มาตรฐานแรงงานไทยกับความรับผิดชอบทางสังคม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
เรวัติ ตันตยานนท์
การพัฒนาธุรกิจไปสู่ความเข้มแข็งและเจริญเติบโตไปได้อย่างแข็งแรงและยั่งยืนนั้น เรื่องของการดูแลแรงงานและพนักงานของบริษัท
เป็น เรื่องที่สำคัญที่ผู้บริหารจะละเลยไม่ได้ นอกจากนี้ การดูแลพนักงาน ยังถือได้ว่าเป็นเรื่องของความรับผิดชอบทางสังคมที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งของ บริษัท เนื่องจากพนักงานหรือแรงงาน เมื่ออยู่นอกเวลางาน ก็จะกลายเป็นสมาชิกของสังคม และยังถือได้อีก ว่า การดูแลพนักงาน เป็นอีกเรื่องภายใต้หลักธรรมาภิบาลทางธุรกิจ อีกด้วย
ประเทศไทยของเราเอง ก็ได้เห็นความสำคัญในเรื่องนี้ โดย กระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ประกาศมาตรฐานแรงงานไทยความรับผิดชอบทางสังคม ที่เรียกว่า มรท. 8001 - 2553 ออกมาเพื่อเป็นแนวทางที่บริษัทต่างๆ ที่ต้องการจะทำเรื่อง ความรับผิดชอบต่อสังคม อย่างสมบูรณ์แบบ จะได้นำไปใช้เป็นต้นแบบในการดูแลพนักงานของตน
ความรับผิดชอบต่อสังคมของธุรกิจมักเรียกกันว่า CSR หรือ Corporate Social Responsibility มักจะมีภาพลักษณ์ที่จะแสดงให้สาธารณชนได้รับทราบทั่วไป ก็คือการนำพนักงานไปบำเพ็ญประโยชน์ ช่วยเหลือสังคม หรือช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ปลูกป่า ปลูกป่าชายเลน หรือ บริจาคเงินช่วยสังคมในกรณีต่างๆ
แต่ความจริงแล้ว การทำ CSR ของธุรกิจ ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นๆ อีกหลายด้านที่เรียกว่าเป็น “หลักการความรับผิดชอบต่อสังคม” ซึ่งได้แก่
หลักการปฏิบัติตามกฎหมาย หลักการเคารพต่อแนวปฏิบัติสากล หลักการยอมรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และความเห็นของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หลักการเคารพต่อสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน หลักการเคารพต่อความหลากหลาย หลักการปฏิบัติอย่างมีจริยธรรม หลักความโปร่งใส และ หลักความรับผิดชอบที่ตรวจสอบได้
ดังนั้น นอกจากเรื่องของการทำกิจกรรมช่วยเหลือสังคมเป็นระยะๆ เท่านั้น บริษัทที่ต้องการประกาศตัวเองว่า เป็นบริษัทที่รับผิดชอบต่อสังคม จึงควรพิจารณากิจกรรมอีกด้านหนึ่งที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก ซึ่งได้แก่ การสร้างมาตรฐานแรงงานขึ้นในบริษัทของตนเอง
มาตรฐานแรงงานไทยความรับผิดชอบต่อสังคม หรือ มรท. 8001 - 2553 เป็นมาตรฐานที่มีต้นแบบมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะการอ้างอิงบรรดามาตรฐานไอเอสโอ ทั้งหลาย ดังนั้น มรท. 8001 - 2553 จึงเน้นไปที่การจัดทำระบบที่เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมา เพื่อเป็นเกณฑ์หรือข้อกำหนดในการนำไปปฏิบัติใช้
ซึ่งข้อดีของการทำระบบที่เป็นลายลักษณ์อักษร ก็คือ การมีแหล่งอ้างอิงที่ชัดเจน เมื่อมีการปฏิบัติที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดที่เขียนไว้ ก็จะสามารถตรวจสอบได้อย่างเป็นรูปธรรม หรือในการปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็จะทำได้อย่างถูกต้องแม่นยำ และตรงประเด็น
