สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ถึงเวลายกเครื่องศาสนา พระต้องตรวจสอบบัญชีได้

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

ความฉาวโฉ่ของ “วัดพระธรรมกาย” สั่นสะเทือนวงการผ้าเหลือง และระบบการปกครองสงฆ์ของ “มหาเถรสมาคม” การศรัทธาต่อวงการสงฆ์ของพุทธศาสนิกชนทั่วประเทศกำลังถูกท้าทายครั้งใหญ่ จนถึงเวลาที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่า ควรใช้โอกาสนี้สังคายนาให้ “ผ้าเหลือง” กลับมาเป็นที่เคารพของคนไทยเสียที

โพสต์ทูเดย์ สัมภาษณ์ สุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ นักคิดนักเขียนอาวุโส ปัญญาชนสยาม ผู้ที่กล้าวิพากษ์วงการสงฆ์อย่างตรงไปตรงมา เล่าให้ฟังถึงพัฒนาการ “ปกครองกันเอง” ของสงฆ์ และแนวทางที่จะทำให้สงฆ์หลุดพ้นจากความเสื่อมที่เกิดขึ้นทุกวันนี้

“คณะสงฆ์เป็นธรรมจักร ควบคู่กับอำนาจที่เรียกว่า ‘อาณาจักร’ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘รัฐ’ ทีนี้สมัยก่อนจะขับเคลื่อนอาณาจักรไปได้ก็ต้องมีสองล้อ คือ อาณาจักร เป็นล้อแห่งอำนาจ และธรรมจักร เป็นล้อแห่งมโนธรรมสำนัก” สุลักษณ์ เกริ่นให้ฟัง

เขาบอกว่า ความสัมพันธ์ของคณะสงฆ์กับพระเจ้าแผ่นดินนั้น ในอดีตถูกยึดโยงไว้ด้วยกัน เช่น ในสมัยรัชกาลที่ 4 พระมหากษัตริย์จำเป็นต้องฟังเทศน์ทุกวันและต้องใส่บาตรทุกเช้า และหากพระเจ้าแผ่นดินทำอะไรผิดพลาด ก็เป็นหน้าที่ของคณะสงฆ์ที่จะต้องตักเตือน

“เราถึงได้ยินกันว่า เมื่อพระนเรศวรจะฆ่าแม่ทัพนายกองทั้งหมด สมเด็จพระวันรัตต้องขอเอาไว้ไม่ให้ทำบาป หรือในสมัยรัชกาลที่ 4 ท่านเสวยเหล้า สมเด็จโตก็บอกพระเจ้าแผ่นดินเสวยไม่ได้ พอสมเด็จโตท่านแจวเรือมา รัชกาลที่ 4 ก็บอกว่า พระก็ห้ามพายเรือ สองฝั่งก็เชื่อมกันไป-มาตลอด”

อย่างไรก็ตาม ธรรมจักรมาอยู่ใต้อาณาจักรครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะรัชกาลที่ 5 ต้องการให้รูปแบบการปกครองเป็นแบบ Church of England  อย่างในอังกฤษ โดยให้คณะสงฆ์ขึ้นกับพระเจ้าแผ่นดิน

“พ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ จึงออกครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการก่อตั้งมหาเถรสมาคมเป็นครั้งแรก มีการประชุมตามวาระ เพื่อถวายความเห็นให้พระเจ้าแผ่นดินทรงใช้พระบรมราชวินิจฉัย หรืออีกนัยหนึ่ง คือ ให้รัชกาลที่ 5 เป็นสมเด็จพระสังฆราช”

อย่างไรก็ตาม สุลักษณ์ บอกว่า ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ชในปี 2475 เล็กน้อย พระมหานิกายจำนวนหนึ่งเห็นว่า “ธรรมยุติกนิกาย” ลุแก่อำนาจ และ “มหานิกาย” เป็นลูกเมียน้อยมาโดยตลอด จนเกิดการต่อต้านครั้งใหญ่

