สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นายกฯปลุกสังคมตื่นตัวต้านคอร์รัปชัน/ปัจจุบันขณะ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม

นายกฯปลุกสังคมตื่นตัวต้าน"คอร์รัปชัน"

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

“อภิสิทธิ์” รับทุจริตคอร์รัปชันในไทยยังอยู่ระดับที่รุนแรง กระตุ้นสังคมตื่นตัวแก้ปัญหา ชี้ “ความโลภ-ความไม่รู้จักพอ” ต้นตอสำคัญก่อให้เกิดการทุจริตจี้สังคม อย่าให้เกียรติหรือยอมรับคนที่ได้ “อำนาจ-เงิน-ตำแหน่ง” โดยมิชอบ แนะต้องแยกแยะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวม ด้าน "พระรักเกียรติ" เตือนสตินักการเมือง ทำผิดแล้วหนีคดีไปต่างประเทศได้ แต่หนีนรกไม่พ้น

สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) จัดกิจกรรม "รวมพลังเครือข่ายประชาชนป้องกันการทุจริต" ขึ้นวานนี้ (3 ก.ย.) ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นประธานเปิดงาน พร้อมปาฐกถาพิเศษ ตอนหนึ่งระบุว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันของไทยปัจจุบัน เป็นปัญหาที่ใหญ่มาก แม้จะมีความพยายามสร้างกลไกตรวจสอบทั้งของ ป.ป.ช. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) และการเตรียมจัดตั้ง ป.ป.ช.ระดับจังหวัดในอนาคตก็ตาม แต่ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันยังอยู่ในภาวะรุนแรง เห็นได้จากข่าวสารที่เกี่ยวกับการกล่าวหาว่า มีการทุจริตคอร์รัปชันทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ดังนั้นจำเป็นต้องรณรงค์ให้ประชาชนตื่นตัวกับปัญหานี้ และแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การเอาชนะคอร์รัปชัน นอกจากความตื่นตัว การสร้างเครือข่ายภาคประชาชนให้มีส่วนร่วมในการตรวจสอบ หรือแจ้งเบาะแสแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญ 4 ประเด็น ได้แก่ 1.การสร้างความตื่นตัวและดึงประชาชนเข้ามามีส่วนร่วม ต้องทำให้ประชาชนเห็นรูปธรรมของความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริต คอร์รัปชัน 2.การรณรงค์และสร้างสังคมที่มีค่านิยมสุจริต

"การมีความสัมพันธ์ส่วนตัว การมีบุญคุณ การมีหนี้บุญคุณ กับบุคคลต่างๆ เป็นอุปสรรคสำคัญ เมื่อบุคคลต้องทำหน้าที่เพื่อส่วนรวมแล้ว ความเกรงใจหรือความรู้สึกที่ต้องตอบสนองกันในฐานะเพื่อนที่ดี ลูกน้องที่ดี เจ้านายที่ดี เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน" นายกรัฐมนตรี กล่าวพร้อมระบุด้วยว่า คนนี้มีบุญคุณกับเรา เราจำเป็นต้องชดใช้หนี้บุญคุณ ถ้ายังเป็นลักษณะนี้ การตัดสินใจใดๆ ประโยชน์ส่วนรวมจะมาทีหลังเสมอ ขณะที่คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องอาจไม่รู้สึกว่าทำในสิ่งที่ผิด แต่มองว่าตนเองได้ทำในสิ่งที่ดีในเชิงการดำเนินชีวิตส่วนตัว

3.การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน ต้องหากลไกคุ้มครองผู้ที่ช่วยแก้ไขปัญหาเหล่านี้ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่จำเป็นต้องกระตุ้นให้เกิดการระดมพลังจากประชาชน และ 4.ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันมีรากฐานจากความโลภและความไม่พอ ตนย้ำเสมอว่า มีหลายคนพูดว่าการทุจริตคอร์รัปชันเกิดจากการได้รับค่าตอบแทน ที่ไม่เพียงพอของเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องทุจริต

