สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นายกฯลั่นเร่งรัดมาตรฐานธุรกิจใหม่เป็นสากล

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"พล.อ.ประยุทธ์" พบปะนักธุรกิจ สภาธุรกิจสหรัฐ-อาเซียน ขอบคุณ สนับสนุนการค้า การลงทุนในไทย ลั่นเร่งรัดมาตรฐานธุรกิจใหม่เป็นสากล

 ผู้สื่อข่าวรายงานภารกิจการเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติ ระดับผู้นำเพื่อรับรองวาระการพัฒนาภายหลัง ปี ค.ศ. 2015 และการประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญ ครั้งที่ 70 ของ พล.อ.ประยุทธ์  จันทร์โอชา  นายกรัฐมนตรี ณ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 23 กันยายน – 1 ตุลาคม 2558 ว่า เมื่อเวลา 18.00 น.ตามเวลาท้องถิ่น  ซึ่งช้ากว่าเวลาประเทศไทย 11 ชั่วโมง พล.อ.ประยุทธ์ ได้พบปะและหารือระหว่างอาหารค่ำกับผู้แทนจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา -อาเซียน (USABC) และผู้แทนระดับสูงจากบริษัทต่าง ๆ ประกอบด้วยบริษัทเชฟลอน จีเอสเค และฟิลลิป มอร์ลิส              

 พล.ต.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังนายกรัฐมนตรีร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำ กับผู้แทนจากสภาธุรกิจ สหรัฐอเมริกา - อาเซียน ว่า นายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณUSABC ที่เป็นผู้สนับสนุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจการค้าการลงทุน ไทย-สหรัฐฯ และมีส่วนช่วยอธิบายพัฒนาการต่าง ๆ ในไทย ซึ่งช่วยให้หลาย ๆ ฝ่ายในสหรัฐฯ เข้าใจไทยดีขึ้น บริษัทยังเชื่อมั่นและยังคงดำเนินธุรกิจและหลายบริษัทได้เพิ่มการลงทุนใน ประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยนายกรัฐมนตรีได้กล่าวว่า“รัฐบาลมีความจำเป็นต้องเข้ามาสร้างเสถียรภาพ ท่ามกลางความแตกแยกตลอดเกือบ 10 ปีที่ผ่านมา พร้อมไปกับการเสริมสร้างเสถียรภาพและความมั่นคง รัฐบาลได้ปฏิรูปและแก้ปัญหาต่าง ๆ ของประเทศที่สั่งสมมาเป็นเวลานาน โดยมีเป้าหมายเพื่อทุกภาค ทั้งภาคธุรกิจและประชาชนสามารถทำมาหากินและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น รัฐบาลชุดปัจจุบันมีความตั้งใจดีที่จะปูพื้นฐานให้รัฐบาลในอนาคต สามารถเดินหน้าพัฒนาประเทศไปด้วยความสะดวกและไม่มีเจตนาจะครองอำนาจเพื่อตน เอง สำหรับภาคธุรกิจ รัฐบาลได้เร่งรัดทั้งเรื่องปรับปรุงมาตรฐานธุรกิจใหม่ให้มีความเป็นสากลและ ลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนเพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนค้าขายกับประเทศ ไทย”                  

นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงสถานการณ์ ในประเทศไทยช่วงที่ผ่านมาว่า  ปัญหาทางการเมืองที่เกิดขึ้นทำให้การบริหารประเทศ ต้องหยุดชะงัก ภาคธุรกิจได้รับผลกระทบ อย่างมาก ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องเข้ามาสร้างความสงบเรียบร้อย ทำให้บ้านเมืองมีเสถียรภาพ  สร้างความปรองดองในชาติ เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ และขอยืนยันเดินหน้าตาม Roadmap และการปฏิรูปตามที่รัฐบาลได้เคยประกาศไว้ เพื่อขับเคลื่อนประเทศ ไปข้างหน้าโดยยึดถือหลักนิติธรรม วางรากฐานความมั่นคงทางสังคม เศรษฐกิจ และการต่างประเทศ เพื่อให้รัฐบาลต่อไปสามารถดำเนินนโยบายได้อย่างต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม             