“ผลสำคัญก็คือ หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง อาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ไปทำ พ.ร.บ.การปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ปี 2484 ซึ่งก็ปกครองกันแบบประชาธิปไตยเลย คือ สมเด็จพระสังฆราชเป็นเหมือนพระมหากษัตริย์ คือ ไม่มีอำนาจ มีแต่พระเดช ไม่มีพระคุณ มีคณะสังฆนายกฯ เหมือนนายกฯ มีคณะสังฆมนตรี เป็นคณะรัฐมนตรี รวมถึงมีสังฆสภา เป็นรัฐสภา มีคณะตุลาการ”

“อาจารย์ปรีดีพยายามให้มีบาลานซ์ระหว่างธรรมยุตกับมหานิกาย เช่น ประธานสังฆสภา คือ สมเด็จพระวันรัต วัดมหาธาตุ ที่ประชุมสังฆสภา ก็ขึ้นที่วัดมหาธาตุ ส่วนสังฆนายกฯ ก็ธรรมยุตได้ ก็แบ่งกันวางแผนถึงขั้นว่าจะรวมสองนิกายด้วย ตั้งเป้าไว้ว่า ภายใน 10 ปี จะรวมนิกายกันได้ แต่กลายเป็นว่าพอกำหนดแบบนี้ ธรรมยุตก็ไม่พอใจมาก”

อย่างไรก็ตาม โรดแมปดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นจริง และเมื่อ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ยึดอำนาจการปกครองจาก จอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปี 2501 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 ก็ถูกยกเลิกตามไปด้วย เพราะความเหนียวแน่นเป็นปึกแผ่นของสังฆสภา จนมีพระบางรูปด่ารัฐบาล

“ในที่สุดจอมพลสฤษดิ์ก็ออก พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505 แบบเดียวกับ พ.ร.บ.สงฆ์ ร.ศ. 121 ซึ่ง พ.ร.บ.สงฆ์ ร.ศ. 121 ก็เป็นจุดด่างมากแล้วนะครับ แต่อย่างน้อยรัชกาลที่ 5 ท่านดูแลเอง แล้วเวลานั้นบ้านเมืองมันเล็ก ในหลวงรู้จักหมดว่าพระองค์ไหนเป็นยังไง พอจอมพลสฤษดิ์ไม่รู้เรื่องแล้ว 2505 ก็ตั้งมหาเถรสมาคม เอาแบบสมัย ร.5 แต่มหาเถรสมาคมในยุคนั้นก็มีแต่คนแก่ๆ ทั้งนั้น ตั้งสมเด็จพระราชาคณะต่างๆ พระสังฆราชก็ยึดอำนาจ แล้วจุดใหญ่หลังจากนั้นของมหาเถรสมาคมก็คือ เอาชนะพระพิมลธรรม เจ้าอาวาสวัดมหาธาตุในขณะนั้น”

ส.ศิวรักษ์ บอกว่า สาเหตุพระพิมลธรรมถูกขังโดยสันติบาล 5 ปี ให้เป็นปาราชิก แล้วถูกจับสึก เป็นเรื่องการเมืองล้วนๆ โดยเป็นความพยายามของจอมพลสฤษดิ์ จับมือกับพระสายอยุธยา เพื่อโค่นพระพิมลธรรม ที่ถูกเรียกว่าเป็น “พระลาว” หรือพระอีสาน เพราะพระพิมลธรรมมาจากขอนแก่น

“มหาเถรสมาคม ตั้งแต่จอมพลสฤษดิ์จนถึงปัจจุบัน อยากใช้อำนาจแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แบบสมัยรัชกาลที่ 5 เลยให้สมเด็จองค์หนึ่งคุมเองหมดเลย แล้วก็เอาลูกหลาน ลูกศิษย์ ไปไว้พระอารามหลวงชั้นต่างๆ ให้ครองตำแหน่งสมเด็จสืบทอดไปเรื่อยๆ เพื่อให้เป็นสมเด็จพระสังฆราช นี่คือการปกครองกันเองของสงฆ์” สุลักษณ์ เท้าความให้ฟัง

