สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นโยบายที่สับสนของทรัมป์ โดย วีรพงษ์ รามางกูร

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ คนเดินตรอก โดย ดร.วีรพงษ์ รามางกูร

ทั่วโลกขณะนี้กำลังสนใจว่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาโดนัลด์ ทรัมป์ จะพาอเมริกาไปทางไหน เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศเปลี่ยนนโยบายอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็นนโยบายเศรษฐกิจ นโยบายการค้าระหว่างประเทศ เป้าหมายการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ นโยบายเกี่ยวกับจีน เกาหลีเหนือ เกาหลีใต้ เส้นทางเดินเรือในเขตมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งสนธิสัญญต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญาเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ สนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือและอื่น ๆ ก็เป็นข่าวไปทั่วโลกทุกวัน

เมื่อเร็ว ๆ นี้ ก็ประกาศปลดผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลาง หรือ เอฟ.บี.ไอ. เพราะเอฟ.บี.ไอ.กำลังสอบสวนกรณีมีข่าวว่าประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียมีส่วนช่วยโดนัลด์ ทรัมป์ ในการแข่งขันกับฮิลลารี่ คลินตัน ในการเลือกตั้งประธานาธิบดี จนโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง 

ซึ่งคนอเมริกาถือกันมากว่า เป็นเรื่องใหญ่ อาจจะถูกกล่าวหาจนนำไปสู่ขบวนการถอดถอน อย่างเดียวกับกรณีวอเตอร์เกตของประธานาธิบดีนิกสันก็ได้ การปลดนายเจมส์ โคนีย์ ยิ่งทำให้ผู้คนเชื่อว่าเรื่องที่โดนัลด์ ทรัมป์ใช้บริการของประธานาธิบดีปูตินในการช่วยในการเลือกตั้งเป็นความจริง ซึ่งเท่ากับประธานาธิบดีอเมริกาเป็นทาสของผู้นำประเทศอื่น โดยเฉพาะคู่แข่งของอเมริกาอย่างรัสเซีย

นอกจากนั้นนโยบายบางอย่างของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ก็เป็นนโยบายทำร้ายคนจน เช่น ยกเลิกโครงการประกันสุขภาพของประธานาธิบดีบารัก โอบามา และเอาใจคนรวยโดยการลดภาษีเงินได้ ซึ่งผู้ที่จะได้รับประโยชน์คือคนรวยบนสุดเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของประชากรอเมริกัน

ทรัมป์เข้าใจผิดคิดว่าประเทศที่เกินดุลการค้ากับอเมริกาเป็นประเทศที่ปล้นเอางานไปจากคนใช้แรงงานในอเมริกา ดังนั้นต้องจัดการกับทุกประเทศที่เกินดุลกับอเมริกาให้ทั้งสองฝ่ายมีการค้าได้ดุลซึ่งกันและกัน คือจะนำเข้าสินค้าและบริการเท่ากับมูลค่าการส่งออกสินค้า และบริการไปยังประเทศนั้น ซึ่งผิดหลักการค้าระหว่างประเทศ และสหรัฐก็ไม่มีปัญญาทำตัวขืนทำก็คงเลิกเองกันไปทั้งโลก องค์การการค้าโลกก็คงเป็นอันต้องเลิก

ขณะเดียวกัน โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะเก็บภาษีนายทุนอเมริกันที่นำเงินทุนไปลงทุนสร้างโรงงาน และสร้างงานให้กับต่างประเทศแล้วส่งสินค้ากลับมาขายในอเมริกา และจะลดภาษีให้ ถ้าย้ายทุนและโรงงานกลับเข้ามาผลิตในประเทศ ซึ่งเป็นไปไม่ได้แล้ว เพราะค่าแรง ชีวิตความเป็นอยู่โดยทั่วไปของแรงงานอเมริกันมีต้นทุนสูงกว่าชาวโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศในทวีปเอเชียเป็นอันมาก 

หากโดนัลด์ ทรัมป์ ทำเช่นนั้นก็หมายความว่าต้องตั้งกำแพงภาษีกีดกันการนำเข้าจากต่างประเทศ เก็บภาษีนายทุนอเมริกันที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ตลาดมืดก็คงจะเกิดขึ้นทั่วไป แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นเมื่อสหรัฐอเมริกาประกาศห้ามผู้ผลิตสุรา ทั่วประเทศก็เกิดการลักลอบผลิตและนำเข้าสุราเป็นอันมาก

