จากประชาชาติธุรกิจ
หากย้อนรอยสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลัก ทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่ได้กล่าวโทษนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และอดีตผู้บริหารของ บมจ.อีสเทิร์นไวร์ (EWC) ซึ่งปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN) ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา
เนื่องจากได้ร่วมกันกระทำทุจริตผิดหน้าที่และยักยอก เงินของอีสเทิร์นไวร์ เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้เพื่อตนเองหรือผู้อื่นในระหว่างปี 2547-2548 ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายแก่อีสเทิร์นไวร์เป็นจำนวน 580.1 ล้านบาท จากช่วงเวลาของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั้นเป็นช่วงปีเดียวกับที่นายสุริยา นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี 2548 ในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นยุครัฐบาล "ทักษิณ" ที่มีนโยบายเปิดเสรีเก็งกำไรตลาดหุ้นอย่างคึกคัก ซึ่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในช่วงนั้น คือ "กิตติรัตน์ ณ ระนอง" เหตุการณ์สำคัญในช่วงนั้น หุ้นเล็กที่อยู่ในกลุ่มฟื้นฟูกิจการคึกคักมาก เพราะถูกปั่นราคาที่ถูกอยู่แล้ว และมีสภาพคล่องต่ำ โดยมีการเก็บหุ้นตุนไว้จนถึงระดับหนึ่งก็สร้างสตอรี่มีผู้ร่วมทุนรายใหม่ เข้ามากอบกู้ ทำให้นักเก็งกำไรทั้งขาใหญ่และแมงเม่าโดดเข้าหุ้นร้อนกันไม่ลืมหูลืมตา
กลุ่มหุ้นที่เกี่ยวพันนักการเมืองและนักเล่นหุ้นขาใหญ่ มืออาชีพ ไม่เว้นแม้แต่นักปั่นหุ้นขาใหญ่อย่าง เสี่ยสอง วัชรศรีโรจน์ ก็ปรากฏชื่อในวงการอีกคน โดยหุ้นที่ถูกสปอตไลต์ส่องมาก มีประมาณ 4-5 บริษัท ประกอบไปด้วย บมจ.ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น (PICNI) บมจ.อีเอ็มซี (EMC) บมจ.อีสเทิร์นไวร์ (EWC) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.แคปปิทอล เอ็นจิเนียริ่ง เน็ตเวิร์ค (CEN), บมจ.อกริเพียว โฮลดิ้งส์ (APURE) และ บมจ.เพาเวอร์-พี (PP) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อย่อเป็น POWER หากย้อนดูการเคลื่อนไหวของหุ้นเหล่านี้ในช่วงเวลานั้น หุ้นปิคนิคถูกโฟกัสมากที่สุด เพราะปรากฏชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่เป็นตระกูล "ลาภวิสุทธิสิน" ถือหุ้นสัดส่วน 13.75% ในปี 2545 และกระโดดมาเป็น 58.09% ในปี 2546 หลังจากนั้นราคาหุ้นก็ทะยานขึ้นทำสถิติสูงสุด 80 บาทต่อหุ้น ในช่วงปี 2547-2548 ในช่วงเดียวกัน หุ้นอีเอ็มซีก็ย้ายจากกลุ่มฟื้นฟูเข้ามาซื้อขายในกระดานปกติในช่วงปี 2546 มีชื่อ "สุริยา" นั่งเป็นกรรมการในปี 2547 พร้อมกับมีชื่อ "พายัพ ชินวัตร" และลูกชาย "ฤภพ ชินวัตร" เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ ดันราคาหุ้นขึ้นไป 7 บาท หุ้น 2 ตัวนี้ถูกจับโยนกันไปโยนกันมาจนติดตลาดเก็งกำไร หลังจากหุ้นรีแฮปโก้จุดพลุนักเก็งกำไรติดตลาดแล้ว หุ้นที่เหลือต่างพาเหรดออกมาซื้อขายในกระดานปกติเช่นกัน มีทั้งหุ้นอีสเทิร์นไวร์ ที่ได้ผู้ถือหุ้นใหม่ที่ถูกโยงเกี่ยวข้องกับ "สุริยา" รวมทั้งยังมี "คมกริช ลือจรรยา" เพื่อนโรงเรียนเซนต์ดอมินิก แม้แต่ "รัตนา เสถียรวารี" เป็นเพื่อนภรรยา "สุริยา" ก็ร่วมวงด้วย อีกทั้งยังข้ามไปถือหุ้นอกริเพียว โดยราคาหุ้นอีสเทิร์นไวร์พุ่งขึ้นมาแตะ 40 บาทต่อหุ้น จากนั้นวิ่งพรวดถึง 84 บาท ส่วนหุ้นอกริเพียว จากเปิดตัวกว่า 1 บาท วิ่งทะลุไปที่ 291 บาทต่อหุ้น
