สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คำพิพากษา ยิ่งลักษณ์ จุดเปลี่ยน นโยบายข้าวไทย

คำพิพากษา” ยิ่งลักษณ์ จุดเปลี่ยน “นโยบายข้าวไทย

จากประชาชาติธุรกิจ

25 สิงหาคม 2560 จะถือเป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องบันทึกไว้อีกหน้าหนึ่ง เพราะจะมีการตัดสินคดีสำคัญ 2 คดี โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดฟังคำสั่งคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณี ละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว จนทำให้รัฐเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท รัฐต้องแบกภาระสต๊อกข้าวมากกว่า 18 ล้านตัน มาจนถึงปัจจุบัน

เป็นวันเดียวกับที่ศาลฎีกานัดฟังคำพิพากษา คดีหมายเลขดำ อม.25/2558 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง “นายภูมิ สาระผล” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 1, “นายบุญทรง เตริยาภิรมย์”

อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าว จำเลยที่ 2 และพวก ในการใช้วิธีพิสดารอ้างขายข้าวให้กับรัฐวิสาหกิจจีน แต่ไม่มีการส่งออกจริง หรือ “จีทูจีเก๊”!

หลายสำนักประเมินว่า ผลการตัดสินคดีจำนำข้าว เป็น “เดิมพัน” สำคัญสู่ทิศทางการเมืองในอนาคต !

แต่อนาคตทิศทางตลาดข้าวไทย และการวางนโยบายของรัฐบาลหลังจากสิ้นสุดคำตัดสินคดีนี้จะเป็นอย่างไร ?

“เกรียงศักดิ์ ตาปนานนท์” นายกสมาคมโรงสีข้าวไทย ให้มุมมองว่า ผลการพิจารณาคดีทั้งในส่วนของโครงการรับจำนำข้าวและจีทูจี ไม่ว่าจะออกมาเป็นอย่างไรจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจข้าว เพราะเป็นเรื่องของปัจเจก ซึ่งสังคมรับรู้กันมานานอยู่แล้ว แต่หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับว่ามูลค่าความเสียหายจัดเป็นเท่าไร การบังคับคดีจะเป็นอย่างไร

ในกรณีนี้ ถ้าเป็นบริษัทผู้ส่งออกข้าวหรือโรงสีที่เกี่ยวข้องกับคดีความ อาจจะกระทบถึงการดำเนินธุรกิจ หากถูกใช้มาตรการบังคับทางปกครอง เช่น หากมีการอายัดเงิน ซึ่งจะมีผลกับความเชื่อมั่น

ในการซื้อขาย แต่ถ้าไม่เกี่ยว ถือว่าเป็นเรื่องทางปัจเจก ดังนั้น จึงไม่ได้มองว่าตลาดข้าวจะซบเซา เพราะตลาดข้าวมีกลไกทางการตลาดขึ้นอยู่กับความต้องการซื้อและความต้องการขาย ซึ่งส่วนใหญ่มีทั้งตลาดต่างประเทศ และธุรกิจในประเทศ

บทเรียนจากการดำเนินโครงการรับจำนำข้าวต่อธุรกิจโรงสี ซึ่งถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่เข้ามารับจ้างในโครงการรับจำนำข้าว จริงอยู่ที่มีโรงสีที่ได้ประโยชน์จากโครงการ แต่ข้อเท็จจริงคือ ไม่ใช่โรงสีทุกแห่งอยากจะรับจ้างรัฐ เรามีการลงทุนธุรกิจเป็นหลักหลายร้อยล้านบาท จะลงทุนมารับจ้างทำไม แต่สาเหตุที่ต้องไปรับจ้าง เพราะกลไกการดำเนินธุรกิจของเราไม่สามารถทำธุรกิจได้ หลังจากที่มีการดำเนินโครงการรับจำนำ ซึ่งไม่ว่าเราชอบหรือไม่ชอบนโยบายแบบไหน แต่ไม่ว่ารัฐบาลจะใช้โครงการช่วยเหลือเกษตรกรแบบไหน โรงสีจะอยู่ในห่วงโซ่นี้เช่นเดิม

อนาคตหลังจากนี้ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งพรรคใดจะเข้ามาบริหารประเทศ เชื่อว่ายังจะต้องมีโครงการเข้ามาช่วยเหลือเกษตรกร แต่ไม่ว่าจะมาในรูปแบบใด ผลจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากคดีนี้ ถ้าคดีออกมาแล้วนางสาวยิ่งลักษณ์มีความผิด ต่อไปใครจะกำหนดนโยบายคงลำบาก ต้องวิเคราะห์ถึงการดำเนินนโยบายว่าจะมีความเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด จะนำเงินมาจากแหล่งใด จะส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจอย่างไรหรือไม่ นักการเมืองหรือคนที่รับผิดชอบที่เข้ามาบริหารประเทศคงจะมีความลำบาก เพราะต้องรับผิดชอบต่อนโยบายที่กำหนดขึ้นมา

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นเหมือนเหรียญสองด้าน ถ้าผลการตัดสินออกมาว่าไม่ผิด ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะเป็นอีกด้านหนึ่ง เพียงแต่นโยบายใดก็ตามที่จะนำมาช่วยเหลือเกษตรกร จะต้องตอบคำถามว่า หากผู้ที่ใช้นโยบายดูแลไม่ทั่วถึง ปล่อยให้มีการทุจริตหรือนโยบายมีผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจทำลายกลไกตลาดทำให้เกิดการสต๊อกข้าว จะถูกฟ้องร้องด้วยมาตรา 157

