จาก โพสต์ทูเดย์
ความเชื่อมโยงระหว่าง “ค่าเหมาจ่ายรายหัว” ในระบบประกันสังคม กับ “ผลประโยชน์” ที่สุมไว้ให้แก่โรงพยาบาลเอกชน สอดประสานกันอย่างมีนัยสำคัญ....
โดย ... ธนวัฒน์ เพ็ชรล่อเหลียน / วิทยา ปะระมะ
ความเชื่อมโยงระหว่าง “ค่าเหมาจ่ายรายหัว” ในระบบประกันสังคม กับ “ผลประโยชน์” ที่สุมไว้ให้แก่โรงพยาบาลเอกชน สอดประสานกันอย่างมีนัยสำคัญ และได้ทิ้งร่องลอยอันน่าเคลือบแคลงชวนให้ค้นหา
ประการหนึ่ง โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมได้รับงบเหมาจ่ายรายหัวถึง 2,105 บาท ต่อคนต่อปี ขณะที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า (สปสช.) กลับพบว่านำมาใช้จริงเพียง 700 บาท
ยังผลให้เกิดคำถามถึงเงินส่วนต่างที่หล่นหายไปในรายละเอียด
นั่นเพราะ จำนวนผู้ประกันตนกว่า 9 ล้านคน แปรผันตรงให้งบเหมาจ่ายรายหัวสูงขึ้นตาม โดยปี 2554 พบว่ามีงบเหมาจ่ายรายหัวสำหรับโรงพยาบาลในระบบประกันสังคมถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ส่วนต่างที่เกิดจึงกว้างและมีจำนวนมหาศาล
กล่าวคือเงินจำนวน 1.4 หมื่นล้านบาท ได้หล่นหายไปในโรงพยาบาล หรืออาจกล่าวได้ว่าถูกโรงพยาบาล “กินเปล่า”
อีกประการหนึ่ง พบช่องโหว่ในการบริหารจัดการของสำนักงานประกันสังคม (สปส.) โดยเฉพาะกรณีการให้คณะกรรมการแพทย์ ซึ่งประกอบด้วยแพทย์ล้วนๆ เข้ามากำหนดทิศทางการให้บริการรักษาพยาบาล
เป็นเหตุให้ถูกตั้งแง่ถึงความโน้มเอียงในการบริหาร ว่ามุ่งแสวงหาประโยชน์ให้แก่กลุ่มแพทย์และโรงพยาบาลเท่านั้นหรือไม่
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด นพ.เอื้อชาติ กาญจนพิทักษ์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน ได้ออกมายืนยันเสียงแข็งว่า ระบบประกันสังคมไม่ได้ทำให้โรงพยาบาลเอกชนมีกำไร เนื่องจากงบประมาณที่ได้รับจาก สปส.มีจำกัด และตลอด 3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่มีการปรับขึ้นค่าเหมาจ่ายรายหัว เป็นเหตุให้โรงพยาบาลเอกชนต้องแบกรับภาระด้วยตัวเอง
“พบว่าขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนหลายแห่งเตรียมถอนตัวออกจากระบบประกันสังคม” คุณหมอเอื้อชาติ ระบุ
ผู้บริหารโรงพยาบาลรามคำแหงรายนี้ อธิบายว่า ปัจจุบันมีโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ซึ่งสามารถดูแลผู้ประกันตนกว่า 2 แสนราย เริ่มทยอยออกจากระบบ ขณะที่โรงพยาบาลขนาดเล็กที่ดูแลผู้ประกันตนได้เพียง 2.5 หมื่นราย กลับเข้ามาในระบบแทน นั่นเพราะโรงพยาบาลขนาดใหญ่มีต้นทุนการรักษาสูงแต่ได้รับเงินเหมาจ่ายอย่าง จำกัด จึงไม่คุ้มทุน หากเปิดให้บริการ
สอดรับกับข้อมูลจาก สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม ที่แสดงจำนวนโรงพยาบาลรัฐและเอกชนในระบบประกันสังคม โดยข้อมูลระบุว่า ตั้งแต่ปี 2547 ถึงปี 2553 มีโรงพยาบาลเอกชนถอนตัวออกจากระบบอย่างต่อเนื่อง จากเดิม 134 แห่ง เหลือเพียง 92 แห่ง โดยปัจจุบันมีโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมรวม 243 แห่ง
นายปั้น วรรณพินิจ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม ให้ข้อมูลว่า ในทุกๆ ปีจะมีโรงพยาบาลขอออกจากระบบประกันสังคมประมาณ 3 – 4 แห่ง แต่ก็จะมีโรงพยาบาลใหม่อื่นๆ สลับเข้ามาในระบบ โดยสาเหตุของการออกและเข้าจะแตกต่างกันออกไป
นพ.สมเกียรติ ฉะยาศรีวงศ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน บอกว่า ปี 2554 มีโรงพยาบาลที่ขอออกจากระบบประกันสังคม 5 แห่ง คือ 1.โรงพยาบาลเอกชัย จ.สมุทรสาคร 2 .โรงพยาบาลกาญจนบุรีเมโมเรียล จ.กาญจนบุรี 3.โรงพยาบาลรวมแพทย์ จ.เชียงใหม่ 4.โรงพยาบาลโคราชเมโมเรียล จ.นครราชสีมา 5.โรงพยาบาลเซนต์เมรี่ จ.นครราชสีมา
“สาเหตุของการออกจากระบบแตกต่างกันออกไป บ้างอาจเพราะต้องการบริการกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ หรืออาจไม่พึงพอใจอัตราการจ่างเงินของสปส. แต่ขอยืนยันว่าที่ผ่านมาไม่ได้น้อยเกินไป” ปลัดกระทรวงแรงงานสำทับ
ทว่า หากพิเคราะห์ตัวเลขที่ปรากฏอย่างละเอียด จะเห็นว่าถึงแม้จะมีโรงพยาบาลเอกชนถอนตัวออกจากระบบบ้างก็จริง แต่ท้ายที่สุดแล้วจำนวนโรงพยาบาลเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมก็ยังมากกว่า ช่วงแรกที่มีระบบประกันสังคมให้บริการ
คำถามคือ หากโรงพยาบาลเอกชนไม่ได้กำไรจากระบบประกันสังคม เหตุใดต้องฝืนทนอยู่มากเพียงนี้
***กองทุนประกันสังคมจำนวนสถานพยาบาลโครงการประกันสังคม (หน่วย : แห่ง)***
ปี |
สถานพยาบาลหลัก |
รวม |
สถานพยาบาลเครือข่าย |
|
รัฐบาล |
เอกชน |
|||
2538 |
126 |
63 |
189 |
|
2539 |
126 |
72 |
198 |
|
2540 |
127 |
69 |
196 |
|
2541 |
127 |
78 |
205 |
|
2542 |
128 |
103 |
231 |
1,730 |
2543 |
130 |
114 |
244 |
1,756 |
2544 |
133 |
128 |
261 |
2,048 |
2545 |
136 |
132 |
268 |
2,250 |
2546 |
137 |
131 |
268 |
2,600 |
2547 |
144 |
134 |
278 |
2,517 |
2548 |
147 |
127 |
274 |
2,625 |
2549 |
150 |
119 |
269 |
2,462 |
2550 |
153 |
113 |
266 |
2,530 |
2551 |
153 |
104 |
257 |
2,530 |
2552 |
152 |
98 |
250 |
2,313 |
2553 |
151 |
92 |
243 |
2,313 |
ที่มา : สำนักจัดระบบบริการทางการแพทย์ สำนักงานประกันสังคม