นายกฯ แนะเมินคนได้ "เงิน-ตำแหน่ง" มิชอบ

"จากประสบการณ์ที่ผ่านมาของบ้านเมือง น่าจะชี้ชัดแล้วว่าการทุจริตไม่ได้เกิดจากการขาดแคลนหรือไม่มี แต่เกิดจากความไม่รู้จักพอ บ้านเมืองของเราก็มีตัวอย่างให้เห็นว่า คนยากจนและยากลำบากมีมากมาย แต่แสดงออกถึงความซื่อสัตย์สุจริตตลอดเวลา เช่น เราเห็นแท็กซี่ที่มีรายได้ไม่สูงนัก แต่ผู้โดยสารลืมกระเป๋าสตางค์ที่มีเงินมากมาย เขาก็นำเงินไปคืน เพราะเขาซื่อสัตย์ เพราะเขาคิดว่าเงินไม่ใช่ของเขา และคิดว่าการได้อะไรมาต้องมีเหตุผลและมีความชอบธรรมที่จะได้มา"

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในทางตรงกันข้ามจะเห็นคนที่ทุจริตมากมายที่ไม่ได้มีความขาดแคลน สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันก็เกินพอกับความสุขสบาย แต่ไม่หยุดยั้งการแสวงหาหรือได้มาเพิ่มเติม ดังนั้นต้องช่วยรณรงค์ให้คนรู้จักพอ หากรณรงค์ให้คนในสังคมยอมรับได้ว่า การได้อะไรมาต้องได้มาด้วยความชอบธรรม ขยัน อดทน มากกว่าไขว่คว้าค่าตอบแทน ผลประโยชน์ หรือความสำเร็จ โดยวิธีการที่ไม่ถูกต้อง การแก้ปัญหาทุจริตจะทำได้ง่ายกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันมาก

“การมีทรัพย์สินเงินทองตำแหน่งอำนาจ สังคมต้องรู้จักแยกแยะว่า ถ้าได้มาโดยถูกต้องก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่ถ้าได้มาโดยไม่ถูกต้องก็ไม่ควรยอมรับ ให้เกียรติ หรือยกย่อง ก็มีส่วนช่วยให้คนตระหนักความสำคัญของการได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ เพราะการรณรงค์ให้คนรู้จักพอหรือได้ทุกอย่างมาโดยวิถีทางที่ถูกต้องเป็น เรื่องยาก ตราบใดที่สังคมไม่สนใจวิธีการได้มาสิ่งต่างๆ แต่กลับยกย่องคนโดยอัตโนมัติจากผล คือ อำนาจ เงินทอง และตำแหน่ง โดยไม่คำนึงว่าได้มาอย่างไรก็เป็นปัญหาอย่างนี้ เราต้องไปรณรงค์ให้คนทั้งประเทศได้ตระหนักเรื่องนี้”

นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การระดมพลังเพื่อสร้างเครือข่ายประชาชนในการต่อสู้ทุจริตคอร์รัปชัน ต้องให้ความสำคัญกับการปราบปราม โดยต้องนำตัวผู้กระทำผิดหรือผู้ทุจริตมาลงโทษได้ ขณะที่การปราบปรามและการป้องกัน ต้องทำควบคู่กันไป

"พระรักเกียรติ" เตือนสตินักการเมืองหนีคดี

ด้านพระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม หรือนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีต รมว.สาธารณสุขและนักการเมืองคนแรก ที่ต้องโทษจากคดีทุจริตยา โดยการชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. กล่าวในการเสวนาเรื่อง "กระบวนการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ" ตอนหนึ่งว่า ตอนเป็นรัฐมนตรีก็มีลูกน้องมากมายดูแล มี ส.ส.ในกลุ่มเป็นจำนวนมาก แต่การเมืองทำให้เสียผู้เสียคน สมัยเป็นนักการเมืองไปตระเวนเล่นการพนันทั่วโลก อยากมีเงินก็มี จนเมื่อติดคดีทำให้ต้องหลบหนี ซึ่งลำบากมาก คิดอยู่ 3 ทาง คือ มอบตัว หนีไปต่างประเทศ และฆ่าตัวตาย และก็คิดได้ว่ายอมโดนจับดีที่สุด

พระรักเกียรติ เปิดใจด้วยว่า วินาทีแรกที่โดนจับที่สถานีตำรวจปากเกร็ด จ.นนทบุรี รู้สึกโล่งใจ เพราะช่วง 1 ปีที่หลบหนี รู้สึกทรมานมาก ทั้งที่ไม่ได้หลบหนีไปไหนไกล อยู่แต่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อนที่เป็น ส.ส.และรัฐมนตรีต่างหายหมดไม่มีใครคบ เพราะกลัว ป.ป.ช.จะตาม มีเงินใช้วันละ 100 บาทเท่านั้น ทั้งเมียยังขอกลับไปใช้นามสกุลเดิม ที่สำคัญสร้างความเดือดร้อนให้กับน้องสาวกับน้องชายอย่างมาก เพราะใช้นามสกุลเดียวกัน