ในอีกด้านหนึ่ง “ร.ต.ท.เจริญ เหล่าธรรมทัศน์” นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย มองว่า ตลาดข้าวจะไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนจากผลของการพิจารณาในวันที่ 25 สิงหาคมนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นผลชดเชยจากในสิ่งที่นักการเมืองได้กระทำลงไป ซึ่งเป็นคนละส่วนกับคดีจีทูจี

ในกรณีของคดีจีทูจีอาจจะมีผู้ส่งออกบางรายที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ซึ่งต้องดำเนินการพิสูจน์ต่อไป คงยังไม่มีผลในทันทีต่อการดำเนินธุรกิจของกลุ่มนี้

บทเรียนจากการกำหนดนโยบายที่ผ่านมามีการพูดถึงการแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ เพื่อให้มีวิธีการ (mechanism) มากำกับดูแลไม่ใช่สามารถที่จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ เพราะที่ผ่านมามีแนวทางที่จะใช้บริหารจัดการข้าวหลายวิธี แต่เลือกใช้วิธีที่ไม่ถูกต้อง ซึ่งจริง ๆ ได้รับการเตือนหลายครั้งจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง จากองค์กรต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กระทรวงการคลัง สำนักงานผู้ตรวจราชการแผ่นดิน แต่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยน ทำให้เกิดผลกระทบตามมา

ท้ายที่สุดแล้ว ประเด็นร้อนที่จะเกิดขึ้นปลายสัปดาห์นี้ ไม่ว่าผลการตัดสินของศาลจะชี้ขาดออกมาอย่างไร คงจะเป็นบทเรียนให้นักการเมือง และผู้บริหารประเทศในยุคต่อไปควรได้จดจำและบริหารประเทศด้วยความรอบคอบ เพราะความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้งหมด มันคือผลประโยชน์ของคนทั้งชาติที่ต้องแบกรับภาระไปด้วยกัน !


ประมวลเหตุการณ์วันชี้ชะตา “ยิ่งลักษณ์” ก่อนไร้เงาเจ้าตัว วิจารณ์แซ่ดหนีซ้ำรอยพี่ชาย

จากประชาชาติธุรกิจ

กองเชียร์ยิ่งลักษณ์มาตามนัดกว่า 2 พันคน

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2560 ที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ อาคาร A ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดอ่านคำพิพากษาคดีฐานเป็นเจ้าพนักงานหรือเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติมในโครงการรับจำนำข้าว มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย และคดีทุจริตระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) มีนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ กับพวกเป็นจำเลยรวม 25 คน

ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศบริเวณโดยรอบศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ด้านหน้าศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ อาคาร A มีประชาชนมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประมาณ 2,000 คน

แกนนำพท.-นปช.ทยอยร่วมลุ้น

โดยมีแกนนำและอดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.เริ่มทยอยเดินทางมาถึงบริเวณหน้าศาลเพื่อร่วมฟังคำพิพากษาทั้ง 2 คดีอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง อาทิ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีต รมว.ยุติธรรม นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีต รมว.ศึกษาธิการ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง อดีตรองเลขาธิการนายกฯ ฝ่ายการเมือง นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค นายชูศักดิ์ ศิรินิล ประธานคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรค นายวิชาญ มีนชัยนันท์ อดีต ส.ส.กทม. นายสมคิด เชื้อคง อดีตส.ส.อุบลราชธานี นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีต ส.ส.กทม. นายวรชัย เหมะ อดีต ส.ส.สมุทรปราการ โดยมีประชาชนที่รักใคร่ชอบพอขอถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก

“เจ๊แป๋ว” แทงกั๊กลงเล่นการเมือง

นางมณฑาทิพย์ โกวิทเจริญกุล พี่สาว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมรับฟังคำตัดสินของศาล ว่า ตนเป็นกำลังใจให้น้องและครอบครัว เรารักกันมาก ส่วนอนาคตการเมืองนั้น ตนยังไม่ได้คิดอะไรเลย ตามกระแสข่าวว่าจะดำรงตำแหน่งพรรคเพื่อไทย เพราะตนไม่มีความสามารถขนาดนั้น ทั้งยังมีคนเก่งๆ อีกมาก ขอยืนยันยันว่าไม่มีความสนใจด้านการเมือง เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เพราะปกติตนไม่สนใจ ไม่อยากยุ่งการเมือง ทุกคนยุ่งกันไปมากแล้ว ดังนั้นอยากอยู่แบบสงบ และมีความต้องการเพียงให้พี่น้องมีความสุขนี่คือความพอใจของตน

“ทุกคนในครอบครัวเป็นกำลังใจให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ พี่ได้พูดคุยกับน้องสาว และให้กำลังใจแล้ว อะไรที่เป็นความสุขของเขา พี่พยายามให้ทุกอย่าง คนเราต้องมีสติ ทุกอย่างมาถึงตอนนี้ อะไรจะเกิดมันต้องมีสติที่สุด” นางมณฑาทิพย์ กล่าว

นักกิจกรรม-นักเคลื่อนไหวแห่ร่วมคดีประวัติศาสตร์

นอกจากแกนนำ พท.-นปช.แล้ว ยังมีนักกิจกรรมและนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของวันพิพากษา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีจำนำข้าวอย่างคึกคัก อาทิ “หนูหริ่ง” หรือ “บก.ลายจุด” นายสมบัติ บุญงามอนงค์ นายสุณัย ผาสุข ที่ปรึกษาฮิวแมนไรต์วอทช์ ประจำประเทศไทย

“บุญทรง” ไม่หนักใจ-สู้คดีเต็มที่แล้ว

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ จำเลยในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) เดินทางมาถึงศาลเพื่อรับฟังคำพิพากษาและให้สัมภาษณ์ ว่า ได้ส่งพยานหลักฐานและเตรียมตัวมาอย่างดี หากศาลตัดสินว่ากระทำความผิดจะยื่นประกันตัวและเตรียมตัวยื่นอุทธรณ์