มาตรการสกัดหุ้นร้อนของ ตลท.ในช่วงนั้น คือประกาศหยุดพักการซื้อขาย (H) และห้ามซื้อขายมาร์จิ้นและหักชำระบัญชีในหุ้นตัวเดียวกันในวันเดียวกัน (net settlement and margin trading) แต่ก็ไม่ได้ลดความร้อนแรงของหุ้นเหล่านี้ แม้จะมีการตรวจสอบความผิดปกติของราคาหุ้นและกลุ่มผู้เล่น แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ จนกระทั่งในช่วงเดือน มี.ค. 2548 สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตรวจพบความผิดปกติของงบการเงินปี 2547 ของปิคนิค ที่มีการตั้งค่าความนิยม (good will) ของราคาสินทรัพย์สูงถึง 1,049 ล้านบาท และสั่งแก้ไขงบการเงินดังกล่าว หลังจากนั้นยังตรวจสอบพบการตกแต่งบัญชีทำสัญญาและรับรู้รายได้ ซึ่งบันทึกเป็นการให้เช่าถังแก๊สไม่ถูกต้อง ซึ่งแต่ละรายการมูลค่านับพันล้านบาท และยังทุจริตให้กู้ยืมเงินจำนวน 85 ล้านบาท แก่นิติบุคคล 2 ราย ซึ่งเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของอดีตผู้บริหารและบุคคลอื่น โดย ก.ล.ต.ดำเนินการกล่าวโทษตั้งแต่ 30 มิ.ย. 2548 แต่ก็ยังไม่สามารถสาวถึง "สุริยา" ได้ เพราะคนถูกกล่าวโทษคือ "ธีรัชชานนท์ ลาภวิสุทธิสิน" และ "สุภาพร ลาภวิสุทธิสิน" และบุคคลที่เกี่ยวข้องอีก 3 ราย และมีการกล่าวโทษเพิ่มเติมต่อมาในวันที่ 13 ต.ค. 2549
จนกระทั่ง ก.ล.ต.ตรวจพบข้อมูล ทุจริต ยักยอกเงิน และหุ้นบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นทรัพย์สินของปิคนิค ที่มีการโอนหุ้นเวิลด์แก๊สให้เจ้าหนี้ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ 169 ล้านบาท จากมูลค่าเวิลด์แก๊สในปี 2547 อยู่ที่ 1,011 ล้านบาท จึงส่งผลให้ ก.ล.ต.สาวไปถึงตัว "สุริยา" และผู้เกี่ยวข้องในเวลาต่อมา นอกจากนี้ ก.ล.ต.ยังเช็กบิลไปถึงหุ้นอีสเทิร์นไวร์ โดยในปี 2548 ที่พบความผิดปกติในรายการให้กู้ยืมเงินกับ บริษัท เจเจแลนด์ เดเวลลอปเม้นท์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่เกี่ยวโยงถึงภรรยาของ "สุริยา" และยังให้กู้ยืมเงินแก่ บมจ.สยามเจเนอรัลแฟคตอริ่ง (SGF) แม้ในช่วงเวลานั้นจะยังไม่สามารถกล่าวโทษได้ แต่ ก.ล.ต.ก็ยังเดินหน้ารวบรวมหลักฐานต่าง ๆ กว่า 5 ปี ถึงได้กล่าวโทษเมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา
การเชื่อมโยงเครือข่ายกลุ่ม "สุริยา" ยังพบว่าเกี่ยวข้องไปถึงหุ้นของ บมจ.เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) ผู้นำเข้ารถหรูที่เข้าตลาดหุ้นได้ไม่นานก็โกยเงินผู้ถือหุ้นรายย่อยหนีหายไป ด้วยการเสกรถหายไปแบบไร้ร่องรอยจากคลังสินค้าถึง 493 คัน มูลค่า 1,409 ล้านบาท ซึ่ง ก.ล.ต.ตรวจสอบการทุจริตและยักยอกทรัพย์ของ "สมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์" ประธานกรรมการบริษัท และมี "สุริยา" ร่วมมือด้วยการปลอมแปลงชื่อ เพื่อยักยอกเงินบริษัทในรูปการกู้ยืมออกไปให้แก่บุคคล 4 ราย จำนวน 245 ล้านบาทอีก รวมทั้งยังพบการสร้างราคาหุ้นด้วย
ทุกวันนี้บริษัทเหลือแต่ซากความเสีย หายที่ถูกทิ้งไว้ในตลาดหุ้น