หน้าที่ของมืออาชีพ : ข้อคิดจาก จอห์น โบเกิล
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : สฤณี อาชวานันทกุล
จากมุมมองของนักคิดฝ่ายซ้าย วิกฤติการเงินทุกครั้งเกิดจาก “ธรรมชาติ” ของระบบทุนนิยมเองที่กระตุ้นให้คนเก็งกำไร
แต่ จากมุมมองของฝ่ายขวา วิกฤติการเงินทุกครั้งมีบ่อเกิดในวิกฤติทางจริยธรรมของนักการเงินการธนาคาร ที่ปล่อยให้ความโลภบังตาจนสูญเสียความเป็นมืออาชีพ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประโยชน์ของลูกค้า
พูดอีกอย่างคือ ฝ่ายซ้ายมักจะโทษ “ระบบ” แต่ไม่สนใจ “คน” ส่วนฝ่ายขวาก็มักจะโทษ “คน” แต่ไม่สนใจ “ระบบ” ด้วยเหตุนี้ฝ่ายซ้ายจึงมักจะเรียกร้องให้ยกเครื่องระบบในทางที่เน้นการกำกับ ดูแลอย่างเคร่งครัด เพิ่มบทลงโทษ ฯลฯ ส่วนฝ่ายขวาก็มักจะเรียกร้องให้ “ทุกคนเป็นคนดี” โดยไม่สนใจว่าระบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ส่งผลต่อแรงจูงใจอย่างไร
ในความเป็นจริง ปัญหาส่วนใหญ่จะต้องแก้ทั้ง “คน” และ “ระบบ” กล่าวคือ แก้กลไกในระบบเพื่อเพิ่มต้นทุนในการทำ “เลว” และเพิ่มรางวัลในการทำ “ดี” รวมถึงต้องปลูกฝังและรณรงค์ให้เข้าใจว่า “ความเป็นมืออาชีพ” ไม่ว่าจะอาชีพใดก็ตาม ล้วนมีจริยธรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญ
“หน้าที่ของมืออาชีพ” ในภาคการเงินและธุรกิจมีชื่อเรียกเฉพาะว่า “fiduciary duty” คำว่า “fiduciary” มาจากภาษาละติน แปลว่า “การได้รับความไว้วางใจ” ดังนั้น fiduciary duty จึงหมายความว่า หน้าที่ของบุคคลที่ได้รับความไว้วางใจจากผู้อื่นให้ทำหน้าที่แทนตน ตัวอย่างของอาชีพ “มืออาชีพ” ในโลกสมัยใหม่คือ กรรมการบริษัท (ดูแลบริษัทแทนผู้ถือหุ้น) ทนาย (ใช้กฎหมายแทนลูกความ) และผู้จัดการกองทุน (บริหารเงินแทนผู้ถือหน่วยลงทุน)
การระบุ fiduciary duty ในกฎหมาย เป็นการตีกรอบความสัมพันธ์ระหว่าง “ตัวแทน” (agent) กับ “เจ้าของทรัพย์สิน” (principal) เช่น กฎหมายบริษัทมหาชนของไทยระบุหน้าที่ของกรรมการบริษัทว่า จะต้องทำตาม “หลักความรอบคอบ” (duty of care) คือบริหารบริษัทด้วยความระมัดระวังเสมือนเป็นบริษัทของตัวเอง และ “หลักความซื่อสัตย์” (duty of loyalty) คือตัดสินใจโดยชอบ ตัดสินใจโดยไม่มีความขัดแย้งทางผลประโยชน์ และไม่นำข้อมูลของบริษัทไปใช้เพื่อประโยชน์ของตัวเอง
ในเมื่อธุรกรรมทางธุรกิจย่อมมีความหลากหลายและเปลี่ยนไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะในภาคการเงินที่มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงไม่มีทางที่ใครจะเขียนกฎหมายให้ครอบคลุมและแจกแจงพฤติกรรมทุกกรณีที่ตรง ตาม “หลักความรอบคอบ” และ “หลักความซื่อสัตย์”
ในเมื่อกฎหมายเขียนละเอียดไม่ได้ “จริยธรรม” ของมืออาชีพจึงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
หลังจากเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปี 2008 มืออาชีพที่ออกมาชี้ให้เห็น “ความเสื่อมทางจริยธรรม” ของภาคการเงินอเมริกันอย่างชัดเจนที่สุด คือ จอห์น โบเกิล (John Bogle) ผู้ก่อตั้งและอดีตซีอีโอของ แวนการ์ด กรุ๊ป (Vanguard Group) หนึ่งในบริษัทบริหารจัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นับแต่ก่อตั้งในปี 1975 สินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการของแวนการ์ดเติบโตกว่า 1,000 เท่า เป็นกว่า 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน ภายใต้การบริหารของโบเกิล เขาคือผู้คิดค้น Vanguard 500 Index Fund กองทุนดัชนี (index fund) แห่งแรกในโลกที่ลงทุนในดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และเขียนหนังสือที่ช่วยให้คนทั่วไป “รู้ทัน” วงการของตัวเองอย่างต่อเนื่อง หนังสือปี 1999 ของเขาเรื่อง Common Sense on Mutual Funds (สามัญสำนึกเกี่ยวกับกองทุนรวม) เป็นหนังสือขายดีและคลาสสิกระดับขึ้นหิ้งเล่มหนึ่งในประวัติศาสตร์การลงทุน
โบเกิลเป็นมืออาชีพที่ได้รับการยกย่องจากนักการเงินและนักลงทุนทั่วโลก ไม่ใช่ในฐานะนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงเพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ในฐานะมืออาชีพผู้เป็นตัวแทน “มโนธรรมของนักการเงิน” ที่ดีที่สุดคนหนึ่ง เขามองว่า วิกฤติทางจริยธรรมในภาคการเงินคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้วิกฤติการเงินรุนแรง กว่าที่ควรเป็น ที่น่าตกใจคือ นักการเงินหลายคนไม่เพียงแต่ละเลยหน้าที่ของมืออาชีพ หากยังหลอกลวงลูกค้าด้วยวิธีการต่างๆ นานาที่ควรจะผิดกฎหมายแต่กลับไม่ผิด
โบเกิลประกาศว่า “เรื่องอัปยศไม่ใช่พฤติกรรมที่ผิดกฎหมาย แต่เป็นพฤติกรรมที่ถูกกฎหมาย” (“The scandal is not what's illegal. It's what's legal.”)
