จากประชาชาติธุรกิจ
9 สิงหาคม ศาลปกครองพิจารณาคดี"ค่าโง่โฮปเวลล์" หมื่นล้าน รัฐยกข้อต่อสู้"อนุญาโตตุลาการ"ชี้ขาดให้"กอร์ดอน วู "ชนะ โดยไม่ชอบ เกินขอบเขต
ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานว่า วันที่9 สิงหาคม 2553 เวลา 10.00 น. ศาลปกครองกลางจะนั่งพิจารณาคดีค่าโง่โฮปเวลล์หมื่นล้าน โดยคดีนี้ กระทรวงคมนาคม และการรถไฟแห่งประเทศไทย ยื่นฟ้อง บริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด ของนายกอร์ดอน วู นักลงทุนยักษ์ใหญ่จากฮ่องกง ตามเลขคดีที่ 107/2552 , 2208/2551 และ 1379/2552 โดยคดีนี้เป็นคดีที่ กระทรวงคมนาคมและพวก ร้องว่า คณะอนุญาโตตุลาการ ซึ่งมีคำชี้ขาด ตามข้อพิพาท หมายเลขคดีแดงที่ 70/2551 ให้ยกคำเสนอข้อพิพาทของกระทรวงคมนาคม โดยอ้างว่า กระทรวงคมนาคม บอกเลิกสัญญากับผู้คัดค้านตามสัญญาสัมปทาน ระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร และการใช้ประโยชน์จากที่ดินของการรถไฟแห่งประเทศไทย โดยไม่ชอบ
" กระทรวงคมนาคมและการรถไฟฯ เห็นว่า คณะอนุญาโตตุลาการ ชี้ขาดไปโดยไม่มีอำนาจ และคำชี้ขาดดังกล่าว เป็นการชี้ขาดเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ "
ข้อพิพาทในคดีนี้ เกิดขึ้นเมื่อ คณะอนุญาโตตุลาการมีคำชี้ขาดให้กระทรวงคมนาคม และ ร.ฟ.ท. จ่ายคืนเงินค่าก่อสร้าง และเงินค่าตอบแทน รวมทั้งเงินค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ำประกัน เป็นจำนวนกว่า 11,800 ล้านบาท ให้กับบริษัท โฮปเวลล์ (ประเทศไทย) จำกัด หลังถูก ร.ฟ.ท.บอกเลิกสัญญาโครงการระบบการขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับในกรุงเทพมหานคร หรือโครงการโฮปเวลล์ในปี 2541 ซึ่งปัญหาดังกล่าวคล้ายคลึงกับค่าโง่ทางด่วนที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เกือบจะต้องเสียให้กับเอกชนเมื่อหลายปีก่อน
อดีตผู้บริหาร ร.ฟ.ท. เห็นว่า คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ไม่ชอบ จึงคัดค้านคำตัดสินดังกล่าว เพราะขั้นตอนการบอกเลิกสัญญาเป็นไปอย่างถูกต้องตามกระบวนการทางกฎหมาย ซึ่ง ร.ฟ.ท.จะเสนอรายละเอียดประเด็นในการคัดค้านไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อทำเรื่องอุทธรณ์คัดค้านที่ศาลปกครอง
ทั้งนี้คำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการระบุว่า การที่กระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาโครงการโฮปเวลล์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 388 เพราะไม่อาจบอกเลิกสัญญาตามสัญญาสัมปทานข้อ 27 ได้ เพราะระยะเวลาที่จะดำเนินการตามสัญญาสัมปทานข้อ 27 ได้ผ่านพ้นไปแล้วถึง 3 ระยะนั้น คณะอนุญาโตตุลาการเห็นว่าข้ออ้างดังกล่าวต้องเป็นกรณีที่คู่สัญญาได้กระทำ การอย่างใดอย่างหนึ่ง อันเป็นเหตุให้คู่สัญญาอีกฝ่ายเลิกจ้างได้ตามกฎหมาย และการกระทำนั้นไม่ใช่เหตุเลิกจ้างตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาเท่านั้น เหตุเลิกจ้างแม้เป็นเหตุตามกฎหมาย ถ้าคู่สัญญาทำข้อตกลงกันไว้ให้อยู่ในบังคับเงื่อนไขอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะข้อตกลงดังกล่าวมีผลบังคับกันได้ตามกฎหมาย ข้ออ้างของกระทรวงคมนาคมและ ร.ฟ.ท. จึงมีน้ำหนักน้อย ไม่อาจรับฟังได้
จนเป็นผลให้คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดให้กระทรวง คมนาคมและ ร.ฟ.ท.ร่วมกันคืนเงินให้บริษัท โฮปเวลล์ รวม 11,800 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี แบ่งเป็น 1.ค่าตอบแทนที่บริษัทจ่ายให้ ร.ฟ.ท. จำนวน 2,850 ล้านบาท นับแต่วันที่ได้รับเงินในแต่งวด 2.ค่าก่อสร้างโครงการ จำนวน 9,000 ล้านบาท นับแต่วันชี้ขาด และ 3. เงินค่าธรรมเนียมในการออกหนังสือค้ำประกัน คิดถึงวันเสนอข้อพิพาท จำนวน 38.74 ล้านบาท นับแต่วันที่บริษัทได้จ่ายเงินค่าธรรมเนียมแต่ละงวดให้แก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) และให้คืนหนังสือค้ำประกันให้บริษัทด้วย
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า โครงการโฮปเวลล์เป็นโครงการในสมัยรัฐบาลชวน หลีกภัยเป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการผลักดันให้มีการก่อสร้างโครงการระบบขนส่งทางรถไฟและถนนยกระดับใน กรุงเทพมหานคร (กทม.) ซึ่งในสมัยนั้นได้มีการลงนามสัญญาก่อสร้างในสมัยรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ ที่มีนายมนตรี พงษ์พานิช เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ซึ่งสัญญามีผลบังคับในวันที่ 6 ธ.ค. 35 กำหนดอายุสัญญาสัมปทาน 30 ปี แต่โครงการดังกล่าวกลับยกเลิกสัญญาสัมปทานในสมัยสุเทพ เทือกสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 27 ม.ค. 2541 เนื่องจากผู้รับเหมาทิ้งงานและก่อสร้างงานไม่ได้ตามแผน ทั้งนี้โครงการดังกล่าวสร้างความเสียหายให้กับประเทศ รัฐบาล และ ร.ฟ.ท. มหาศาล เนื่องจากใช้เงินลงทุนสูง ถือว่าเป็นผลงานที่สะท้อนความล้มเหลวของรัฐบาลชาติชายและรัฐบาลชวนเป็นอย่าง มาก
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทย ประสบปัญหาค่าโง่ มาแล้ว หลายคดี ไม่ว่าจะเป็น ค่าโง่ทางด่วนที่การทางพิเศษแห่งประเทศไทย คดีค่าโง่ ดอนเมืองโทลล์เวย์ที่แพ้ วอเตอร์บาว กว่า 6,000 ล้านบาท ค่าโง่ ทรู 9,000 ล้าน และอีกหลาย คดี จนทำให้รัฐบาลชุดปัจจุบัน ออกมติครม. ห้ามหน่วยงานของรัฐใช้ระบบอนุญาโตตุลาการในสัญญา สัมปทานกับรัฐบาล