ทั้งนี้ รัฐบาลตั้งใจแก้ไขปัญหาที่สะสมไว้มานาน ซึ่งที่ผ่านมาถูกละเลย อาทิ การแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ และการทำประมงผิดกฎหมาย  โดยได้ดำเนินการออกกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมการต่อต้านการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551  พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2558  พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในการจัดการกับผู้กระทำผิด ที่เกี่ยวข้องกับสื่อลามกอนาจารเด็ก รวมไปถึงปฏิบัติการแก้ไขปัญหาแรงงานประมงผิดกฎหมาย รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างจริงจังกับผู้ใช้แรงงานทาส การค้ามนุษย์ โดยถือเป็นวาระแห่งชาติ สำหรับเรื่องของ IUU รัฐบาลยืนยันเจตนารมณ์ทางการเมืองที่จะจัดการกับการประมงผิดกฎหมาย และจะทำอย่างเต็มที่เพื่อให้สินค้าประมงจากประเทศไทยปราศจากกระบวนการที่ผิด กฎหมาย ซึ่งหวังว่า USABC และสภาหอการค้าสหรัฐฯ จะช่วยให้ข้อมูลทำความเข้าใจกับบริษัทนำเข้าสินค้าประมงสหรัฐ ฯ เล็งเห็นถึงความตั้งใจจริงของรัฐบาลไทย                    

นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า การเลือกตั้งจะมีขึ้นในปี 2560 ตามขั้นตอนของ Roadmap  ดังนั้น รัฐบาลจะใช้เวลาที่มีอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศด้วยการวางราก ฐานการปฏิรูปประเทศในทุกด้านให้มีความเป็นสากล พัฒนาเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน วางระบบโครงสร้างพื้นฐานในด้านต่างๆ และอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนไม่ว่าจะเป็น การปรับกฎระเบียบและข้อตกลงให้มีมาตรฐานสากล  การเตรียมความพร้อมไปสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค  ทั้งในด้านการผลิตสินค้า การให้บริการ และการส่งเสริมการลงทุน รวมไปถึง การพัฒนาบุคลากร/ แรงงานฝีมือให้มีคุณภาพควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในการคมนาคมขน ส่งและโลจิสติกส์ให้ทันสมัย                              

ทั้งนี้ การปฏิรูปประเทศและการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้น จะดำเนินการควบคู่ไปกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ซึ่งรัฐบาลมุ่งแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังเร่งด่วน โดยรัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (คตช.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธานและมีตัวแทนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชน และ NGO เข้ามาร่วมดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจัง  นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้ง คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายโครงการของรัฐ (คตร.) เพื่อดูแลการใช้จ่ายเงินงบประมาณให้เป็นไปอย่างโปร่งใส  โดยทำงานควบคู่ไปกับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ปปช.) และสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) นอกจากนี้รัฐบาลได้ริเริ่มนำสัญญาคุณธรรมมาใช้ในการประมูล จัดซื้อจัดจ้างโครงการของภาครัฐ เพื่อเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญภาคประชาสังคมสามารถตรวจสอบความโปร่งใส รวมทั้งการนำระบบการลงทุนการก่อสร้างภาครัฐ (CoST: Construction Sector Transparency) เข้ามาใช้ในการลงทุนของรัฐวิสาหกิจ ให้มีการเปิดเผยข้อมูลการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล   ขอให้มั่นใจได้ว่า หากเข้ามาร่วมลงทุนในประเทศไทยแล้ว การลงทุนนั้นจะมีมาตรฐาน เป็นไปอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้              