วิกฤติทางจริยธรรมของมืออาชีพในสายตาของโบเกิล เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทัศนคติที่เขาเรียกว่า เปลี่ยนจาก “ศีลธรรมสัมบูรณ์” (moral absolutism) เช่น จะไม่ทำอะไรสักอย่างเพราะรู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ดี มาเป็น “ศีลธรรมเปรียบเทียบ” (moral relativism) นั่นคือ การให้เหตุผลว่า ถ้าคนอื่นกำลังทำสิ่งนี้อยู่ ฉันก็ต้องทำได้เหมือนกัน โบเกิลบอกว่าทัศนคติที่อันตรายนี้ ประกอบกับการตีความกฎหมายอย่างกว้างขวางและเข้าข้างตัวเอง ทำให้หน้าที่ต่อสังคมพร่าเลือน คนมองเห็นแต่ผลประโยชน์ส่วนตัวที่อยู่ตรงหน้า
โบเกิลประณามวงการของเขาว่าย่ำแย่ไม่แพ้วงการอื่น ผู้จัดการกองทุนส่วนใหญ่เปลี่ยนบทบาทจาก “การดูแลรักษาทรัพย์สิน” (stewardship) มาเน้น “การขายของ” (salesmanship) นั่นคือ พยายามเพิ่มสินทรัพย์ภายใต้การจัดการ (net asset value ย่อว่า NAV) ให้ได้มากที่สุดเพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม โดยไม่ประเมินอย่างรอบคอบว่าของที่ขายอยู่นั้นจะดีกับลูกค้าหรือไม่ เขาบอกว่าผลิตภัณฑ์ของกองทุนในช่วงหลังๆ มานี้ เน้น “ความน่าดึงดูดทางการตลาด” (marketing appeal) มากกว่า “ความมีเหตุมีผลในแง่การลงทุน” (investment integrity)
นอกจากจะไม่รอบคอบและมุ่งขายของเป็นหลัก ปัญหาใหญ่ของผู้จัดการกองทุนอีกปัญหาหนึ่ง คือการปล่อยให้ผลประโยชน์ทับซ้อนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลาย ยกตัวอย่างเช่น ปล่อยให้กรรมการบริษัทของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บางคนเป็นคนคนเดียวกันกับกรรมการของบริษัทจดทะเบียนที่กองทุนของ บลจ. เข้าไปลงทุน ทั้งที่ควรจะเป็นตัวแทนของนักลงทุนล้วนๆ
โบเกิลมองว่า สถานการณ์หนึ่งสะท้อนการละเลยหน้าที่ของมืออาชีพ (คิดถึงตัวเองมากกว่าลูกค้า) ได้ดี คือการที่ค่าธรรมเนียมในการจัดการกองทุนเพิ่มขึ้นเร็วมาก เร็วกว่าการเพิ่มของ NAV ทั้งที่บริษัทจัดการจำนวนมากได้ประโยชน์จากขนาด (economies of scale) และมีประสิทธิภาพสูงมากแล้ว นั่นหมายความว่าบริษัทจัดการได้กำไรสูงเกินควร ซึ่งกำไรนี้บางส่วนก็มาจากการเลือกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม เช่น หลายบริษัทเก็บค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการ 61bp (bp = basis point = 1/100) สำหรับกองทุนรวม แต่คิดค่าธรรมเนียมเพียง 8bp สำหรับกองทุนบำนาญที่ลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนกับกองทุนรวมเป๊ะ
ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นเพียงเสี้ยวเดียวจากสมองของ จอห์น โบเกิล ผู้ก่อตั้งบริษัทจัดการกองทุนที่ได้รับความเชื่อถือสูงที่สุดในอเมริกา แวนการ์ดเป็นเครื่องยืนยันว่า “จริยธรรมนั้นดีต่อธุรกิจ” (good ethics is good business) ไม่ได้เป็นคติพจน์ที่ “ฟังดูดี แต่กินไม่ได้”
ผู้เขียนสงสัยว่า มีมืออาชีพคนไหนในเมืองไทยที่พอจะเรียกได้ว่าเป็น “มโนธรรมของภาคการเงิน” บ้าง เพราะ “คนดี” เท่าที่เห็นมักจะเน้นการระดมเงินบริจาคเพื่อการกุศล ทำบุญ ฯลฯ ซึ่งก็ล้วนเป็นกิจกรรมที่ดี แต่ไม่อาจช่วยแก้ปัญหาจริยธรรมในวงการได้
เพราะการแก้ปัญหาจริยธรรมของมืออาชีพ จะต้องมองให้พ้นไปจากระดับศีลและปัญญาของปัจเจก ไปสู่ระดับศีลและปัญญาของวงการสถานเดียวเท่านั้น.