตั้งเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากในอดีต อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ อดีตผู้นำเผด็จการเยอรมันนี เฟอร์ดินาน มาร์กอส อดีตผู้นำเผด็จการฟิลิปปินส์ หรือ ฮอสนี มูบารัค อดีตผู้นำอียิปต์ก็ล้วนมาจากการเลือกตั้งทั้งสิ้น
นายวสันต์ ระบุอีกว่า รัฐบาลชุดที่ผ่านมาได้ทำผิดรัฐธรรมนูญอย่างเห็นได้ชัดในหลายข้อ ตั้งแต่ 1.โครงการรับจำนำข้าว ที่ทำผิดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญอย่างชัดเจน เนื่องจากเป็นนโยบายที่รัฐรับซื้อข้าวไว้เองทั้งหมด ด้วยราคาที่สูงเกินเพดาน ซึ่งผิดหลักการกลไกตลาดเสรี ที่มีระบุไว้รัฐธรรมนูญ
2.โครงการเงินกู้เพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ 2 ล้านล้านบาท ซึ่งผิดรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่า การจ่ายเงินแผ่นดิน จะกระทำได้ก็เฉพาะที่ได้อนุญาตไว้ใน กฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่าย กฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ กฎหมายเกี่ยวด้วยการโอนงบประมาณ หรือกฎหมายว่าด้วยเงินคงคลัง เท่านั้น แต่รัฐบาลกลับดำเนินการกู้เงินล่วงหน้า แล้วปฏิเสธว่าเงินที่นำมาใช้หนี้ไม่ใช่เงินแผ่นดิน
3.การโยกย้ายข้าราชการ โดยเฉพาะกรณีย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ มีการพูดกันมากว่าศาลรัฐธรรมนูญทำเกินขอบเขตอำนาจ ซึ่งโดยความคิดเห็นส่วนตัวคิดว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่มีทางเลือกอื่น เนื่องจากศาลปกครองได้ตัดสินไว้แล้วว่า นายกรัฐมนตรีใช้อำนาจโดยมิชอบ และ 4.การออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง ซึ่งการแปรญัตติให้รวมเอาแกนนำ และยกเลิกการกระทำตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 นั้นขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 309 รวมถึงมีการออกพ.ร.บ.ล้างผิดให้กับคนกลุ่มเดียว
“รัฐธรรมนูญมันอยู่เฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร บางคนอาจจะบอกว่าศาลรัฐธรรมนูญทำนายกฯ พ้นมา 3 คนแล้ว แต่ยืนยันว่าศาลรัฐธรรมนูญตัดสินตามหลักกฎหมายทุกประการ ถ้าไม่ทำผิดรัฐธรรมนูญ คุณก็ไม่ต้องพ้นจากตำแหน่ง รัฐบาลก็อยู่ต่อไปได้”นายวสันต์กล่าว
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
