ก.ล.ต.สอบเสริมสุข ผู้ถือหุ้นใหญ่ส่อโยงกัน
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ก.ล.ต.ตรวจสอบความสัมพันธ์กลุ่มผู้ถือหุ้นเสริมสุขหลายรายอาจเกี่ยวโยงกัน "ศิริวัฒน์"ร้องมีหลักฐานชัด "เอสบีเค-ซันโตรี่- เป๊ปซี่"กลุ่มเดียวกัน
นายธวัชชัย พิทยโสภณ ผู้อำนวยการฝ่ายงานเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า ขณะนี้ ก.ล.ต.อยู่ระหว่างการตรวจสอบความสัมพันธ์ผู้ถือหุ้นบริษัทเสริมสุข (SSC) ซึ่งเป็นการตรวจสอบก่อนหน้าที่ได้รับข้อร้องเรียนของนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผู้ถือหุ้นรายย่อย กรณีเป๊ปซี่, ซันโตรี่ เบฟเวอเรจแอนด์ฟูดส์ และ เอสบีเค เบฟเวอเรจ เป็นกลุ่มเดียวกันหรือไม่
"ตามขั้นตอนการทำงาน ต้องใช้เวลาพิจารณา ใครเกี่ยวข้องกันบ้าง ทำนองเดียวกับข้อร้องเรียน กรณีมีบางกลุ่มพยายามเข้าครอบงำกิจการเสริมสุข เห็นว่าอาจเข้าข่ายไม่ถูกต้องตามเกณฑ์ ก.ล.ต.ซึ่งคงต้องเข้าไปตรวจสอบข้อมูลเชิงลึก แต่ยังระบุไม่ได้ว่า จะนานแค่ไหน เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกันหลายอย่าง และยอมรับว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นเป็นต่างประเทศ อาจจะอยู่ห่างข้อมูล" นายธวัชชัย กล่าว
ด้านนายศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิคุณ ผู้ถือหุ้นรายย่อย บริษัท เสริมสุข กล่าวว่า ได้มายื่นหนังสือร้องเรียนตลาด กับ ก.ล.ต. เพื่อให้ตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทเป๊ปซี่-โคล่า ผู้ถือหุ้นใหญ่ 24.49% กับบริษัท เอสบีเค เบฟเวอเรจ ผู้ถือหุ้นเอ็นวีดีอาร์ 9.13% เนื่องจากเชื่อว่าน่าจะมีพฤติกรรมที่เป็นกลุ่มเดียวกัน และอาจเข้าข่ายการถือหุ้นเพื่อประโยชน์ในการครอบงำกิจการในอนาคตซึ่งถือว่าไม่ถูกกฎหมาย
"จากการเข้าไปดูข้อมูลบริษัท ซันโตรี่ เบฟเวอเรจ พบว่าทั้ง 2 บริษัทมีความสัมพันธ์กัน เพราะว่าบริษัท เป๊ปซี่-โคล่า ในต่างประเทศ ได้ถือหุ้นของบริษัทในเครือบริษัทซันโตรี่ ญี่ปุ่น และมีกรรมการบางรายมีอำนาจในการเซ็นเอกสารร่วมกันด้วย และถ้าหากมีความสัมพันธ์กันจริง แสดงว่ากลุ่ม เป๊ปซี่-โคล่า นับรวมการถือหุ้นเอสบีเค บริษัทเซเว่นอัพ ถือหุ้นเสริมสุขรวมกันประมาณ 51% ดังนั้น น่าจะเกิดการครอบงำกิจการได้" นายศิริวัฒน์ กล่าว
เขากล่าวว่าจากข้อมูลพบว่า บริษัท เป๊ปซี่ และ บริษัทซันโตรี่ เป็นผู้ถือหุ้นร่วมกันกับบริษัทชื่อ Pepsi Bottling Ventures LLC (PBV) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มของเป๊ปซี่ รายใหญ่ในสหรัฐ ครอบคลุมพื้นที่ตะวันออก เข้าใจว่าต่อมาได้มีการควบรวม PBV กับบริษัทย่อยของบริษัทเป๊ปซี่-โค อีก น่าจะยิ่งทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในฐานะหุ้นส่วนมากขึ้น รวมทั้งบริษัทซันโตรี่ ยังได้รับอนุญาตให้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มของเป๊ปซี่ในประเทศญี่ปุ่น