“ไม่หนักใจ สู้คดีมาอย่างเต็มที่แล้ว โดยศาลก็ให้โอกาสในการยื่นพยานหลักฐาน ผมได้ยื่นจนครบถ้วนแล้ว ต่อจากนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลแล้ว ส่วนหลักทรัพย์การประกันตัวได้เตรียมมาเท่ากับในครั้งก่อน แต่ขณะนี้ต้องรอคำพิพากษาและดุลพินิจของศาลในการให้ประกันตัวหรือไม่” นายบุญทรงกล่าว

ด้านนายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์ จำเลยที่ 1 คดีทุจริตระบายข้าวจีทูจี ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้เตรียมความพร้อม ในเรื่องของการขอประกันตัวเอาไว้แล้ว หากศาลมีคำพิพากษาลงโทษ

4 พันนายคุมเข้มหน้าศาล

ในส่วนของการรักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณศาลมีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และ 9 กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.อคฝ.) ตำรวจสายตรวจปฏิบัติการพิเศษ 191 เจ้าหน้าที่เก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) จำนวนกว่า 4,000 นาย ได้กระจายกำลังอยู่บริเวณโดยรอบศูนย์ราชการฯ อาคาร A และประจำจุดทางเข้า-ออกทุกจุด มีการนำรั้วเหล็กมากั้นและเจ้าหน้าที่ประจำเป็นแนวยาวเพื่อบังคับให้เข้า-ออกเฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้องเฉพาะจุดและไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปบริเวณศาลชั้นใน

นอกจากนี้ มีการตรวจ มีจุดคัดกรอง ตรวจอาวุธและวัตถุต้องสงสัย โดยทางเข้าด้านหน้าศาลให้อนุญาตผ่านเฉพาะเจ้าหน้าที่ศาล จำเลยในคดี สื่อมวลชนเฉพาะที่ลงชื่อไว้เท่านั้น พร้อมกันนี้มีการนำป้ายห้ามนำเครื่องมือสื่อสารเข้ามาภายในบริเวณศาล และห้ามประพฤติตนไม่เรียบร้อยภายในบริเวณศาล

กองทัพสื่อไทย-เทศรายงานทั่วโลก

ทั้งนี้ มีสื่อมวลชนหลายสำนักทั้งไทยและต่างประเทศมาปักหลักรายงานข่าว สำหรับสภาพการจราจรบริเวณด้านหน้าสามารถสัญจรได้เพียงเลนส์เดียวจากปกติสองเลนส์

“เอฟซีปู” ลุ้นหนักสู้หรือหนี

เวลา 09.30 น. เวลาผ่านไปกว่า 30 นาที ยังไม่มีแม้แต้เงา น.ส.ยิ่งลักษณ์ตามคำสั่งศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีจำนำข้าวในเวลา 09.00 น. แต่ทำให้มวลชนที่รอ-ให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์บริเวณทางเข้าพูดคุยกันแสดงความมั่นใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาต่อสู้คดี ไม่หนีซ้ำรอยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่ชาย

ลือหึ่งยิ่งลักษณ์หนี

เวลา 10.00 น. แววตาและสีหน้าของกองเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงออกถึงความกังวล-รอคอย น.ส.ยิ่งลักษณ์ มาปรากฏกายหน้าศาลเพื่อมอบดอกกุหลาบสีแดงสดและของขวัญให้กับมือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อเป็นกำลังใจ และนำสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาอธิษฐานให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชนะคดี อาทิ พุทธรูปทรงครั้งปางชนะมาร 500 ปี

ทว่าเสียงเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์เปลี่ยนเป็นความเงียบสงัด เมื่อข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาตามศาลนัด ท่ามกลางสายฝนที่ปรอยปลายลงมาตกๆ หยุดๆ

วิจารณ์แซ่ด! ปูหนีซ้ำรอยทักษิณ

เวลา 10.30 น. ภายหลังข่างแพร่สะพัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาตามคำสั่งนัดกองเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าจะซ้ำรอยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่ชายที่หนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ หรือไม่

ทยอยกลับบางตา

เวลา 11.00 น. ภายหลังข่าวแพร่สะพัดชัดเจนแล้วว่า ศาลนัดอ่านคำพิพากษา น.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 27 กันยายน มวลชนที่ยังยืนยันที่จะปักหลักรอในช่วงแรกต่างเริ่มทยอยกลับจนบางตา กระทั่งถึงเวลา 12.00 น. โดยพูดคุยกันว่าจะกลับมาให้กำลังใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ในวันที่ 27 กันยายนอีกครั้ง ทำให้เส้นทางจราจรบริเวณหน้าศาลกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครั้ง


ด่วน! “ยิ่งลักษณ์” ไม่มาศาลตามนัด อ้างน้ำในหูไม่เท่ากัน ปวดหัวรุนแรง ศาลออกหมายจับ นัดอีกครั้ง 27 ก.ย.