“ล่าสุดก็ระหว่างสายอยุธยา กับสายสมเด็จเกี่ยว ที่เป็นปักษ์ใต้ ทะเลาะกัน พอสมเด็จเกี่ยวมรณภาพ มหาเถรสมาคมเขาก็หักคนโปรดของสมเด็จเกี่ยวเลย เจ้าคุณเสนาะถึงได้โดนเล่นงานออกจากมหาเถรสมาคม เห็นรึยังความเป็นมาคณะสงฆ์”

สุลักษณ์ ยืนยันว่า วัดพระธรรมกายมีการจ่ายเงินให้สมเด็จพระราชาคณะที่เป็นกรรมการมหาเถรสมาคมจริง และเรื่องที่พระเทพญาณมหามุนี (พระธัมมชโย) โกงเงินนั้น ก็ถูกพิสูจน์แล้วว่าจริง โดยสมเด็จพระสังฆราชก็มีพระลิขิตเลยว่าหมดความเป็นพระไปแล้ว แต่เมื่อมหาเถรสมาคมถูกซื้อ จึงไม่มีใครทำอะไรกับวัดพระธรรมกายได้

“พระเนี่ยมีค่าตัวบาทเดียวนะครับ โกงเงินบาทเดียวก็หมดจากความเป็นพระนะครับ แล้วเรื่องนี้ถึงพระสังฆราช ท่านมีพระลิขิตเลยว่า หมดความเป็นพระแล้ว แต่มหาเถรสมาคมถูกมันซื้อ ท่านเลยรับสั่งเลยว่าจะไม่เข้าประชุมมหาเถระอีก เรื่องก็เลยคาอยู่ถึงทุกวันนี้”

มหาเถร ให้โทษมากกว่าคุณ

ถาม ส.ศิวรักษ์ ว่า “มหาเถรสมาคม” มีประโยชน์อะไรกับการปกครองสงฆ์บ้าง เขายืนยันทันทีว่า ไม่มีความสำคัญเลย และให้โทษมากกว่าให้คุณด้วยซ้ำ โดยเฉพาะเมื่อ “มหาเถรสมาคม” ส่งพระราชาคณะไปคุมพระตามหัวเมืองต่างๆ หรือให้พระเลื่อนสมณศักดิ์เพื่อขึ้นมาปกครองกันเอง สุดท้ายจึงกลายเป็นว่าระบบปกครองพระล้มเหลว ไม่ต่างจากการเลื่อนตำแหน่งของข้าราชการ หรือการเลื่อนชั้นยศของตำรวจ ที่มีการซื้อขายตำแหน่งกันในราคามหาศาล

“สมณศักดิ์นี่ก็ล่อกัน คนอยากมีสมณศักดิ์ก็ต้องประจบกรุงเทพฯ ตอนหลังนี้ประจบไม่พอ ก็ติดสินบนกันเลย คราวนี้เลื่อนสมณศักดิ์ ใช้เป็นล้าน ยิ่งกว่าตำรวจเลื่อนตำแหน่งอีก แล้วฆราวาสอย่างพวกเราก็ผิดมากเลยที่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ เพราะตอนนี้เราทำบุญ พอเห็นนุ่งเหลืองมา แล้วเราก็เห่อ หน่วยงานจะทำบุญ ต้องนิมนต์พระที่มีสมณศักดิ์ เป็นสมเด็จนี่ต้องถวายเป็นแสน รองสมเด็จห้าหมื่น” ส.ศิวรักษ์ ระบุ

ส.ศิวรักษ์ ยกตัวอย่างกรณี “เจ้าคุณเสนาะ” สะท้อนชัดเจนว่า การเป็น “พระชั้นผู้ใหญ่” นั้นมีเงินหมุนเวียมหาศาล และมีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมาย เช่น การให้ลูกหลานเอาเงินไปตั้งบริษัทปลูกดอกไม้ขาย แล้วก็เอาดอกไม้มาใช้ในงานพระราชทานเพลิงศพสมเด็จเกี่ยว