สำหรับการพัฒนาการศึกษา อันจะนำไปสู่การพัฒนาบุคลากรของประเทศให้มีคุณภาพ  สอดคล้องกับการพัฒนาประเทศที่ก้าวไปข้างหน้า รัฐบาลได้มีการตั้งคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา โดยมีผู้เชี่ยวชาญ  ด้านการศึกษา มาร่วมกันคิด เสนอแนะแนวทางการปฏิรูปเพื่อพัฒนาและยกระดับคุณภาพการศึกษาในทุกระดับชั้น นับตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงอุดมศึกษา รวมทั้งระดับอาชีวะ เพื่อนำไปสู่การพัฒนาฝีมือแรงงานที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานนอกเหนือจากการพัฒนามาตรฐานฝีมือโดยทั่วไปแล้ว รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการพัฒนาคุณภาพแรงงานในภูมิภาคและในเขตเศรษฐกิจพิเศษ ให้สอดคล้องกับความต้องการของภาคธุรกิจที่เข้ามาลงทุน  ซึ่งหากบริษัทใด มีการฝึกอบรม และส่งเสริมการทำวิจัยและพัฒนา  รวมไปถึงสถาบันการศึกษาต่างประเทศ ที่สนใจจะเข้ามาลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษนั้น  จะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น การลดหย่อนทางภาษี หรือการได้รับความอำนวยความสะดวกเป็นกรณีพิเศษ ซึ่งรัฐบาลจะแจ้งให้ทุกท่านรับทราบต่อไป  ทั้งนี้ หวังว่าจะมีบริษัทสหรัฐฯ และสถาบันการศึกษาสนใจเข้ามาร่วมมือกับภาครัฐในการพัฒนาการศึกษาและพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์มากยิ่งขึ้น เช่น บริษัท Chevron ที่ได้จัดทำโครงการ Thailand Partnership Initiative เพื่อส่งเสริมการศึกษาด้าน สะเต็ม (STEM) และอาชีวศึกษา 

สำหรับการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจถือเป็นหัวใจสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ รัฐบาลให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ที่ภาครัฐจะส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งในทุกภูมิภาค ผ่านการส่งเสริมการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษ (Special Economic Zone) การลงทุนใน Super Cluster และ การลงทุนด้านนวัตกรรม  ซึ่งจะมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญเชื่อมโยงกันในแต่ละพื้นที่  การให้สิทธิประโยชน์ในการเข้ามาลงทุนเป็นพิเศษ และการส่งเสริมให้เกิดความสะดวกรวดเร็ว และง่ายต่อการที่ภาคธุรกิจจะเข้ามาลงทุน    ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวนี้ จะควบคู่ไปกับการลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเข้มแข็งในท้องถิ่น  ผสมผสานความเข้มแข็งจากภายในด้วยการสนับสนุนและพัฒนาจากภายนอก

ในการส่งเสริมความเข้มแข็งจากภายนอกสู่ภายใน รัฐบาลจะสร้าง Cluster ในอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพและ Super Cluster ในอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่ใช้เทคโนโลยีสูง เพื่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ด้านในของประเทศส่งเสริมการกระจายตัวของเขต อุตสาหกรรมและการสร้างอุตสาหกรรมใหม่ๆ โดยกำหนดพื้นที่ภายในประเทศ 9 แห่ง (กระจายอยู่ในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันตกและภาคใต้) เพื่อเป็นที่ตั้งของ Cluster ในอุตสาหกรรมเป้าหมาย มุ่งเน้นอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และอุตสาหกรรมแห่งอนาคต เช่น ธุรกิจการแพทย์เครื่องมือแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์โทรคมนาคม  และอุตสาหกรรมที่ประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตอยู่เป็นทุนเดิม เช่น เกษตรแปรรูป สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 

ทั้งนี้ จะให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี (เช่น ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี  ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้เชี่ยวชาญชั้นนำที่เข้ามาทำงานใน ประเทศ ยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร) และสิทธิประโยชน์ที่ไม่ใช่ภาษีกับผู้ลงทุน (เช่น พิจารณาให้ถิ่นที่อยู่ถาวรสำหรับผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ) รวมถึงการพิจารณายืดอายุการเช่าที่ดิน และคิดค่าเช่าในพื้นที่ราคาพิเศษ  

ขณะเดียวกัน เพื่อให้ธุรกิจขนาดเล็กภายในประเทศ (SMEs) สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทั่วโลก รัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือในเรื่องของแหล่งเงินทุน โดยมีการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำแก่ SMEs ในวงเงิน 100,000 ล้านบาท และลดภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับ SMEs จากร้อยละ 20 เหลือร้อยละ 10 รวมถึงการสนับสนุนการสร้างนักธุรกิจหน้าใหม่  ผ่านกองทุนร่วมทุน และยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับธุรกิจที่ตั้งใหม่ที่เป็นธุรกิจที่ใช้นวัตกรรม (มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม) เป็นระยะเวลา 5 ปี