"ช่วงติดคุกมีข่าวว่าได้รับสิทธิพิเศษ ซึ่งไม่เป็นความจริง ความรู้สึกตอนนั้นทรมานมาก อยากออกจากคุกให้เร็วที่สุด จึงทำความดีด้วยการสอนหนังสือและประพฤติตัวให้ดีตลอด จนได้รับการพักโทษให้คุมประพฤติ จึงอยากฝากไปถึงนักการเมืองทั้งหลายว่า ช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์ ก้าวหน้า เป็นดาวรุ่ง เป็นความหวังประชาชน ก็ควรรักษาไว้ให้ดี เพราะหากประมาทเดินทางผิด และพลาดขึ้นมาชีวิตจะรวนไปทั้งระบบ"

ชี้หนีคดีไปนอกได้แต่หนีนรกไม่พ้น

พระรักเกียรติ กล่าวด้วยว่า คนทำผิดแล้วหนีไปต่างประเทศได้ แต่ก็หนีกรรมไม่พ้น ส่วนตัวไม่อิจฉาคนอื่นที่หนี เพราะคนที่หนีแล้วก็กลับมาเมืองไทยไม่ได้ ขอติดคุก 15 ปีดีกว่า แล้วใช้วิธีทำความดี สำนึกผิด เพื่อจะได้ออกมาใช้ชีวิตปกติ บางคนอายุ 70 กว่าแล้วก็ยังไม่สามารถกลับมาได้ หนีคดีได้แต่คงหนีนรกไม่พ้นแน่นอน ตอนนี้ดีใจที่ชดใช้กรรมหมดแล้ว หลังตกนรกบนดินมานานกว่า 5 ปี

นายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า บทสรุปจากพระรักเกียรติ คือ ค่านิยมในทางผิดที่ทำให้คนหลงผิดได้ ความนิยมชมชอบวัตถุ ลาภยศ ตำแหน่งต่างๆ จนทำให้กิเลสเกิดขึ้น ตนขอกราบคนที่ทำผิดแล้วกลับมาสอนคนอื่นไม่ให้ทำผิด และขอเป็นกำลังใจให้พระรักเกียรติต่อไป


'ปัจจุบันขณะ' พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม

วัตรปฏิบัติทุกวันนี้หลวงพ่อทำอะไรบ้าง

ชีวิตประจำวันตอนนี้ก็ทำสำนักปฏิบัติธรรม อบรมปฏิบัติธรรม อบรมเด็กนักเรียน หรือบุคคลต่างๆ รับนิมนต์ไปบรรยายธรรมะ

บรรยายธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่?

ก็เอาชีวิตของตัวเองมาเป็นตัวอย่างว่า มันผิดพลาดยังไง ชีวิตเราเจริญก้าวหน้ามาทางด้านการเมือง ประสบความสำเร็จพอสมควร อายุก็ไม่มาก วันหนึ่ง เราหลงไหล เราตกอยู่ใต้กิเลส ตกอยู่ในการครอบงำของอบายมุขต่างๆ สิ่งเหล่านี้มันเป็นความเสื่อม อยากให้คนทั้งหลายรู้ว่า ถ้าใช้ชีวิตด้วยความประมาท อาจตกอยู่ภายใต้การครอบงำของกิเลสที่พอกพูนขึ้น ก็ทำให้เราอยู่ในอบายมุข ขณะอยู่ในอบายนั้นก็มีความสุข ได้กินเหล้า มีผู้หญิงหลายคน เที่ยวเล่นการพนัน แต่มันเป็นความสุขที่ไม่ยั่งยืน เดี๋ยวก็เสื่อม ทำให้ชีวิตเราตกต่ำ 5 ปีที่อยู่ในเรือนจำก็ได้เห็นมาหมด เหมือนเราตกนรกทั้งเป็น 

จุดประสงค์หนึ่งที่ออกไปสอน ก็เพราะเราต้องการให้คนทั้งหลายใช้ชีวิตโดยความไม่ประมาท เราต้องการให้ทุกคนไม่เลินเล่อ ดับกิเลสให้ได้ แล้วชีวิตจะมีความสุข ยกตัวอย่างให้เขากลัวกฎหมาย กลัวผิดศีลธรรม ถ้าคนไม่กลัวบาป ต่อไปเขาก็ไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง เราชี้ให้เขาเห็นว่า นรกเราก็ไปแล้วนะ คุกเราก็ไปแล้ว เมื่อก่อนเรามีหมด อยากได้อะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้เราติดคุก ไม่มีอะไรสักอย่าง แม้แต่ครอบครัวก็แตกสามัคคี ผลกระทบมันโดนกับตัวเราเอง และคนที่อยู่รอบข้างเราด้วย คนที่มันผิดพลาด พลั้งเผลอไป มันก็พังทลายหมด
 
ไม่อายที่จะเอาความผิดพลาดของตัวเองขึ้นมาพูด?