“ก่อนหน้านี้อดีตเลขาฯ สมเด็จพระสังฆราชก็เอาเงินไปให้ลูกหลาน เอาไปให้กิ๊ก เอาไปเลี้ยงแฟน ทั้งแฟนผู้หญิง-แฟนผู้ชาย ซึ่งผมเคยร้องเรียนพฤติกรรมของกรรมการมหาเถรสมาคมรูปหนึ่งไปแล้ว เรื่องพฤติกรรมชู้สาว ผ่านไปทั้งเจ้าคณะภาค เจ้าคณะใหญ่ รวมถึงสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) ทุกคนเงียบหมด ยิ่ง พศ.นี่ตัวดี บอกว่าไม่มีอำนาจในการตรวจสอบอธิกรณ์สงฆ์” สุลักษณ์ ระบุ

เขายืนยันว่า การปกครองตัวเองอย่างไรก็แล้วแต่ ต้องมีระบบตรวจสอบที่เข้มข้น ซึ่งการตรวจสอบก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการจัดระบบบัญชีให้วัดและพระ โดยให้มีการตรวจสอบได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่า แค่ให้ตรวจบัญชีพระ พศ.ก็ไม่กล้าทำแล้ว

“ตอนผมบวชที่วัดทองนพคุณ ท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ อดีตเจ้าคุณจังหวัดธนบุรี ท่านบอกเลยเงินสงฆ์กับเงินส่วนตัวต้องแยกกัน พระต้องทำบัญชี ท่านก็ไปบอกผมให้สอนพระทำบัญชี แล้วตรวจบัญชี ถ้าพระผิดครั้งแรกท่านให้อภัย ครั้งที่สองท่านประณาม ครั้งที่สามท่านถอดเลย ท่านบอกว่า พระมีค่าตัวบาทเดียว โกงบาทเดียวก็หมดจากความเป็นพระ แต่พระตอนนี้มีเงินไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้าน เพราะฉะนั้นหากตรวจสอบพระไม่ได้ ทุกอย่างก็เหลวหมด”

“ถ้าคุณไม่กล้ายุบมหาเถรสมาคม ก็ต้องออกกฎเกณฑ์ว่า เงินทองต่างๆ ทั้งหมดจะต้องโปร่งใส แต่ถ้ากล้า ก็ต้องไปใช้ พ.ร.บ. 2484 ให้สมเด็จพระสังฆราชเป็นกลาง แต่ผมเชื่อว่าประยุทธ์ (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี) เขาไม่กล้า เพราะเขาเป็นคนแหย กลายเป็นว่าประยุทธ์ไปให้สำนักพุทธฯ ดูแล ไอ้สำนักพุทธฯ มันไม่ใช่หมอ มันเป็นเชื้อโรค จะให้มันแก้ได้ยังไง ถ้าประยุทธ์กล้า บอกว่า ‘ปฏิรูปสงฆ์ไม่เรียบร้อย บ้านเมืองจะเรียบร้อยได้ยังไง’ ต้องตบโต๊ะอย่างนี้เลย แต่แค่นี้ก็ไม่กล้าแล้ว” ส.ศิวรักษ์ ระบุ

กล้าจริงต้องยกเลิกสมณศักดิ์

สุลักษณ์ ยืนยันว่า ปัญหาสำคัญที่บั่นทอนความศรัทธาของพุทธศาสนิกชนต่อศาสนาก็คือ การที่พระมียศถาบรรดาศักดิ์และมีสมณศักดิ์ จนต้องซื้อขายตำแหน่งกันในมูลค่ามหาศาล

“พูดตรงไปตรงมา ก็ควรจะยกเลิก สิ่งหนึ่งที่คณะราษฎรพลาด คือเข้าเลิกบรรดาศักดิ์คน แต่ไม่ได้เลิกสมณศักดิ์พระ ถ้าไม่เลิก พระจะมีจุดยืนทางราชาธิปไตย มีจุดยืนในศักดินา และพระจะไม่มีความเป็นประชาธิปไตยเลย ทั้งที่ประชาธิปไตยเป็นเนื้อหาสำคัญในศาสนาพุทธ”