จากประชาชาติธุรกิจ

ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ เวลา 09.30 น. นายชีพ จุลมนต์ รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวนคดีจำนำข้าวคดีหมายเลขดำ อม.22/2558 พร้อมองค์คณะรวม 9 คน นัดคู่ความ ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อายุ 50 ปี อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นจำเลย ในความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ และเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และความผิดตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 กรณีละเลยไม่ดำเนินการระงับยับยั้งโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งทำให้รัฐเสียหายกว่า 5 แสนล้านบาท

ทั้งนี้เมื่อเวลา 09.35 น. องค์คณะศาลได้อ่านกระบวนพิจารณาความ โดยศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาของ จำเลย น.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยอ้างว่าป่วยด้วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน และมีอาการวิงเวียนศรีษะอย่างรุนแรง ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยไม่มีใบรับรองแพทย์มายืนยัน อีกทั้งอาการป่วยไม่ได้รุนแรงถึงขั้นมาฟังคำพิพากษาไม่ได้ ไม่เชื่อว่าป่วยจริง จำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี ให้ประกาศออกหมายจับ พร้อมยึดเงินประกันยึดเงินประกัน 30 ล้านบาท นัดฟังคำพิพากษา 27 ก.ย.2560 เวลา 09.00 น

วิจารณ์แซด! “ปู” หนีซ้ำรอย “ทักษิณ”

เวลา 10.30 น. ภายหลังข่าวแพร่สะพัดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่มาตามคำสั่งนัด กองเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าจะซ้ำรอยนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ พี่ชายที่หนีคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ หรือไม่


“นพดล” แจงไม่มีข้อมูล “ยิ่งลักษณ์” น้ำในหูไม่เท่ากัน ระบุให้ถามทีมทนาย

จากประชาชาติธุรกิจ

หลังจากที่ศาลได้เลื่อนอ่านคำพิพากษาของ จำเลย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่าป่วยด้วยโรคน้ำในหูไม่เท่ากัน และมีอาการวิงเวียนศรีษะอย่างรุนแรง ไม่สามารถมาฟังคำพิพากษาได้ ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยไม่มีใบรับรองแพทย์มายืนยัน อีกทั้งอาการป่วยไม่ได้รุนแรงถึงขั้นมาฟังคำพิพากษาไม่ได้ ไม่เชื่อว่าป่วยจริง จำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี ให้ประกาศออกหมายจับ พร้อมยึดเงินประกันเต็มอัตรา นัดฟังคำพิพากษา วันที่ 27 ก.ย.2560 เวลา 09.00 น

ขณะเดียวกัน นายนพดล ปัทมะ ได้ชี้แจงถึงกระแสข่าวอาการป่วยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีกระแสข่าวน้ำในหูไม่เท่ากันนั้นว่า ขณะนี้ทีมมนายความเดินทางมาถึงศาลฎีกาแล้ว จึงอยากให้คุยกับทีมทนายความ เนื่องจากตนเองไม่มีข้อมูล และทราบเท่าที่สื่อทราบเท่านั้น

โดยก่อนหน้านี้ไม่ได้มีการคุยกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีเพียงแค่ติดตามทางเฟซบุ๊กเท่านั้น ส่วนอาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ตนเองก็ไม่ทราบข่าวเช่นเดียวกัน แต่เชื่อว่าอีกสักระยะจะมีข่าวจากทีมทนายความออกมา

นอกจากนี้ด้านนักข่าวต่างประเทศถามว่า อาการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นอย่างไรบ้างนั้น นายนพดลตอบว่า ไม่ทราบข่าว อยากให้เช็กกับทีมทนายความดีกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาหรือไม่


นายกฯไม่คิด “ยิ่งลักษณ์” ใช้วิธีนี้ “ไม่ยืนยันยังอยู่ไทยหรือไม่” สั่งเช็กเส้นทางปกติ-ธรรมชาติ

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ กล่าวถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ขอเลื่อนศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และถูกออกหมายจับว่า ครั้งแรกดีใจคิดว่าท่านจะมาขึ้นศาล เพราะที่ผ่านมาก็มาด้วยตัวเองตลอด ขณะนี้ยังไม่มีรายงานว่ายังอยู่ในประเทศหรือไม่ แต่ได้สั่งกำชับหน่วยงานมั่นคงดูแลทุกๆช่องทาง ทั้งด่านปกติและช่องทางธรรมชาติ ทั้งนี้ช่องทางของกระบวนการยุติธรรมเปิดโอกาสให้อุทธรณ์ได้แล้ว แต่มาทำแบบนี้จะบอกอีกหรือไม่ว่าไม่เป็นธรรม

“อดีตนายกทำเรื่องขอเลื่อนและศาลไม่ให้เลื่อน ต้องดูเขาทำตามกฎหมายหรือเปล่า ป่วยจริงหรือเปล่า ต้องตรวจสอบทางเข้าออกในเส้นทางปกติและธรรมชาติ ตอนแรกผมก็ดีใจที่ท่านกล้าหาญดี ยอมรับไม่คิดล่วงหน้าว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์จะใช้วิธีการนี้”

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


“วิษณุ” ไม่ชัด “ยิ่งลักษณ์” ส่อหนีคดีหรือไม่ ชี้ศาลระบุอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อเวลา 10.00 น. ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นนทบุรี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไม่ได้เดินทางไปรับฟังคำพิพากษาของศาลฯ โดยให้เหตุผลว่าป่วย ทำให้ศาลเลื่อนวันตัดสินเป็น 27 กันยายนว่า ตนเพิ่งทราบจากที่ผู้สื่อข่าวถาม ไม่ทราบรายละเอียด เมื่อศาลเลื่อนไปก็ไม่มีอะไร ถ้าเขาขอเลื่อนแล้วศาลให้เลื่อนก็เลื่อนไป ยกเว้นว่าถ้าศาลไม่ให้เลื่อน คงต้องว่ากันไปอีกอย่าง

ผู้สื่อข่าวถามว่า การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เดินทางไปศาลในวันนี้นั้นถือว่าเป็นการดึงเวลาเพื่อเตรียมตัวที่จะดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปหรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ตนไม่ทราบ เมื่อถามว่า อาจนำไปสู่การหลบหนีคดีได้ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่ทราบ