คนติดคุกมันอายนะ จริงๆ เราก็ควรจะอาย เป็นรัฐมนตรีที่ติดคุก แต่มันเป็นเรื่องจริงคนเขาก็รู้กันทั้งประเทศอยู่แล้ว ผิดก็ต้องยอมรับว่าผิด ผิดแล้วเราก็ต้องแก้ไข ผิดแล้วเราไม่ได้แก้ตัว ชีวิตเราไม่ย้อนเดินทางเก่า เดี๋ยวนี้หลวงพ่อมีสิทธิกลับไปเล่นการเมืองใหม่แล้วนะ เพราะได้พระราชทานอภัยโทษเมื่อวันฉัตรมงคล  คือ ให้พ้นจากการคุมประพฤติ 2 ปี 6 เดือนที่เหลือนี่ ไร้มลทินแล้ว ไปไหนก็ได้ แต่ก่อนออกต่างจังหวัดนี่ต้องไปรายงานตัวขออนุญาต

ถ้าอย่างนั้น ที่ผ่านมา มันเกิดอะไรขึ้น

มันแพ้... พูดอย่างนี้ ไม่ได้แก้ตัวนะ เพราะตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะไปแก้ตัว เรื่องมันผ่านไปแล้วรับโทษไปแล้ว คล้ายๆ เป็นเคสตัวอย่าง คดีแรก หลังยุคปฏิรูปทางการเมือง เมื่อรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งมีกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ป.ป.ช.พ.ศ.2542 ขึ้นมา กฎหมายตัวนี้ก็เปลี่ยนป.ป.ป. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ) ให้เป็น ป.ป.ช.เขาก็เอาเรื่องเรามาพิจารณาใหม่ ไต่สวนใหม่ ตั้งคณะกรรมการขึ้นใหม่ จนกระทั่ง 2545 เขาก็ชี้มูลว่ามีความผิด

ที่แพ้นี่เพราะระบบกฎหมายใหม่ เพราะตอนนั้นเปลี่ยนจากระบบกล่าวหา เป็นระบบไต่สวน คำว่ากล่าวหานี่อัยการต้องพิสูจน์ว่าจำเลยผิดจริง ต้องมีใบเสร็จ สมัยก่อนที่เขาบอก ถามหาใบเสร็จนักการเมืองจับนักการเมืองไม่ได้สักที ปฏิรูปการเมืองใหม่เลยแก้จากกล่าวหาก็ไต่สวนเลย ผู้ถูกกล่าวหาต้องพิสูจน์ว่าคุณบริสุทธิ์ ถ้าพิสูจน์ไม่ได้ ศาลสงสัยคุณ ศาลจะลงโทษ ฉะนั้นใครมาถูกดำเนินคดีอาญาทางการเมืองเนี่ย โดนทุกคน หนีไม่รอด

พอไต่สวนไป ศาลให้เรามีโอกาสพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง เราพิสูจน์ ศาลบอกไม่น่าเชื่อว่า... มันเป็นระบบกฎหมายใหม่ ที่ไม่สามารถไปหาใบเสร็จไม่ได้ ก็ให้นักการเมืองแสดงความบริสุทธิ์ ศาลบอกไม่เชื่อ เห็นไหม ขึ้นศาลอาญากี่คนๆ นักการเมืองไม่มีรอดหรอก กฎหมายเป็นแบบนี้ แล้วระบบกฎหมายจะไปโทษใครล่ะ ก็ตอนนั้นกฎหมายผ่าน 2540 กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ 2542 เราก็เป็นส.ส.เรายกมือให้ผ่านเอง โดน 3 คดีนะ คดีอาญาก็ถูกตัดสินจำคุก 15 ปี คดีแพ่งก็ทรัพย์สินถูกยึด 233 ล้านบาท และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินทางการเมือง 5 ปี
 
ก็เลยต้องหนี ?