นอกจากนี้ ระบบที่เขียนขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร ยังสามารถนำไปใช้ในการฝึกสอน อบรม หรือ พัฒนาเพิ่มพูนความรู้ความเข้าใจได้มากกว่าวิธีการถ่ายทอดด้วยตัวบุคคล การเล่าให้ฟัง หรือการสอนงานแบบพี่เลี้ยง เนื่องจากจะมีบันทึกที่นำไปทบทวนความถูกต้องได้ตลอดเวลา
การต้องจัดทำระบบมาตรฐานแรงงานให้เป็นลายลักษณ์อักษรจึงถือได้ว่า เป็นข้อกำหนดแรกที่ มรท. 8001 - 2553 หรือ มาตรฐานแรงงานไทย แนะนำให้ปฏิบัติ สำหรับบริษัทที่ต้องการจะทำ CSR ให้กับพนักงานของตน
และเมื่อต้องมีระบบมาตรฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว เรื่องที่ต้องตามมาอย่างหนีไม่พ้น ก็คือ การควบคุมเอกสารให้ทันสมัย เป็นเอกสารฉบับล่าสุดเท่านั้นที่จะนำมาอ้างอิงในการปฏิบัติ ไม่มีเอกสารเก่า หรือเอกสารที่ถูกยกเลิกไปแล้ว หลงเหลืออยู่ที่จะทำให้เกิดการสับสนขึ้นได้
รวมไปถึง การจัดทำเอกสาร การทบทวน การแก้ไข การอนุมัติใช้เอกสาร การแจกจ่ายเอกสารไปยังหน่วยงานหรือพนักงานที่เกี่ยวข้อง และ วิธีการเก็บรักษาเอกสาร เป็นต้น
ต่อจากข้อกำหนดแรก ข้อกำหนดสำคัญต่อมาก็คือ บริษัทจะต้องให้ผู้บริหารสูงสุด กำหนดนโยบายความรับผิดชอบต่อสังคมและแรงงาน มีการประกาศนโยบายอย่างเป็นทางการให้พนักงานทุกคนในบริษัทได้รับรู้ และจะต้องสื่อสารนโยบายนี้ไปยังผู้เกี่ยวข้องหรือผู้มีส่วนได้เสียกับบริษัท ให้ทราบด้วย
ผู้บริหารระดับสูงยังต้องทบทวนเป็นประจำว่า นโยบายที่กำหนดไว้สามารถเกิดผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงตามความประสงค์ของบริษัท หากพบข้อบกพร่องจะต้องมีการแก้ไข ปรับปรุง หรือ เพิ่มเติมนโยบายให้เหมาะสมขึ้นอย่างเป็นปัจจุบัน
มีการแต่งตั้ง “ผู้แทนฝ่ายบริหาร” ที่จะรับผิดชอบดูแลการปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรฐาน ร่วมกับ “ผู้แทนลูกจ้าง” เพื่อให้แน่ใจว่า การจัดทำแผน การกำหนดงบประมาณ การจัดหาทรัพยากรที่จำเป็น จะมีอย่างเหมาะสมเพียงพอ และผู้บริหารระดับสูงสุดจะต้องให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดการปฏิบัติขึ้นได้ จริงและต่อเนื่อง
การปฏิบัติตามมาตรฐานแรงงานนี้ นอกจากจะต้องใช้ปฏิบัติกับพนักงานภายในบริษัทแล้ว ยังต้องครอบคลุมไปถึงการปฏิบัติต่อ คู่ค้า ซัพพลายเออร์ หรือผู้รับเหมาเช่าช่วงที่ทำงานให้บริษัทด้วยเช่นเดียวกัน
บริษัทที่มี CSR จะต้องไม่ใช้แรงงานบังคับ โดยการว่าจ้าง การกำหนดเงื่อนไขการว่าจ้าง โดยพนักงานไม่สมัครใจด้วยการข่มขู่ บังคับ หรือวิธีอื่นใด และยังต้องไม่เรียกหลักประกันการทำงาน หรือหลักประกันการทำงานใดๆ จากพนักงานทั้งสิ้น ยกเว้นในส่วนที่ต้องทำตามกฎหมาย