เมื่อถามถึงความคืบหน้ากรณีกระบวนการยึดทรัพย์เรียกค่าเสียหายในคดีทางปกครอง นายวิษณุกล่าวว่า การดำเนินการดังกล่าวไม่ได้รอผลของคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ตอนนี้รอดูผลของศาลปกครองว่าจะออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเกี่ยวกับยึดทรัพย์หรือไม่ แต่ในส่วนของผลจากคดีในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ จะไม่มีผลโดยตรงต่อการดำเนินคดีทางปกครอง หมายความว่าหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ตัดสินลงโทษอะไรแล้วการดำเนินคดีทางปกครองไม่จำเป็นจะต้องลงโทษตามนั้นด้วย แต่อาจจะมีผลทางอ้อม เพราะเราต้องศึกษาคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ ว่าได้ระบุไว้อย่างไรบ้าง เพราะบางครั้งการจะพูดว่าผิดหรือไม่ผิดอาจไม่เพียงพอ จึงต้องไปดูเหตุผล ซึ่งตรงนี้จะถือเป็นฐานในการไปศึกษาเพื่อที่จะทำคดีแพ่งต่อไป

 

ที่มา : มติชนออนไลน์


สตม.ยืนยันยังไม่พบ “ยิ่งลักษณ์” ออกนอกประเทศ

จากประชาชาติธุรกิจ

พลตำรวจโทณัฐธร เพราะสุนทร ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่พบประวัติการเดินทางออกนอกประเทศของนางสาวยิ่งลักษณ์ผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมืองใดๆ ไม่ว่าจะเป็นที่สนามบินทั่วประเทศ หรือด่านตรวจคนเข้าเมืองตามแนวชายแดน เพราะตั้งแต่วันที่ 19 พฤษภาคม 2558 ภายหลังจากที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช.ชี้มูลความผิดคดีโครงการรับจำนำข้าวก็ส่งเรื่องไปที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ศาลก็มีคำสั่งห้ามไม่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศระหว่างปล่อยตัวชั่วคราวจนกระทั่งถึงปัจจุบัน หรือหากนางสาวยิ่งลักษณ์จะเดินทางด้วยเครื่องบินส่วนตัว ก็ต้องมีประวัติบันทึกของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แต่หากออกนอกประเทศผ่านทางพรมแดนธรรมชาติ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะไม่สามารถตรวจสอบได้ แต่เชื่อว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ที่นางสาวยิ่งลักษณ์จะเดินทางออกทางช่องทางนี้

ทั้งนี้ จากบันทึกการเดินทางเข้า-ออกประเทศ พบว่านางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางออกนอกประเทศครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2557 เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น และกลับเข้ามาในประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557 จากนั้นก็ไม่พบการเดินทางเข้า-ออกประเทศอีกเลย

 

ที่มา : มติชนออนไลน์


“บิ๊กตู่” พูดถึง “ยิ่งลักษณ์” ย้ำให้เกียรติทุกคน-รักษากติกา ขอให้มาต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรม

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวช่วงท้ายระหว่างเป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Thailand Management Excellence Award 2017 ว่า “รู้สึกเป็นห่วงเด็กรุ่นหลังไม่รู้จักนิทานอีสป คำเทียบคำเปรียบเปรย บางครั้งการพูดคาดลูกคาบดอกก็ไปตีความกันผิด บางครั้งผมเองก็พูดคาบลูกคาบดอก แรงบ้าง เบาบ้าง ก็เพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ในวันนี้”

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า “วันนี้ผมให้เกียรติทุกคน ผมไม่เคยไปอะไรกับใคร ผมให้เกียรติ แต่ขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม ก็ต้องไปดูกันเอง ขอให้ยอมรับในการกระบวนการยุติธรรม เข้ามาต่อสู้กันเท่านั้นเอง ให้เกียรติซึ่งกันและกัน มนุษย์เรา คนเราดูถูกกันไม่ได้ ก็ให้ความเป็นธรรมกับเขา และเขาเองก็ต้องรักษากติกา แค่นี้เองหน้าที่ของผม และไม่ใช่เรื่องที่ผมมาทำให้มันเกิด มันเกิดมาก่อนหน้าผมอยู่แล้ว วันนี้ไม่มีพวกมาต่อต้านหรือไม่ ไม่มี เลิกมีได้แล้ว เรื่องสีสัน พอ วันนี้มีสีเดียวคือสีธงชาติ จะสีอะไรก็ไม่รู้ แต่เป็นสีธงชาตินั้นแหละ จะไปเกลียดสีแดงได้อย่างไร สีแดงมันคือเลือด จะใครมีเลือดสีอื่นบ้างเล่า ทุกคนก็มีเลือดสีแดงทั้งนั้น ยกเว้นมีแต่คนไปทำสีเสียใช่หรือไม่”

 

 

ที่มา มติชนออนไลน์


บิ๊กป้อม คาด “ปู” ออกนอกประเทศแล้ว ไปทางเกาะช้าง ยันเปล่าเปิดทางให้หนี

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม ที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ ถึงกรณีกระแสข่าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีหลบหนีออกนอกประเทศ ตั้งแต่คืนวันที่ 23 สิงหาคม โดยมีรถของราชการระดับสูงพาหลบหนีไปตามเส้นทางเกาะช้าง เข้าประเทศกัมพูชา โดยมีปลายทางอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ ว่า ตนไม่ทราบ เพราะติดภารกิจการประชุม ได้แต่ติดตามจากสื่อออนไลน์ว่าอดีตนายกฯหนีไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าหนีไปแล้วจริงๆ เพราะมีเส้นทางการ หลบหนีหลายเส้นทาง คิดว่าอาจเป็นไปได้เพราะทางออกมันเยอะ ไม่รู้ว่าจะไปทางเกาะช้างหรือเกาะอะไร โดยก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยืนยันผ่านสื่อมาโดยตลอดว่า จะไม่หลบหนี ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ไม่ได้คาดคิดว่าจะหลบหนี พร้อมยืนยันว่าฝ่ายความมั่นคงไม่ได้รู้เห็นเป็นใจ หรือเปิดช่องทางให้มีการหลบหนี ฝ่ายความมั่นคงก็ได้ติดตาม และดูแลตามแนวชายแดนอย่างเข้มงวด และตรวจสอบต่อไปว่าใช้เส้นทางใดในการหลบหนี ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าหลบหนีไปเส้นทางใด มีแต่กระแสข่าวว่าใช้เส้นทางเกาะช้างหลบหนี

พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณี ที่มีการข่าวว่า มีข้าราชการชั้นผู้ใหญ่พา นส.ยิ่งลักษณ์หลบหนีว่า ซึ่งหากรู้ว่าเป็นใคร ต้องได้รับโทษตามกฎหมายและหากเป็นข้าราชการทหาร ก็ต้องสั่งปลดออกจากตำแหน่งทันที ส่วนกรณีที่ นส.ยิ่งลักษณ์ มีการเตรียมการไว้ล่วงหน้านั้น พล.อ.ประวิตรกล่าวว่า ตนไม่แน่ใจว่ามีการเตรียมการล่วงหน้าหรือไม่ รวมถึงการเผยแพร่ภาพที่มีการทำบุญผ่านโซเชียลก่อนหน้านี้ ซึ่งนับจากนี้ก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย ส่วนจะมีการตั้งทีมติดตามตัว น.ส.ยิ่งลักษณ์หรือไม่นั้น ตนไม่ทราบ อีกทั้งศาลยังไม่มีการพิพากษาเป็นที่สิ้นสุด หากจะตามก็คงตามในเฉพาะคดีที่ศาลออกหมายจับเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าฝ่ายความมั่นคงได้มีการติดตามความเคลื่อนไหว น.ส.ยิ่งลักษณ์ พบว่าไม่ได้ออกจากบ้านมา 2 วันแล้ว

พล.อ.ประวิตร กล่าวอีกว่า ส่วนกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์เฟซบุ๊กเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม ที่ผ่านมา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่าในวันนี้จะไม่เดินทางมาศาลนั้น ตนไม่ทราบ สื่อมวลชนคิดไปเองทั้งนั้น ส่วนจะเป็นการวางด้วยตัวเอง หรือมีคนวางแผนให้นั้น ตนไม่ทราบเพราะตนไม่ใช่ นส.ยิ่งลักษณ์ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีทราบข้อมูลความเคลื่อนไหวแล้ว แต่ยังไม่มีสั่งมีการใดๆ

 

ที่มา มติชนออนไลน์


“บุญทรง-ภูมิ”-พวก นอนคุก ศาลยกคำร้องปล่อยตัวชั่วคราว

จากประชาชาติธุรกิจ

นายนรินทร์ สมนึก ทนายความของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังคำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ขณะนี้ศาลยกคำร้องการขอปล่อยตัวชั่วคราวหรือประกันตัวนายบุญทรงและจำเลยทั้งหมดรวม 5 คน เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่กระชั้นชิด

อย่างไรก็ดี หลังจากนี้ทีมทนายเตรียมที่จะยื่นอุทธรณ์ตามรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่สามารถยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาได้ภายใน 30 วันโดยไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานใหม่ เห็นว่าเบื้องต้นยังไม่ได้มีบางประเด็นมาพิจารณาแต่ไม่ขอเปิดเผยว่ามีประเด็นใดบ้าง

ทั้งนี้ ภายหลังจากที่ได้รับฟังคำพิพากษาแล้วก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายบุญทรงเล็กน้อย โดยนายบุญทรงก็บอกแต่เพียงว่าให้ดำเนินการตามขั้นตอนทางกฎหมายต่อไป ขณะนี้นายบุญทรงยังไม่ทราบว่าศาลยกคำร้องการปล่อยตัวชั่วคราว และในวันนี้ยังคงไม่สามารถเดินทางไปหานายบุญทรงที่เรือนจำได้ เนื่องจากหมดเวลาเยี่ยม

 

ที่มา : มติชนออนไลน์


“บุญทรง”เครียดกังวล ขอประกันตัว เรือนจำพบ ความดันพุ่ง

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 25 สิงหาคม นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าววว่า กรมราชทัณฑ์ได้รับตัวผู้ต้องขังในคดีระบายข้าวจีทูจี ไว้คุมขังในเรือนจำวันนี้ (25 ส.ค.) จำนวน 15 ราย เป็นชาย 11 ราย หญิง 4 ราย มีโทษจำคุกเกิน 15 ปี 8 ราย สำหรับผู้ต้องขังชายที่มีโทษจำคุกเดิน 15 ปี จะต้องถูกส่งตัวไปยังเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วนผู้ต้องหญิงหญิงจะถูกคุมขังที่ทัณฑสถานหญิงกลาง ทั้งนี้ได้รับรายงานจาก นายกฤช กระแสร์ทิพย์ ผู้บัญชาการพิเศษกรุงเทพฯ เบื้องต้นทราบว่าทางเรือนจำได้ตรวจร่างกาย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และนายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ และพวกรวม 10 ราย พบว่า นายบุญทรงมีโรคประจำตัวคือ โรคภูมิแพ้ และมีความดันโลหิตสูงช่วงแรกรับเข้าเรือนจำประมาณ 170/90 หลังจากมีการนั่งพักสักครูพบว่าลดลงเหลือ 137 /92 และค่อนข้างมีความเครียดในเรื่องการขอประกันตัว ส่วนส่วนนายภูมิ มีโรคประจำตัวเป็นความโลหิตสูง เบาหวาน หอบหืด ไขมันในเลือดสูง มียาประจำตัวในการรักษา สุขภาพร่างกายโดยทั่วไปแข็งแรง