เวลาซ่อนตัวมันไม่มีความสุข โทรหาใครก็ไม่ได้ ก็หนีอยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละ ใช้เงินวันละ 100 บาทน่ะ กินข้าวอย่าเกินมื้อละ 30 บาทนะ คนเคยมีเงิน อยากได้อะไรก็ได้ แถมมีอำนาจด้วย โอ๊ย บารมีมันขึ้นนะ เนรมิตอะไรก็ได้หมด แต่เวลามันลง ดวงคนนะ ต้องซ่อนตัว หนี เคยมีไฝก็เอาไฝออก ไว้หนวด ใส่แว่นตาดำ หนีอยู่ปีหนึ่ง จนตุลา 47 เดินออกกำลังกาย อยู่ที่สวนสาธารณะที่บางกรวยโน่น มีคนไปแจ้งตำรวจ เขาก็ไปจับ

วินาทีที่ควบคุมตัว ไม่ใช่เสียใจนะ มันโล่งใจ เราไม่ต้องหนีอีกแล้ว การหนีนี่เป็นอะไรที่ทรมานมาก มันไปไหนไม่ได้ มันอยู่แบบ... จะประสาท เคยคิดจะฆ่าตัวตาย เคยคิดหนีไปต่างประเทศ เคยคิดจะมอบตัว มันมีทางสามแพร่งให้เลือก ขึ้นไปตึกสูงๆ อย่างตึกใบหยกโดดลงมาให้มันตายไปเลย เพราะเสียชื่อเสียงมาก ญาติพี่น้องเดือดร้อน ลูกเมียเดือดร้อน เวลาคนพลาดก็มีแต่คนซ้ำเติมนะ ไม่มีคนเห็นใจเราหรอก

อย่างท่านทักษิณนี่ โทษ 2 ปี แล้วเขาก็หนีไป แล้วเขาก็มาทำลายบ้านเมือง ไม่ได้อิจฉาเขานะ สงสารเขาเสียด้วยซ้ำไป ไม่รู้ว่าจะได้กลับเมืองไทยหรือเปล่า ทรมาน หนีไปต่างประเทศก็ทรมานนะ ไม่ใช่มีเงินแล้วไม่ทรมาน ติดต่อใครก็ลำบาก นี่เห็นไหม อยู่ดูไบก็อยู่ไม่ได้แล้ว จะไปอยู่มอนเตเนโกร เขาก็ตามไป มันก็ไม่ใช่สบาย คุณจะมีเงินซื้อเครื่องบินส่วนตัว บินอยู่บนฟ้า ก็ยังกลัวเขาสอยเลย แล้วจะอยู่ยังไง มันไม่มีความสุขหรอก ที่สัมภาษณ์ตอนปล่อยตัวออกจากคุกเลยบอกว่า ขอบคุณนะที่วันนั้นไม่หนี  มันโล่งใจ เราเห็นทางอยู่ เราเป็นนักกฎหมาย ทำยังไงถึงจะได้กลับบ้านเร็ว มองหาประตูกลับบ้านเลย มีวิธีไหนบ้าง
 
ปรับตัวในคุกอยู่นานไหม

โห... ต้องปรับตัวนาน ต้องรักษาร่างกายไม่ให้ป่วยไม่ให้ตาย แค่ติดคุกก็อายพอแรงแล้ว ถ้าไปตายในคุกมันก็เขียนประวัติศาสตร์ เป็นรัฐมนตรีที่ติดคุก และตายในคุก แน่นอน เราก็ต้องอายถึงลูกถึงหลาน ตายไปแล้วก็ต้องอาย ดังนั้นต้องไม่ให้ตาย ก็รักษาร่างกาย เราก็เป็นเบาหวานแล้วออกกำลัง คุมน้ำตาล การกินการอยู่ จนในที่สุดก็คุมได้

ส่วนปรับใจนี่เราใช้วิธีเรียนธรรมะ ติดคุกนี่มันกดดันนะ ใหม่ๆ ไหนจะปัญหาทางบ้าน ไหนจะปัญหาส่วนตัว เราเคยสบายแล้วมาอยู่อย่างนี้ เราเคยมีเกียรติแล้วมาถูกลบหลู่ ความคิดอะไรมันเข้ามา มันถูกทับถม มันถูกรังแก และซ้ำเติม จิตใจต้องเข้มแข็ง ไม่อย่างนั้นไม่รอด บ้าแน่ๆ ก็มาคิดว่าจะทำยังไงเราถึงจะไม่บ้า หลายคนนั่งคุยกับต้นไม้ คุยอยู่คนเดียวในคุก ภาพกดดันภายนอกมีเยอะ เราเอาตัวเองให้รอดก่อน ไม่ตาย และไม่บ้าในคุก ออกไปแล้วค่อยไปแก้ไข ต้องไปปฏิบัติธรรม เรียนธรรมะพระพุทธเจ้า ทั้งปริยัติ และปฏิบัติธรรม ต้องไปเรียนเพื่อไม่ให้ใจมันว่าง ค้นหาความสุขโดยอาศัยความสงบ ทำให้เกิดปัญญา นำไปสู่ความสุข มีความสุขอยู่ในคุก วันที่ออกมา ก็นี่ไง สบายแล้ว (หัวเราะ)