ส.ศิวรักษ์ ยืนยันว่า ในสมัยพุทธกาล พระทุกรูปเสมอภาคกันหมด ไม่ว่าพระที่เป็นลูกพระเจ้าแผ่นดิน หรือพระที่เป็นลูกโสเภณี มันต้องเสมอกันหมด แต่ในปัจจุบันบ้านเรามีสมเด็จ มีเจ้าคุณแล้วสมเด็จบางคนอายุน้อย ก็เลิกเคารพเจ้าคุณที่อาวุโสกว่าไปเลย ทั้งที่หลักอาวุโสของพระมีความสำคัญมาก

“พอระดับเจ้าคุณ เจ้าคณะก็นั่งรถยนต์แข่งกัน เจ้าคณะอำเภอต้องรถเบนซ์ ส่วนเจ้าคณะภาคต้องวอลโว่ ขณะที่ทุกวัดติดป้ายมหาเถรสมาคมให้คนถือศีล 5”

เขาบอกอีกว่า ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนส่วนใหญ่ไม่เห็นสาระสำคัญของศาสนา และใส่บาตรเพื่อให้รู้สึกว่าได้ทำบุญแล้วเท่านั้น

“เช้าๆ พระมารับบาตร คุณลองสังเกตดูว่ามีพระสักองค์ไหมที่น่าเลื่อมใส เขายืน นั่งเหมือนขอทาน แล้วมีถุงมาใส่ใหญ่เบ้อเริ่ม ยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งที่พระวินัยบอกว่าบาตรเดียวต้องกลับแล้ว แต่อันนี้เดินจนถุงใหญ่ แล้วใส่เงินกัน ซึ่งพระวินัยบอกว่า เงินนี่ก็แตะต้องไม่ได้ รับแล้วต้องโยนทิ้ง ไม่งั้นปลงอาบัติไม่ตก แต่ก็ยังรับเงิน”

“คณะสงฆ์ต้องมุ่งความบริสุทธิ์มาก เพราะเป็นบรรพชิต ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับกาม ตอนนี้เกี่ยวกับกามทั้งนั้น ตอนนี้คนไม่สนใจพระ เราแค่ให้พระเป็นเหมือนพราหมณ์ งานแต่งงาน งานศพ มาสวดให้ แต่สมัยโบราณเขาถือว่าพระเป็นสัญลักษณ์สังคม ถ้าพระทำชั่ว เช่น เข้าพรรษา ถ้าพระทะเลาะกัน ก็ไม่มีคนมาทอดกฐิน หรือถ้าพระนอนกับผู้หญิงก็ต้องสึก คณะสงฆ์ต้องเป็นรูปแบบให้ฆราวาสเห็นว่าชีวิตที่เรียบง่าย อดออม นั้นดีกว่า ชีวิตที่เจริญสมาธิภาวนาดีกว่า ตอนนี้พระไม่ทำกลายเป็นว่าคณะสงฆ์ก็แย่ สังคมก็แย่ ทุกอย่างเสร็จหมดเลย”ส.ศิวรักษ์ ระบุ

ผมศักดิ์สิทธิ์กว่าธรรมกาย

การเติบโตของวัดพระธรรมกายตลอดช่วง 20-30 ปีที่ผ่านมา สร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับศาสนาพุทธอย่างมาก เพราะนอกจากหลักธรรมคำสอนจะฉีกจากแนวคำสอนของพระพุทธศาสนาก่อนหน้านี้การทำการตลาดผ่านแคมเปญต่างๆ เพื่อให้ลูกศิษย์บริจาคเข้าวัด ก็กลายเป็นฐานสำคัญที่ทำให้ขนาดของวัดและขนาดของศิษย์ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ

สุลักษณ์ บอกว่า หลักการของธรรมกายนั้นชัดเจนว่าอุดหนุนทุนนิยมและบริโภคนิยม โดยมีหลักคำสอนชัดเจนว่า หากทำบุญเท่าไร จะได้อะไรตอบแทนกลับมาบ้าง

“เขาประกาศเลยครับ ทำบุญกี่แสนจะได้เห็นพระพุทธเจ้า คนมันก็ถูกมอมเมาไปทางนี้กันหมด แล้วธรรมกายเขาก็ถวายเงินกรรมการมหาเถรสมาคมบ้าง โดยที่พระไม่รู้สึกเลยว่านั้นเป็นการติดสินบน สมเด็จฯ บางคนนี่เคลิ้มเลยว่าเดินบนดอกดาวเรืองแล้วนุ่ม ทั้งที่ไม่รู้เลยว่าผิดพระวินัย”สุลักษณ์ ระบุ

“แล้วเขาบวชพระทีเป็นหมื่นเป็นแสนรูป ทั้งที่จำนวนการบวชไม่ได้มีสาระสำคัญอะไรเลย ยิ่งบวชมากไม่ใช่ได้บุญนะครับ อย่างวัดท่านอาจารย์ชา (หลวงปู่ชา สุภัทโท วัดหนองป่าพง) ต้องไปเป็นปะขาวก่อน 1 ปี เปลี่ยนนิสัยจากฆราวาสเป็นพระ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ของง่าย บวชเป็นหมื่นเป็นแสน นี่คือเห็นการบวชเป็นของเล่นครับ”สุลักษณ์ ระบุ

นอกจากนี้ ธรรมกายยังใช้ลูกศิษย์อย่างนักการเมือง เจ้าของบริษัทใหญ่ เพื่อให้อุปถัมภ์ค้ำชู อย่างไรก็ตามหากรัฐบาลชุดนี้ซึ่งเป็นรัฐบาลเพื่อการปฏิรูปกล้าใช้ระบบตรวจสอบการเงินที่เข้มแข็ง รวมถึงเอาผิด หากตรวจพบความไม่ชอบมาพากลจริง วัดพระธรรมกายก็ล้มได้ไม่ยากนัก

“เขาไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์อะไรหรอก ตอนที่พระลิขิตออกมาครั้งแรก ผมออกทีวีกับหลวงเตี่ย (พระธรรมราชานุวัตร อดีตรองเจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) แล้วทีวีชุดนี้ที่อเมริกา เขาบอกใครต้องการเขาให้ฟรีหมด แจกกันสองพันกว่าชุด ผมก็บอกว่าธรรมกายไม่ดียังไง ธรรมกายประชุมกันเลย 4 หมื่นคน จะเผาหุ่นผม แต่ผมศักดิ์สิทธิ์กว่า เพราะพอจะเผา ฝนตกครับ แล้วสุดท้ายฟ้าผ่า สุดท้ายงานก็ล่ม นี่กลายเป็นว่าผมศักดิ์สิทธิ์มากกว่าอีก”

แม้คณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ที่มี ไพบูลย์ นิติตะวัน เป็นประธาน จะยุบเลิกไปแล้ว แต่สุลักษณ์ก็สนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ดึงคนจากคณะกรรมการมาทำหน้าที่ศึกษาและปฏิรูปศาสนาในเชิงระบบต่อ มากกว่าจะหวังพึ่งให้มหาเถรสมาคมและสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมาทำหน้าที่ปฏิรูป เพราะทั้งสองหน่วยงานในมุมมองสุลักษณ์ เป็นเหมือน “เชื้อโรค” ที่ไม่มีทางรักษาโรคได้