ทรัมป์เข้าใจผิดคิดว่าการเกินดุลกับอเมริกาเป็นการเอาเปรียบอเมริกา ถ้าคิดกลับกันชาวโลกเสียเปรียบอเมริกา เพราะชาวโลกต้องผลิตสินค้าและบริการให้ชาวอเมริกาใช้มากกว่าสินค้าและบริการที่ชาวอเมริกันผลิตให้กับชาวโลกใช้ อเมริกาสามารถดำรงอยู่ได้ตลอดไปเป็นเวลานานโดยการพิมพ์เงินหรือสร้างเงินลงบัญชีติดหนี้ชาวโลกไปได้เรื่อย ๆ ชาวโลกไม่มีทางเลือก เพราะเงินดอลลาร์เป็นเงินสกุลเดียวที่ใช้ได้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ และต่างประเทศต้องซื้อไว้เป็นเงินทุนสำรอง แม้ว่าระยะยาวอเมริกาจะเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดของโลก และก็เป็นอยู่แล้วและไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา โดนัลด์ ทรัมป์ดำเนินนโยบายเศรษฐกิจ ตามคำแนะนำของพรรคพวกที่เป็นนักธุรกิจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ส่วนรวมของคนอเมริกันและของโลก

การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีอากรและการตลาดกับนายทุนอเมริกัน ถ้านำเงินทุนมาลงในสหรัฐอเมริกา และลงโทษนายทุนที่นำเงินไปลงทุนในต่างประเทศโดยการรับภาษีและกีดกันการที่จะส่งกลับเข้ามาขายในตลาดสหรัฐอเมริกาในทางการเมืองฟังดูดี และเป็นการทำร้ายตัวเองในระยะยาว เพราะจะทำให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการที่ไม่มีประสิทธิภาพในการแข่งขันสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องปรับปรุงตัวเอง ความไม่มีประสิทธิภาพก็คือไม่สามารถทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลงไปสามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ผู้ที่จะต้องรับภาระอุ้มชูผู้ผลิตที่ไม่มีประสิทธิภาพเหล่านี้ก็คือ ผู้บริโภคและผู้เสียภาษีชาวอเมริกันนั่นเอง

มีงานวิจัยว่า บรรดาประเทศที่เป็นสมาชิกของสนธิสัญญาเขตเศรษฐกิจอเมริกาเหนือ อันได้แก่ แคนาดา อเมริกา และเม็กซิโก ประเทศที่ได้ประโยชน์มากที่สุดในทางเศรษฐกิจก็คือ อเมริกา ทั้ง ๆ ที่เป็นตลาดของสินค้าที่ผลิตจากแคนาดา ขณะเดียวกันอเมริกาก็ได้เปรียบจากการค้าขายกับเม็กซิโก เพราะอเมริกาส่งสินค้าและบริการไปขายที่เม็กซิโกมากกว่าการนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากเม็กซิโก

ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศว่าจะดันให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวไม่น้อยกว่าร้อยละ 3 ต่อปี จะต้องสร้างงานให้เพียงพอกับแรงงานอเมริกัน ทั้ง ๆ ที่อัตราการว่างงานในสหรัฐอเมริกาอยู่ในระดับต่ำที่สุดในรอบหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาคือ อยู่ในระดับเพียงร้อยละ 4-5 โดยจะส่งเสริมการลงทุนในประเทศ กีดกันหรือใช้ภาษีลงโทษทุนอเมริกันที่ไปลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งเป็นปรัชญาที่กลับกันกับปรัชญาเศรษฐกิจของพรรครีพับลิกันที่เป็นพรรคที่สนับสนุนเศรษฐกิจการค้า การลงทุนเสรีนิยม ลดบทบาทของรัฐบาลในการแทรกแซงตลาดและเศรษฐกิจ นโยบายเศรษฐกิจจึงเป็นนโยบายที่ดูจะสับสนไม่เป็นไปตามหลักวิชา 

ที่น่าสังเกตก็คือ โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่ใช้ที่ปรึกษาเศรษฐกิจที่เป็นนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเหมือนกับประธานาธิบดีคนอื่น ๆ ของสหรัฐเลย แต่จะใช้นักธุรกิจที่เป็นพรรคพวกเป็นที่ปรึกษา นโยบายเศรษฐกิจมหภาคโดยส่วนรวมจึงสับสนและขัดแย้งกันเอง เพราะโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจในเรื่องเศรษฐกิจเป็นเรื่อง ๆ ไป แล้วแต่จะเกิดมีประเด็นทางเศรษฐกิจอะไรเกิดขึ้น

กระแสชาตินิยมทางเศรษฐกิจมิได้เกิดที่สหรัฐอเมริกาเท่านั้น แต่แพร่กระจายไปถึงยุโรป ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และที่อื่น ๆ ด้วย กระแสดังกล่าวทำให้เกิดปรากฏการณ์เบร็กซิตหรือ Brexit ทำให้เกิดผู้นำอย่างนางเลปัง ทำให้เกิดขบวนการชาตินิยมทางเศรษฐกิจที่จะต่อต้านจีน อินเดีย และอาจจะรวมทั้งอาเซียนด้วยในฐานะที่มีดุลการค้า และดุลบัญชี
เดินสะพัดเกินดุลกับสหรัฐอเมริกาและยุโรป