รายงานข่าวแจ้งว่าสำหรับคำพิพากษาจำคุกจำเลยในคดีดังกล่าวประกอบด้วย 1.นายภูมิ สาระผล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำคุก 36 ปี 2.นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จำคุก 42 ปี 3.นายมนัส สร้อยพลอยดำรง อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำคุก 40 ปี 4.นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศและรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จำคุก 32 ปี 5. นายอัครพงศ์ ช่วยเกลี้ยง หรือทีปวัชระ อดีตเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศและผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ จำคุก 24 ปี 6. นายสมคิด เอื้อนสุภา จำคุก 16 ปี 7.นายรัฐนิธ โสจิระกุล จำคุก 8ปี 8. นายลิตร พอใจ จำคุก 8 ปี 9. บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด 10. น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง จำคุก 16 ปี 11.น.ส.เรืองวัน เลิศศลารักษ์ จำคุก 16ปี 12. น.ส.สุทธิดา หรือสุธิดา ผลดี หรือจันทะเอ จำคุก 4ปี 13. นายอภิชาติ หรือเสี่ยเปี๋ยง จันทร์สกุลพร เจ้าของบริษัทสยามอินดิก้า จำคุก 48 ปี 14. นายนิมล หรือโจ รักดี จำคุก 32 ปี 15.นางสุนีย์ จันทร์สกุลพร จำคุก 4ปี 16.นายกฤษณะ สุระมนต์ จำคุก 4ปี


คสช.ปัดตอบหน่วยความมั่นคงเรียกถกคดี “ยิ่งลักษณ์” หนี ย้ำยังไม่สิ้นสุดเป็นหน้าที่ศาลพิจารณา

จากประชาชาติธุรกิจ

เมื่อวันที่ 25 ส.ค. พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งออกหมายจับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลังทนายยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนนัดการพิจารณาคดี โดยอ้างว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์มีอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ว่า ในเบื้องต้นหน่วยงานด้านความมั่นคงยังไม่ได้เรียกประชุมหรือประเมินสถานการณ์ในเรื่องดังกล่าว เพราะว่าการพิจารณาคดียังไม่เสร็จสิ้น อีกทั้งผลการพิจารณาจะออกมาในแนวทางไหนตนก็ยังไม่ทราบ จึงไม่สามารถสรุปได้ในตอนนี้

ทั้งนี้ คสช.และหน่วยงานด้านความมั่นคง มีหน้าที่ดูแลและอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชน ในวันตัดสินคดีวันนี้ ซึ่งที่ผ่านมาตนก็ได้พูดมาตลอดว่า สิ่งที่หน่วยงานความมั่นคงนั้นเป็นห่วงคือเรื่อง จราจร สภาพอากาศและความไม่สงบเรียบร้อย ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานด้านความมั่นคง ส่วนในผลของการตัดสินคดีนั้น เป็นหน้าที่ของศาลและกระบวนยุติธรรม

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


เปิดภาพชุด “ยิ่งลักษณ์” กราบหลวงพ่อโตที่วัดระฆัง ก่อนไปสิงคโปร์

จากประชาชาติธุรกิจ

หลังจากที่นายชีพ จุลมนต์ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนรายงานกระบวนการพิจารณาคดีจำนำข้าวก่อน โดยจำเลยไม่มา ทนายจำเลยได้ยื่นคำร้องขอเลื่อนฟังคำพิพากษา เนื่องจากจำเลยมีอาการป่วย น้ำในหูไม่เท่ากัน วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ ไม่สามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ อัยการโจทก์ได้ยื่นคัดค้านเห็นว่าอาการป่วย จำเลยน่าจะสามารถเดินทางมาฟังคำพิพากษาได้ และไม่มีใบรับรองแพทย์ องค์คณะพิจารณาแล้วไม่น่าเชื่อว่าอาการป่วยของจำเลยจะไม่สามารถเดินทางมาฟังได้อีกทั้งไม่มีใบรับรองเเพทย์ อันเชื่อได้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับยิ่งลักษณ์ และปรับนายประกันเต็มจำนวนและ นัดฟังคำพิพากษาอีกครั้ง วันที่ 27 ก.ย. 60 เวลา 09.00

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


เคลื่อนไหวเเล้ว ไปป์กับพ่อนั่งรถตู้ออกจากบ้านพัก “ยิ่งลักษณ์” ทนายปักหลักรอหมายค้น

จากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 25 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานความเคลื่อนไหวบริเวณบ้านพักของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ภายหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาลงโทษจำคุก นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ จำเลยในคดีระบายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ(จีทูจี) และพวก เสร็จสิ้น ปรากฎว่ามีรถตู้โฟล์ค สีทอง ทะเบียน ฮน 999 กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นรถที่นายอนุสรณ์ อมรฉัตร และนายศุภเสกข์ อมรฉัตร หรือ น้องไปป์ สามีและบุตรชายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้เป็นพาหนะในการเดินทาง ซึ่งจอดอยู่ภายในบ้านพัก ขับออกจากบ้านพักทางประตูด้านเล็กทางด้านหลัง โดยมีนายอนุสรณ์และน้องไปป์นั่งอยู่ในรถด้วย โดยไม่ได้ระบุจุดมุ่งหมาย

โดยมีบุคคลนั่งโดยสารอยู่ภายในรถ อย่างไรก็ตามในช่วงเย็นวันเดียวกันนี้ตำรวจชุดรักษาความปลอดภัยของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางมาปฎิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยตามปกติ โดยที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้นำหมายจับมาปิดแจ้งไว้ที่บริเวณบ้านพักของน.ส.ยิ่งลักษณ์ แต่อย่างใด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับความเคลื่อนไหวของทีมทนาย ได้เตรียมความพร้อมอยู่ใกล้กับบริเวณบ้าน ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำหมายศาลเข้าขอตรวจค้นบ้านพักของน.ส.ยิ่งลักษณ์

 

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


เผย “ปู” ไปต่างประเทศพร้อม “น้องไปป์” ถึงสิงคโปร์บินต่อเข้าดูไบทันที!