“หลายคนในกรรมการมีกึ๋น อย่าง สันติสุข โสภณศิริ นี่เขาก็จับเรื่องนี้มานาน หรืออย่าง มโน (นพ.มโน เลาหวณิช) นี่เขาเคยเป็นเบอร์ 3 ของธรรมกาย เพราะฉะนั้นเราต้องให้คนพวกนี้ทำงานมากๆ ผมยังหวังว่าเผด็จการอย่างคุณประยุทธ์จะกล้าทำเรื่องนี้ เพราะถ้าไม่ทำ คณะสงฆ์เราก็จะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม หากฆราวาสไม่เปลี่ยนแนวคิดที่มีต่อพุทธศาสนานั้น ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดวัดอย่างวัดพระธรรมกาย หรือวัดที่เน้นพุทธพาณิชย์ เกิดขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นหลักการที่อาจสำคัญกว่าก็คือพุทธศาสนิกชน ถึงเวลาคิดแล้วว่า จะทำบุญใส่บาตรกันเหมือนเดิม หรือจะกลับมาฉุกคิดให้มากขึ้น

“เดี๋ยวนี้เวลาใส่บาตร ขออะไรกัน ขอให้ถูกหวย ขอให้รวย นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ เมื่อก่อนใส่บาตรก็เพื่อลดความเห็นแก่ตัวจนถึงนิพพาน ให้คณะสงฆ์ดำรงชีพอยู่ได้ เพราะพระอยู่ได้ด้วยสิ่งนี้”

“แต่ในมุมมองพวกเราจำนวนมาก กลับมองว่าศาสนาพุทธคือการไปปลุกเสกพระเครื่อง เราก็ไม่รู้สึกว่าผิดเลย กลายเป็นไสยศาสตร์มันคุมคนหมด เช้าคนมาใส่บาตร ขอถูกหวย หากไม่กลับไปหาสาระที่แท้จริง อย่างการให้คนลดความโลภ โกรธ หลง รู้จักถาม รู้จักเถียง เราก็จะมีแต่วัดและพระที่มอมเมาเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ” สุลักษณ์ แสดงความคิดเห็น

สุลักษณ์ บอกอีกว่า ขณะนี้ถึงเวลาแล้วที่ต้องกลับไปยึดหลักคิดสมัยโบราณ ที่บอกว่าเมืองจะศักดิ์สิทธิ์ได้ ต้องมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ และมีพระสงฆ์เป็นที่เคารพนับถือมาเป็นพระราชาคณะ มากกว่าจะเป็นพระสงฆ์อะไรก็ได้ที่เข้ามาทำพิธีอย่างเดียว

“ในสมัยโบราณนั้นมองว่า ราชธานีนั้นศักดิ์สิทธิ์ มองว่า เมืองอื่นๆ การที่จะศักดิ์สิทธิ์ได้ก็ต้องมีพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ ไปตีเวียงจันทน์ ก็ต้องอัญเชิญพระแก้วมรกตมา พระอนุชาธิราชไปตีเมืองเชียงใหม่ก็อัญเชิญพระพุทธสิหิงค์มา การนำมาไว้ที่เมืองหลวงนั้นถือว่าเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ตั้งพระราชาคณะที่มาจากพระที่มีศีลาจารวัตรที่งดงามขึ้น”

“อย่างสมเด็จพระพุฒาจารย์โตนี่ ท่านหนีนะครับ เพราะท่านกลัวท่านไม่ดีพอ ไม่รับสมณศักดิ์ จนรัชกาลที่ 4 ต้องมาขอให้ท่านเป็น เพราะถือเป็นศรีแก่บ้านเมือง คอยเตือนสติพระเจ้าแผ่นดิน แต่ตอนนี้ตั้งไปอย่างไม่รู้เรื่องเลย อะไรเคยทำก็ทำกัน ติดสินบนกันแบบนี้ ไม่เข้าหาสาระของศาสนาพุทธที่สอนให้คนละความโลภ โกรธ หลง รู้จักถามปัญหา รู้จักเถียง แต่ไม่มีในเมืองไทยเลย หากเป็นกันอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ เราก็จะถอยหลังไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องช่วยกันปกป้องสาระของศาสนาพุทธไว้ครับ อย่าให้เรื่องอื่นมาบดบัง” สุลักษณ์ ระบุ


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ถึงเวลา ยกเครื่องศาสนา พระ ตรวจสอบบัญชีได้

view