ในระบบเศรษฐกิจการค้าเสรีของโลก สหรัฐอเมริกาก็เป็นประเทศที่ได้ประโยชน์ เพราะตลาดทุนของอเมริกาเป็นแหล่งระดมเงินออมจากทั่วโลก โดยการผูกขาดเศรษฐกิจภาคบริการของโลก เศรษฐกิจภาคบริการที่สำคัญก็คือ ตลาดเงินและตลาดทุน อันได้แก่ สถาบันการเงิน เช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารเพื่อการลงทุน ตลาดทุนที่ผูกขาดโดยบริษัทเงินทุน บริษัทที่ปรึกษาการเงิน ที่ปรึกษากฎหมาย ที่ผูกขาดไปทั่วโลก ในการประกันการขายตราสารหนี้ทั้งของรัฐบาลและเอกชน รวมทั้งหลักทรัพย์ทางการเงินต่าง ๆ ซึ่งถูกกำกับด้วยกฎระเบียบที่ผูกขาดโดยทุนของอเมริกัน รวมทั้งค่าลิขสิทธิ์สิทธิบัตร และอื่น ๆ บริษัทข้ามชาติ

โดยทุนของอเมริกันไปลงทุนในประเทศกำลังพัฒนา ประเทศกำลังพัฒนาได้แค่ค่าจ้างแรงงาน ภาษีเงินได้ก็ได้น้อยมาก เพราะมาตรการส่งเสริมการลงทุน ส่วนกำไรถูกส่งกลับไปเป็นผลตอบแทนต่อผู้ลงทุนในสหรัฐอเมริกา เป็นการแบ่งงานกันทำ ทำให้โลกพัฒนาไปข้างหน้า แม้ว่าช่องว่างระหว่างประเทศยากจนและประเทศร่ำรวยจะไม่ได้แคบลงก็ตาม

ความคิดและวาทกรรมของประธานาธิบดีสหรัฐได้ทำลายความไว้เนื้อเชื่อใจของชาวโลก และเกียรติภูมิของสหรัฐอเมริกาเป็นอันมากแม้ว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติของจีน ซึ่งเป็นประเทศในทวีปเอเชีย จะเข้าใกล้ผลิตภัณฑ์มวลรวมของสหรัฐอเมริกา แต่ผลิตภัณฑ์มวลรวมต่อหัวประชากรก็ยังต่ำกว่าคนอเมริกันเป็นอันมาก กล่าวคือ แรงงานจีนเคยผลิตได้เพียง 19 เปอร์เซ็นต์ ของแรงงานอเมริกัน 

หนทางที่จีนจะสามารถปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพแรงงานของจีนโดยการลงทุนในด้านเทคโนโลยี สมัยใหม่จึงยังมีมาก แต่แทนที่ผู้นำสหรัฐจะได้ตระหนักและปรับปรุงตนเองให้รุดหน้าให้เร็วขึ้น เพื่อจีนจะไล่ไม่ทันหรือยืดเวลาการไล่ทันให้ช้าขึ้น กลับใช้วิธีแบบนักเลงโตซึ่งไม่น่าใช้ได้ผล

ทุนอเมริกันที่สามารถสร้างกำไรเมื่อไปลงทุนในต่างประเทศก็เพราะค่าจ้างแรงงานในต่างประเทศยังมีราคาถูกอยู่ ในขณะที่ตลาดแรงงานของสหรัฐอยู่ในสภาพมีการจ้างงานเต็มที่แล้ว เพราะอัตราการจ้างงานมีอัตราต่ำมาก กล่าวคือ อยู่ระหว่าง 4-5 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และขณะเดียวกันอัตราเงินเฟ้อก็ไม่ได้เพิ่มขึ้น ค่าจ้างแรงงานก็ไม่เพิ่มขึ้น เพราะอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐยังต่ำกว่าร้อยละ 3 เป็นอันมาก กล่าวคือ ขยายตัวเพียงร้อยละ 1-1.5 เท่านั้น แต่ก็ไม่น่าเดือดร้อนเพราะการว่างงานไม่มี

วาทะของโดนัลด์ ทรัมป์ ฟังดูจึงสับสน ไม่รู้ว่าทรัมป์คิดอย่างไรกับเศรษฐกิจของสหรัฐก่อนจะคิดเรื่องนโยบาย หรือแกไม่ได้คิดอะไรก็ได้ พูดไปตามเรื่อง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : นโยบายที่สับสน ทรัมป์ วีรพงษ์ รามางกูร

view