นอกจากนี้ ภาครัฐยังให้ความสำคัญกับการลดความเหลื่อมล้ำ และช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรในท้องถิ่น ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญของภาคการผลิตของไทย และเป็นแหล่งสนับสนุนในเรื่องของปัจจัยการผลิตหลักให้แก่ภาคธุรกิจ  โดยได้มีการดำเนินมาตรการทั้งในเรื่องการส่งเสริมแหล่งเงินทุนและการจัดทำ โครงการขนาดเล็ก ส่งเสริมธุรกิจชุมชนต่าง ๆ  ซึ่งหากชุมชนเข้มแข็งแล้ว ก็จะเป็นกำลังสำคัญในเรื่องของ Value Chain ให้แก่ ภาคธุรกิจที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

ล่าสุด ธนาคารโลกจัดให้ไทยอยู่ในอันดับที่ 26 ของโลกในเรื่องความสะดวกในการทำธุรกิจเพื่อให้การทำธุรกิจสะดวกยิ่งขึ้นอีก รัฐบาลจึงได้กำหนดแนวทางเพื่อลดขั้นตอนการพิจารณาอนุมัติต่างๆ ของส่วนราชการให้ใช้ระยะเวลาสั้นลง และเป็นภาระกับผู้ประกอบการน้อยที่สุด  ดังเช่น ในเรื่องการขอใบอนุญาตประกอบการ และการติดต่อกับหน่วยงานราชการต่างๆ ที่ต้องผ่านหลายหน่วยงาน  ภาครัฐจึงมีมาตรการที่จะปรับ One Stop Service ให้สามารถลดระยะเวลา ลดการใช้ดุลยพินิจและขั้นตอนในการต้องไปติดต่อกับหน่วยราชการหลายแห่ง ซึ่งอยู่ในระหว่างดำเนินการขณะนี้  ผลพลอยได้ด้านหนึ่งที่สำคัญในนโยบายและมาตรการของการปรับปรุงปฏิรูปกฎหมาย กฎระเบียบ ให้เป็นสากลยิ่งขึ้น การยกระดับมาตรฐานแรงงาน การเอื้อประโยชน์ต่อการค้าการลงทุน  ก็เพื่อเตรียมประเทศไทยให้พร้อมในกรณีที่รัฐบาลในวันข้างหน้าจะมีการตัดสิน ใจเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (TPP) ด้วย 

ในตอนท้าย นายกรัฐมนตรียังให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลยังคงเดินหน้ามุ่งสู่การเลือกตั้งและการเป็นประชาธิปไตยตามที่ได้ ตั้งใจไว้  ประเทศจะขับเคลื่อนและเป็นประชาธิปไตยได้พร้อมๆ กับบ้านเมืองที่มีเสถียรภาพ มีการพัฒนาคน สังคมและเศรษฐกิจที่ยั่งยืน  

อนึ่ง  USABC เป็นองค์กรธุรกิจที่มีสมาชิกเป็นบริษัทชั้นนำที่เข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจกับ ประเทศไทยและในอาเซียน มีบทบาทในการสนับสนุนและส่งเสริมความสัมพันธ์ด้านการค้าการลงทุนระหว่างไทย กับสหรัฐฯ  และยังมีส่วนช่วยผลักดันให้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติของสหรัฐฯ ให้ความสนใจไทยและอาเซียนอย่างสม่ำเสมอ  สมาชิก USABC ครอบคลุมอุตสาหกรรมสำคัญ กลุ่มยา/เวชภัณฑ์  อาทิ Abbott, GlaxoSmithKline, Merck และ Pfizer กลุ่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ / เครื่องดื่มน้ำอัดลมและอื่นๆ  ได้แก่ – Brown-Forman, Diageo และ Coca-Cola  กลุ่มยาสูบ - Philip Morris  กลุ่มอุตสาหกรรม - Caterpillar (ก่อสร้าง), Ford Motor (รถยนต์), Guardian (กระจก)  กลุ่มพลังงาน - Chevron, Conoco Phillips, General Electric และ Westinghouse  กลุ่มจัดส่งด่วน (Express Delivery Service - EDS) – FedEx และ UPS  กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ - Google, IBM, Oracle และ Time Warner   กลุ่มบริษัทที่ปรึกษา - Deloitte and Touche (ด้านภาษี การเงิน และการประกอบธุรกิจ)  กลุ่มประกันภัย – Chartise (AIG) และกลุ่มบริษัทบัตรเครดิต อาทิ–Visa และ Mastercard เป็นต้น


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : นายกฯลั่น เร่งรัด มาตรฐานธุรกิจใหม่ เป็นสากล

view