สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บทบาทผู้กำหนดนโยบาย กับนักคณิตศาสตร์ประกันภัย

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ คุยฟุ้งเรื่องการเงิน

โดย พิเชฐ เจียรมณีทวีสิน (ทอมมี่ แอคชัวรี) www.actuarialbiz.com

ในฉบับนี้ ผมขออนุญาตยกเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับทิศทางของภาพรวมในประเทศ เพื่อการขับเคลื่อนเข้าสู่ไทยแลนด์ 4.0 อย่างยั่งยืนและมั่นคง โดยการช่วยกันมองภาพต่าง ๆ ให้กว้างและไกลขึ้น ซึ่งผมยังจำปาฐกถาที่เคยได้รับฟังจาก อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังท่านหนึ่ง

“คุณกรณ์ จาติกวณิช” ที่เคยได้กล่าวไว้ให้กับสมาคมนักคณิตศาสตร์ประกันภัยแห่งประเทศไทย และค่อนข้างสอดคล้องกับทิศทางของประเทศที่กำลังจะมุ่งไป ซึ่งปาฐกถาของท่าน (ในครึ่งแรก) มีดังนี้

“ผมเชื่อว่าเราต้องการนักคณิตศาสตร์ประกันภัยมากขึ้นกว่าเดิม เพราะสังคมเรานั้นสนใจแต่การแก้ปัญหาระยะสั้น โดยไม่มีใครสนใจแก้ปัญหาระยะยาวอย่างเพียงพอ เราจึงต้องการคนที่ไม่ตามกระแส แต่มองภาพไปที่ระยะยาวแทน

จากประสบการณ์ของผมทั้งในภาครัฐบาลและภาคธุรกิจ ผมบอกได้ว่าแนวคิดที่มองไปที่ข้อมูลและข้อเท็จจริงเท่านั้นที่จะช่วยจัดการความเสี่ยงและทำให้อยู่รอด โดยเป็นตัวแบ่งแยกระหว่างความสำเร็จออกจากความล้มเหลว

ผมได้ผ่านเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยหลายครั้ง เช่น วิกฤตการเงินต้มยำกุ้งในปี 2540 ซี่งตอนนั้นมีนักวิเคราะห์ออกมาเตือนล่วงหน้าเป็นเวลา 3 ปีเต็ม ๆ แต่คนทั่วไปกลับไม่สนใจคำเตือนนี้

และในปี 2554 ที่เกิดน้ำท่วม ธนาคารโลกได้ประมาณความเสียหายของประเทศไทยถึง 45,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถูกจัดอันดับความเสียหายเป็นอันดับ 4 ของโลก ตั้งแต่ที่เคยมีการเก็บสถิติมหันตภัยมา

เหตุการณ์น้ำท่วมนี้ เกิดจากธรรมชาติ หรือว่า เราสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ ?

หลังจากวิกฤตต้มยำกุ้ง เราได้มีการปรับปรุงการกำกับดูแลในเรื่องงบประมาณและการตรวจสอบสถาบันการเงินให้เข้มงวดขึ้น เห็นได้จากในปี 2551 ได้เกิดวิกฤตการณ์ hamburger crisis ซึ่งส่งผลกระทบต่อฝั่งตะวันตก แต่ไม่ได้กระทบต่อสถาบันการเงินฝั่งเอเชียมากนัก เป็นข้อพิสูจน์ได้ว่าการปรับปรุงของเราได้ผล และถ้าเราทำมันก่อนปี 2540 ก็คงไม่เกิดวิกฤตการเงินต้มยำกุ้งเป็นแน่

และถ้าหน่วยงานทุกฝ่ายเข้าใจข้อมูลและได้มีการวิเคราะห์เรื่องน้ำกันอย่างดีพอ เราก็คงจะหลีกเลี่ยงวิกฤตการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในไทยได้แน่นอน

การที่เกิดวิกฤตต้มยำกุ้งนั้นนักคณิตศาสตร์ประกันภัยได้ทำหน้าที่ของตัวเองในการประเมินวิเคราะห์ความเสี่ยงในอนาคตหรือไม่ ? หรือ

ผู้กำหนดนโยบายอย่างผมที่ทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ? หรือ ผู้กำหนดนโยบายตัดสินใจผิดพลาดจากข้อมูลที่ได้จากนักคณิตศาสตร์ประกันภัย ? หรือเราไม่สามารถมีข้อมูลที่ดีพอ ?

ผมมองว่าเป็นความผิดพลาดของทั้งสองฝ่าย ฝ่ายนักคณิตศาสตร์ประกันภัยมีข้อมูล แต่ขาดการนำเสนอให้ประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รู้ตัว ส่วนฝ่ายระดับนโยบาย จริง ๆ เรามีข้อมูลที่วิเคราะห์เอาไว้ แต่ขาดการนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ โดยเฉพาะการตัดสินใจแต่ละอย่างส่วนใหญ่เกิดจากการหวังผลทางการเมืองในระยะสั้น

มันไม่ใช่ความผิดของนักการเมือง แต่เป็นความคาดหวังของประชาชนที่มีต่อนักการเมืองเสียมากกว่า เช่น ทางภาครัฐตัดสินใจที่จะลดระดับน้ำในเขื่อนลง

ทั้ง ๆ ที่ข้อมูลระบุชัดเจนว่าหลังจากน้ำท่วมไปแล้ว 1 ปี (พ.ศ. 2555) จะเกิดภาวะแล้งขึ้น จนในปี พ.ศ. 2555 นั้นก็เกิดภาวะแล้งครั้งใหญ่ขึ้นจริง โดยที่น้ำในเขื่อนมีไม่เพียงพอ

คำถามที่ฝากไปคิด คือ นักการเมืองตัดสินใจอย่างไม่มีเหตุผล หรือไม่ยอมเชื่อข้อมูลจากนักวิเคราะห์กันแน่ อันที่จริงเป็นเพราะความเสี่ยงทางการเมืองมากกว่าหรือไม่ เพราะในตอนนั้นภาวะแล้งจะถือเป็นปัญหาใหม่ ซึ่งคงจะไม่ค่อยมีคนวิจารณ์กันซักเท่าไหร่ แต่หากเกิดน้ำท่วมซ้ำอีกครั้ง อันนั้นประชาชนคงรับไม่ได้แน่

ดังนั้น นักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะรู้ได้อย่างไรว่าข้อมูลที่วิเคราะห์มาจะเป็นไปในทิศทางใด หากคนที่นำข้อมูลเหล่านั้นไปตัดสินใจแล้วปรากฏว่าออกมาผิดทาง (เช่น ปรากฏว่าไม่มีภาวะแล้ง แต่เกิดน้ำท่วมซ้ำรอยแทน) ก็จะมีผลทางการเมืองอย่างมากกับคนที่ตัดสินใจหรือนักคณิตศาสตร์ประกันภัยจะทำอย่างไรที่จะผลักดันให้ ผู้กำหนดนโยบายได้ตัดสินใจบนการพยากรณ์หรือจำลองอนาคตถึงภัยพิบัติล่วงหน้า

ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าถ้าทำแล้วก็จะยังไม่เห็นผลลัพธ์ในทันที (แต่จะเกิดในระยะยาว ซึ่งผู้กำหนดนโยบายตอนนั้นอาจจะเปลี่ยนคน และปิดทองหลังพระไป)”


#สำนักงานบัญชี,#สำนักงานสอบบัญชี,๒ทำบัญชี,#สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : บทบาทผู้กำหนดนโยบาย นักคณิตศาสตร์ประกันภัย

view