การจ่ายค่าจ้างแรงงาน ค่าจ้างล่วงเวลา จะต้องเป็นไปตามกำหนดเวลาที่ตกลงกัน และต้องให้พนักงานได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับค่าจ้างและค่าตอบแทนที่ได้รับใน แต่ละงวด และไม่มีการหักค่าจ้างหรือเงินอื่น ยกเว้นในกรณีที่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
ชั่วโมงการทำงานของพนักงาน ต้องไม่เกินวันละ 8 ชั่วโมง หรือสัปดาห์ละไม่เกิน 48 ชั่วโมง และจะต้องจัดให้พนักงานมีวันหยุดอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน หากต้องมีการทำงานล่วงเวลา จะต้องเป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด
มาตรฐานแรงงานไทย ยังแบ่งระดับบริษัทที่มีความรับผิดชอบต่อสังคมไทย ออกเป็นประเภท ตามจำนวนชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาของพนักงาน เช่น ไม่เกินสัปดาห์ละ 36 ชั่วโมง หรือ 24 ชั่วโมง หรือ 18 ชั่วโมง หรือ 12 ชั่วโมง เป็นต้น เนื่องจากต้องการให้พนักงานมีเวลาพักผ่อนและใช้ชีวิตนอกเหนือจากการทำงานได้ มากที่สุดตามความเหมาะสม
บริษัทจะต้องไม่เลือกปฏิบัติ หรือสนับสนุนในการเลือกปฏิบัติต่อพนักงานในการจ้างงาน การจ่ายค่าจ้าง การให้สวัสดิการ โอกาสได้รับการฝึกอบรมพัฒนา การพิจารณาเลื่อนขั้น เลื่อนตำแหน่งหน้าที่ การเลิกจ้าง การเกษียณอายุการทำงาน เนื่องจาก เรื่องของสัญชาติ เชื้อชาติ ศาสนา ภาษา อายุ เพศ สถานภาพสมรส ทัศนคติเรื่องเพศ ความพิการ การติดเชื้อเอชไอวี ความนิยมในพรรคการเมือง หรือแนวความคิดส่วนบุคคลในเรื่องต่างๆ
ในเรื่องของการกำหนดวินัยและการลงโทษต่อพนักงาน บริษัท จะต้องไม่ทำ หรือสนับสนุน การลงโทษพนักงานในทางร่างกาย ทางจิตใจ หรือกระทำการบังคับขู่เข็ญ ทำร้าย และจะต้องจัดให้มีมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหามิให้พนักงานถูกล่วงเกิน คุกคาม หรือได้รับความเดือดร้อนรำคาญทางเพศ ผ่านการแสดงออกด้วยคำพูด ท่าทาง การสัมผัสทางกาย หรือด้วยวิธีการอื่นใด
บริษัทจะต้องไม่ว่าจ้าง หรือสนับสนุนให้มีการว่าจ้าง เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าทำงาน และไม่สนับสนุนให้แรงงานเด็กทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัย หรืออยู่ในสภาวะแวดล้อมที่อาจก่อนให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ อนามัย และความปลอดภัย
ต้องไม่ให้พนักงานหรือลูกจ้างหญิง ทำงานที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพหรือร่างกายตามที่กฎหมายกำหนด โดยเฉพาะหญิงมีครรภ์ และต้องไม่เลิกจ้าง ลดตำแหน่ง หรือลดสิทธิประโยชน์ เพราะสาเหตุจากการมีครรภ์
นอกจากนี้ มาตรฐานแรงงานไทย ยังกำหนดให้บริษัท ต้องเคารพสิทธิของพนักงานหากพนักงานมีความต้องการจัดตั้ง หรือร่วมเป็นสมาชิกของสหภาพแรงงาน หรือคณะกรรมการอื่นๆ ในบริษัท โดยไม่ขัดขวางหรือแทรกแซงการใช้สิทธิของพนักงาน ด้วยวิธีการที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่เป็นธรรม
มาตรการในเรื่องของความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน บริษัทจะต้องกำหนดวิธีการในการให้ความใส่ใจดูแลพนักงาน โดยเฉพาะในงานประเภทที่มีแนวโน้มที่อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพและความ ปลอดภัยต่อพนักงาน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