ออกมาก็เลยตัดสินใจบวช ?

เพราะเราตัดใจว่าจะไม่เล่นการเมืองไว้นานแล้ว ตั้งแต่เมื่อลาออกจากรัฐมนตรี ไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. จะสู้คดี ถ้าชี้มูลว่าไม่มีความผิดก็ไปเล่นการเมืองต่อ แต่ถ้าเราถูกทำให้เกิดรอยตำหนิ เราก็ไม่เล่นการเมือง ทีนี้พอออกมา เรื่องการเมืองนี่ตัดทิ้งอยู่แล้ว เราก็ไม่มีอะไรที่เป็นกังวล เราอยากสอนคน เราเป็นนักการเมือง แล้วก็มีศิลปะในการพูดจูงใจคน เมื่อก่อนพูดให้คนเลือกได้ เดี๋ยวนี้ถ้าเราไปศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าหลายๆ เรื่องขึ้นมา ก็สามารถเอาธรรมะเหล่านี้ขึ้นมาหาวิธีพูดที่เรามีอยู่ให้คนเข้าใจ ให้คนซาบซึ้งในพระธรรม

ตอนนี้ออกไปก็ยกตัวเองเป็นตัวอย่าง ตัวเองผิดพลาดเพราะอะไร ปรับตัวปรับใจยังไง แก้ไขยังไง จนกลับมายังไง จึงออกบวช และตั้งสำนักปฏิบัติธรรมขึ้นมา มันก็เป็นชีวิตที่มีความสุขนะ ไม่ต้องคำนึงว่าจะได้อะไร ผ่านมาหมดแล้ว ตั้งแต่จุดสูงสุดจนจุดต่ำสุด สวรรค์ก็ไป นรกก็ไป ประเทศไหนก็ไปมาหมดแล้ว 7 มหาสมุทรก็เหยียบมาหมดแล้ว ประสบการณ์มีหมด ไม่มีใครมีเหมือนหลวงพ่อ คนอื่นพูดก็พูดไม่ได้อย่างหลวงพ่อ เพราะเขาไม่ได้เจอเอง ยิ่งเดี๋ยวนี้ศีลธรรมมันเสื่อม ทำให้ชีวิต คุณธรรม จริยธรรมไม่ว่าเด็ก ผู้ใหญ่ เสื่อมทรามลง รัฐบาลเขายังเปลี่ยนเลย เปลี่ยนเป็นจริยธรรมนำการศึกษา เราคิดว่าเรามาถูกทางแล้ว

ศีลธรรม จริยธรรมที่เสื่อมไปมันนำไปสู่ปัญหาความวุ่นวายในบ้านเมืองวันนี้ด้วยหรือเปล่า

ปัญหาความแตกแยกทางการเมือง จะว่าไปแล้ว ความวุนวายที่เกิดขึ้นมาจาก เหตุการณ์ปฏิวัติ 2549 พระพุทธเจ้าว่า ถ้าเหตุดับสิ่งนั้นก็ดับไป แต่นี่เหตุมันไม่ดับ มันก็เลยกลายเป็นความแตกแยกแตกร้าวในสังคม ในปัจจุบันนี้ยังร้าวลึก ในวงเสวนาหลายๆ วงก็มีความคิดที่แตกต่างกัน ว่าไปแล้วเมื่อก่อน เรื่องของ ปรองดองแห่งชาติ เราเคยได้ยินแต่เขมรน่ะ ปรองดอง 3 ฝ่ายมันมาจากเขมร เมื่อ 30 ปีที่แล้ว