จากประชาชาติธุรกิจ

แฟ้มภาพ

หลังจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จำเลยขอเลื่อนฟังคำพิพากษาคดีจำนำข้าว โดยด้างว่ามีอาการป่วย น้ำในหูไม่เท่ากัน วิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้ แต่องค์คณะพิจารณาแล้วไม่น่าเชื่อว่าอาการป่วยของจำเลย จะไม่สามารถเดินทางมาฟังได้ อีกทั้งไม่มีใบรับรองเเพทย์ อันเชื่อได้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์หลบหนี จึงมีคำสั่งให้ออกหมายจับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และปรับนายประกันเต็มจำนวน และนัดฟังคำพิพากษาอีกครั้งวันที่ 27 ก.ย.2560 เวลา 09.00 น.

ความคืบหน้าเรื่องนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบพบว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เดินทางไปทำบุญกราบไหว้สมเด็จโตที่วัดระฆังโฆสิตาราม กทม. เมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา จากนั้นมีข้อมูลว่าวันที่ 24 ส.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้อยู่ที่ประเทศสิงคโปร์แล้ว ขณะเดียวกันมีข้อมูลอีกว่านายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางมาที่ประเทศสิงคโปร์เช่นเดียวกัน

รายงานข่าวเปิดเผยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้เดินทางออกจากประเทศไทยผ่านช่องทางธรรมชาติทางชายแดนไทย-กัมพูชา ก่อนเดินทางไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานนานาชาติพนมเปญ หรือสนามบินโปเชงตง ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากใจกลางกรุงพนมเปญไปทางตะวันตก 7 กิโลเมตร ก่อนบินตรงไปประเทศสิงคโปร์ แล้วบินต่อไปประเทศสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ นครดูไบ ต่ออีกทอด

นอกจากนี้มีรายงานข่าวเพิ่มเติมว่า การเดินทางออกนอกประเทศครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ได้พา “น้องไปป์” ศุภเสกข์ อมรฉัตร ลูกชายวัย 15 ปี เดินทางไปด้วย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ตัดสินใจออกนอกประเทศพร้อมลูก ก็เพราะเป็นห่วงว่าหากมีคำพิพากษาให้จำคุก จะทำให้ขาดคนดูแลลูกชายคนเดียว จึงตัดสินใจพาลูกชายเดินทางออกนอกประเทศไปด้วย

 

ที่มา ข่าวสดออนไลน์


ทุกอย่างจบหลัง “ปู” หนีศาล “หมอวรงค์” ระบุน่าเห็นใจ ปชช.เสียเวลารอหน้าศาล

จากประชาชาติธุรกิจ

วันที่ 25 สิงหาคม 2560 นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Warong Dechgitvigrom ว่า วันนี้ตื่นตั้งแต่ตี 4 ซึ่งเป็นเวลาที่แอฟริกา เพื่อติดตามข่าวสารในเวลา 09.00 น. ตามเวลาเมืองไทยในคดีรับจำนำข้าว และทราบข่าวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่มาศาล และศาลออกหมายจับ ทั้งที่ก่อนหน้านี้คนของพรรคเพื่อไทยออกมายันตลอดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมาฟังผลคำพิพากษา และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ปรากฏตัวผ่านสื่อตลอดจนไม่รู้สึกว่าจะไม่มาศาล

“ผมคิดว่าเขาคงไม่มั่นใจผลของการต่อสู้ในคดีที่ผ่านมา เหมือนการทำข้อสอบ คนทำข้อสอบก็จะรู้ตัวเองว่าทำได้ดีหรือไม่ ถ้าใครทำข้อสอบไม่ได้ก็ไม่อยากไปฟังผลสอบ ที่สำคัญ การต่อสู้ในคดีนี้ไม่ใช่คดีการเมือง หรือถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง ที่ฝ่ายเพื่อไทยพยายามไปเปรียบเทียบกับนางอองซาน ซูจี แต่การต่อสู้ครั้งนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับการทุจริต ถ้าผลออกมาผิด ก็ไม่ง่ายที่จะบิดเบือนประเด็นว่านี่คือการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพราะประชาชนมีความเข้าใจการทุจริตของโครงการรับจำนำข้าวกันมากขึ้น รวมทั้งประชาชนมีการใช้สื่อออนไลน์ที่มีช่วยกันเผยแพร่ข่าวสาร”

“สิ่งที่น่าเห็นใจคือ พี่น้องประชาชนที่ถูกพามาที่ศาล คล้ายๆ กับถูกพามาให้เสียเวลา จึงไม่แปลกใจที่เมื่อวานนี้ (24 สิงหาคม) น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์เฟซให้รอฟังผลที่บ้าน เพราะคงรู้อยู่ในใจแล้วว่าจะมาหรือไม่ ที่สำคัญ เขาคงอยากฟังคดีของนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ก่อนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร จะได้ประเมินคดีของตนเองได้ถูก เนื่องจากคดีมีความเกี่ยวพันกัน อย่างไรก็ตาม การไม่มาศาลของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าทุกอย่างจบแล้ว” นพ.วรงค์กล่าว

 

ที่มา : มติชนออนไลน์


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : คำพิพากษา ยิ่งลักษณ์ จุดเปลี่ยน นโยบายข้าวไทย

view