จะต้องให้พนักงานได้รับโอกาสให้มีส่วนร่วมในการปฏิบัติด้านความปลอดภัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน และได้รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากกระบวนการ สภาพแวดล้อม หรือขั้นตอนงาน โดยไม่มีการปิดบังหรือปกปิด
จะต้องจัดให้มี กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และ คู่มือความปลอดภัย ที่ครบถ้วน และครอบคลุมการทำงานต่างๆ ที่พนักงานสามารถอ่านหรือรับทราบได้โดยสะดวก และต้องจัดให้มีการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยให้กับพนักงานเข้าใหม่ หรือพนักงานที่โยกย้ายหรือเปลี่ยนหน้าที่ใหม่ในการปฏิบัติงาน
รวมถึงการจัดให้มีเครื่องมือ เครื่องใช้ หรืออุปกรณ์ความปลอดภัยที่ได้มาตรฐานให้กับพนักงานตามความเหมาะสมกับหน้าที่งาน
หมวดสุดท้ายที่มาตรฐานแรงงานไทย ได้กำหนดไว้ เป็นเรื่องของการจัดสวัสดิการและการอำนวยความสะดวกในการทำงานให้กับพนักงาน โดยเฉพาะในเรื่องของห้องน้ำห้องส้วมที่สะอาด ถูกสุขอนามัย ที่มีจำนวนที่เพียงพอกับจำนวนของพนักงาน
การจัดให้มีน้ำดื่มสะอาด การปฐมพยาบาล และการรักษาพยาบาล
สถานที่รับประทานอาหาร สถานที่เก็บรักษาอาหารที่สะอาด ถูกหลักสุขาภิบาลอาหาร
กรณีที่มีการจัดที่พักให้พนักงาน จะต้องจัดให้มีพื้นฐานที่จำเป็น มีความสะอาด ปลอดภัย และมีอุปกรณ์หรือระบบที่พร้อมใช้การได้อยู่เสมอ
เป็นที่น่าชื่นชมว่า มาตรฐานความรับผิดชอบต่อสังคมไทย ซึ่งจัดขึ้นตามกรอบที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร เพื่อทำให้ธุรกิจไทย มีการดูแลสวัสดิการและสังคมผู้ทำงานของไทย เป็นไปตามหลักปฏิบัติขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ ปฏิญญาว่าด้วยความยุติธรรมทางสังคมเพื่อโลกาภิวัตน์ที่เป็นธรรม และปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนขององค์การสหประชาชาติ และอีกหลายๆ หน่วยงานที่เป็นที่ยอมรับในระดับโลก
แม้ว่า มาตรฐานแรงงานไทย ฉบับนี้ จะไม่ถือว่าเป็นมาตรฐานที่บังคับใช้ แต่จะเป็นแนวทางที่ดีสำหรับบริษัท หรือสถานประกอบการทุกประเภท ทุกขนาด สามารถนำไปใช้ปฏิบัติต่อพนักงานหรือแรงงานของตนด้วยความสมัครใจ เพื่อพัฒนากิจการให้มีระบบบริหารจัดการแรงงานที่ดีเทียบเท่ามาตรฐานแรงงาน สากล
โดยมุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน และการสร้างความรับผิดชอบทางสังคมของบริษัท
บริษัทที่สามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดของมาตรฐาน มรท. 8001 - 2553 นี้ ยังจะสามารถขอการรับรองได้จาก กรมสวัสดิการคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน และใช้เป็นหลักฐานในการแสดงให้สังคมและวงการธุรกิจทั่วไปได้รับทราบ
การค้าขายกับต่างประเทศ โดยเฉพาะในประเทศที่มักจะใช้เรื่องของการปฏิบัติต่อแรงงานที่ไม่เป็นธรรมยก มาเป็นข้ออ้าง ก็จะไม่เกิดปัญหาอุปสรรคขึ้นมาได้