วันนั้นเราได้ยินเราหัวเราะนะ ตอนนั้นคนเขมรก็ให้สัมภาษณ์ด้วยว่าอยากให้บ้านเมืองสงบเหมือนประเทศไทย แต่วันนี้เมืองไทยแตกร้าว เขมรสงบ เขาใช้เวลากว่า 30 ปีในการแก้ปัญหาบ้านเมืองภายในประเทศ ของไทยตอนนี้ มันปรองดองฝ่ายเดียว มันไม่สำเร็จหรอก ปรองดองอีก 10 ชาติก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่ยอมกัน มันเกิดจากอะไร เกิดจากเหตุ ก็คือ ปฏิวัติ ทำไมเมืองไทยถึงต้องปฏิวัติ ปฏิวัติบ่อยด้วย ทักษิณอาจจะไม่ถูกนัก บริหารประเทศ ความจริงเขาลุแก่อำนาจ ใครต้านทานก็ล้างหมด ที่คุณบอกสองมาตรฐาน มาตรฐานของใครล่ะ ใครเป็นรัฐบาล ตอนเป็นรัฐบาลคุณก็ 2 มาตรฐาน ดังนั้นไม่ต้องไปพูด

ภาพการเมืองสมัยก่อนกับวันนี้มันมีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร

มันต่างกัน ตอนช่วงทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ไม่มีทุจริตระดับย่อย ระดับรายกระทรวง ระดับรายงบประมาณ แต่เขาทุจริตเชิงนโยบาย เขาทุจริตใหญ่ๆ ที่ปรับปั๊บมันเป็นตัวเงิน มูลค่ามหาศาล เขาบังคับรัฐมนตรีในพรรค ไม่ให้ทุจริตด้วยนะ ปัญหาเขาเรื่องการทุจริตไม่มี แต่ที่เขาได้คือภาพเชิงนโยบายที่มันเป็นมา เขาแจ้งบัญชีทรัพย์สินไป 14,000 ล้าน แต่เดี๋ยวนี้เขามี 3 แสนกว่าล้าน มันไม่ทุจริตได้ยังไง ทุจริตมันมาจากผู้บริหาร

วันนี้ ยาบ้าเยอะ สมัยทักษิณไม่มี แต่ว่า อันหนึ่งก็คือ ข้าราชการที่ทำหน้าที่ปราบปรามเขาจริงจัง เขาไม่รับสินบน ขณะที่เดี๋ยวนี้ยาบ้าหาง่ายจะตาย ค้ายาบ้ามีเงินใส่สัก 3 แสนบาท เขาก็เป่าคดีหายแล้ว ยาบ้ามันถึงเยอะ เพราะจ่ายเงินตำรวจ ตำรวจก็เอาเงินไปซื้อตำแหน่ง จ่ายนายอำเภอเขาก็เอาเงินไปซื้อตำแหน่ง มันเห็นอยู่กับตา คนระดับหลวงพ่ออยู่วัดไม่สนใจข่าวการเมือง ไม่สนใจเรื่องการเมืองยังรู้เลย
 
ท่านไม่ได้ติดตามข่าวเลย?

ทีวีไม่ดู หนังสือพิมพ์ไม่อ่าน แต่รู้ มีคนมาคุย จริงๆ ชาวบ้านเขาก็อยากให้เรากลับไปเล่นการเมือง แต่เราไม่เล่นหรอก ก็มาคุยให้ฟังเรื่อย
 
คิดว่าตัวเองยังเหลือความเป็นนักการเมืองอยู่หรือเปล่า

ไม่แล้ว เราใช้ศิลปะการพูดของนักการเมืองมาใช้จูงใจให้คนเชื่อเท่านั้น  

ความสุขจากเมื่อวาน กับวันนี้ต่างกันไหม

ความสุขนี่เห็นชัดเลย เราอยู่อย่างไม่กังวล ไม่มีความทุกข์ กิเลสมันลดลง สามารถควบคุมกิเลสได้ ไม่มีความอยาก มีความสุขที่ได้ไปสอน เราแนะนำเขายังไง เขาปฏิบัติตาม เราก็ได้บุญ ได้ธรรมทาน ได้ธรรมเป็นทาน ชีวิตที่ผ่านมาพอแล้ว ชีวิตที่เหลือเราทำไว้ใช้ชาติหน้า ไม่ต้องการนิพพานหรอก เกิดชาติหน้าขอเกิดเป็นคนก็พอ

เป้าหมายของหลวงพ่อวันนี้คืออะไร

เมื่อพระพุทธเจ้าเป็นครู เราก็ต้องเป็นครูสอนคน ส่วนสอนได้แค่ไหนก็อยู่ที่เราจะเข้าถึงแก่นแท้แค่ไหน พระพุทธเจ้าสอนเยอะนะ ธรรมมะของท่าน ยิ่งรู้ยิ่งอยากรู้นะ มันรู้ไม่หมด แค่หลักๆ จริงๆ นี่ก็พูดไม่หมดแล้ว แต่ที่สอนจริงๆ 84,000 พระธรรมขันธ์ ลองคิดดู จากนี้ไปจนตายจะเรียนจบไหม แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องรู้รอบโลกหรอก ที่อยากทำตอนนี้ก็คือ ไปสอนคน และเขียนหนังสือ

สอนคนแล้ว ตอนนี้เริ่มเขียนหรือยัง

ยังต้องอัดเทปพูด แล้วหาคนเรียบเรียงอยู่ (ยิ้ม) เราเป็นนักพูด เขียนไม่เป็น (ถ้าเขียนจะเขียนเรื่องอะไร) อะไรก็ได้ อัตชีวประวัติก็ได้ จากท้องนาสู่ทำเนียบ จากธรรมเนียบสู่เรือนจำ จากเรือนจำสู่อาราม  มีใครเหมือนเราไหม (ยิ้ม)

ชีวิตที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ รู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น

เสียใจ ไม่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้า ถ้ารู้เราคงไม่ติดคุก ชีวิตเราคงไม่ย่อยยับขนาดนี้ เราคิดว่า กรรมเวรมันมีจริง ต้องเชื่อเรื่องเวียนว่ายตายเกิด ทุกคนมีกรรมเป็นของๆ ตน มีกรรมเป็นผู้ให้ผล มีกรรมเป็นแดนเกิด เพราะกรรมเก่าเป็นแดนกำหนด เราเชื่ออย่างนั้น พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้น

ก็ถือว่าวันนี้ เต็มที่แล้ว พอแล้ว ไม่มีใครเหมือนเราแล้ว ประสบการณ์ และชีวิต ใครจะเล่นคาสิโนเสียทีละ 100 ล้าน ไม่มี ผู้หญิงกี่ประเทศเมื่อก่อนนี้ มีหมด มันผ่านมาหมด ทางความเสื่อมเราเห็นแล้ว ทางนรก เราก็เห็นแล้ว เราไม่เดินไปทางเก่าแล้ว มีคนบอกว่า โห.. หลวงพ่อจะเป็นพระได้ยังไง เดี๋ยวเขาก็สึก ไม่ใช่ ถึงอยู่พุทธศาสนาไม่ได้ หรือสึกไป หลวงพ่อก็ไม่เข้าการเมือง

ถ้ามีโอกาสได้เทศน์ให้นักการเมืองฟัง หลวงพ่ออยากจะเทศน์เรื่องอะไร

ก็นิมนต์มาสิ(ตอบทันที) ให้ตาชัย (ชิดชอบ)นิมนต์มาสิ พระไปพูดเองไม่ได้นะถ้าเขาไม่นิมนต์ ผมไปแน่ ให้ปู่ชัยจัดเดี๋ยวนี้ก็ได้ พูดให้นักการเมืองฟัง ส่งสัญญาณไปหาทักษิณยังได้เลย (อยากสื่ออะไร) ที่หลวงพ่อไม่อยากกลับไป เพราะมันเป็นอาชีพที่ไม่มีเกียรติแล้ว ทำอะไรก็ได้ ทำอะไรให้ได้มาซึ่งอำนาจ ทำอะไรเพื่อได้มาสนองตัณหา สนองความต้องการ ซึ่งมันทำให้ตำแหน่งทางการเมืองไม่มีเกียรติ คำว่านักการเมือง เป็นคนไม่มีเกียรติ ไม่เหมือนสมัยก่อน นักการเมืองดีๆ ก็มี ไม่ใช่ไม่มี ไม่กินไม่เที่ยว ใช้ชีวิตด้วยความไม่ประมาท พอเพียง ไม่เดินไปบนทางแห่งความเสื่อม ถ้าเดินไปทางนั้น ก็จะเหมือนหลวงพ่อนั่นแหละ  คนเราทำกรรมใดไว้ต้องรับกรรมนั้น  จะไปหนีกรรมไม่ได้ ล้างบาปไม่ได้ คุณสร้างกรรมไว้ กรรมจะเป็นทายาทติดตามตัวคุณไป ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า เราโดนชาตินี้เลย

Tags : นายก ปลุกสังคม ตื่นตัว ต้านคอร์รัปชัน ปัจจุบันขณะ พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม

view