สำหรับบริษัทเอสบีเค จัดตั้งขึ้นมาในไทย มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท แต่มีการซื้อเอ็นวีดีอาร์ของหุ้นเสริมสุข จากบริษัทซันโตรี่ 9.13% มูลค่า 1.3 พันล้านบาท สิ่งที่น่าสงสัยมีการจ่ายเงินค่าหุ้นจริงหรือไม่ อาจมีการทำนิติกรรมอำพรางเกิดขึ้น และขนาดมูลค่ารายการครั้งนี้ มีระดับใกล้เคียงกับมูลค่าที่บริษัทเป๊ปซี่เคยทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์หุ้นเสริมสุขในครั้งแรกแต่ไม่สำเร็จ
ทั้งนี้ จึงได้ยื่นหนังสือร้องเรียนเพื่อให้ตรวจสอบความสัมพันธ์ที่แท้จริง และเสนอให้บริษัทศูนย์รับฝากประเทศไทย (TSD) ระงับการรับเอ็นวีดีอาร์ของหุ้นเสริมสุขเป็นหุ้นจดทะเบียนในส่วนของบริษัทเอสบีเค เนื่องจากหากรับเป็นหุ้นจดทะเบียนก็จะมีอำนาจในการออกเสียงเลือกกรรมการที่จะหมดวาระ และร่วมกำหนดนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทเสริมสุข ซึ่งจะมีการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเม.ย.นี้
นายศิริวัฒน์ กล่าวว่า จะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ในการติดตามข้อมูล หากตลาด และ ก.ล.ต.ยังคงนิ่งเฉย จะไปพบนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง เพื่อฟ้องร้องหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่
สิ่งที่น่ากังวลในแผนการดำเนินธุรกิจ หากบริษัทเป๊ปซี่มีสัดส่วนการถือหุ้นทางตรงและอ้อมในสัดส่วน 51% ซึ่งในสัญญาการทำธุรกิจฉบับใหม่ ได้เปิดทางให้บริษัทเสริมสุขสามารถผลิตเครื่องดื่มประเภทอื่นได้ แต่ต้องใช้แบรนด์อื่น หากบริษัทเอสบีเค ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทซันโตรี่ ดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่นและในภูมิภาคเอเชีย ก็จะมีบทบาทในการกำหนดนโยบายธุรกิจเครื่องดื่ม และสุดท้าย ผลประโยชน์ที่จะได้รับจากส่วนแบ่งการทำธุรกิจ ก็ต้องเป็นของบริษัทซันโตรี่และบริษัทเป๊ปซี่ ซึ่งมีส่วนร่วมในการถือหุ้น
นายศักดิ์ชัย ธนบุญชัย กรรมการ บริษัท เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทเสริมสุข กล่าวว่า การที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยร้องเรียนไม่น่าจะมีผลกระทบอะไรกับบริษัท ล่าสุดเท่าที่ทราบข้อมูลพบว่า ระหว่างกลุ่มนายสมชาย บุลสุข ประธานกรรมการบริษัทเสริมสุข กับบริษัทเป๊ปซี่-โค สามารถตกลงกันได้แล้ว และบริษัทเป๊ปซี่ก็ได้ยอมรับในสัญญาการดำเนินธุรกิจฉบับใหม่ ดังนั้น การเซ็นสัญญาก็น่าจะเกิดขึ้นในวันนี้ (31 มี.ค.) ตามข้อตกลงกันไว้
"ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่รับรู้ว่าทั้ง 2 ฝ่ายได้มีข้อตกลงร่วมกันแล้ว และไม่น่าจะมีปัญหาความขัดแย้งใดๆ ดังนั้น การทำสัญญาก็น่าจะผ่านไปได้ด้วยดี จึงไม่ห่วงแม้ว่าสัดส่วนการถือหุ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม"
ปัจจุบัน กลุ่มเป๊ปซี่ เป็นผู้จำหน่ายวัตถุดิบหรือส่วนผสมที่ใช้ในการผลิตน้ำอัดลม (หัวน้ำเชื้อ หรือ Concentrates) ภายใต้สัญญา EBA ให้แก่ SSC โดยในรอบปีบัญชี 2552 มีมูลค่าการซื้อประมาณ 3,435 ล้านบาท ซึ่งเมื่อปี 2553 กลุ่มเป๊ปซี่ พยายามที่จะเข้าซื้อหุ้น เสริมสุข โดย ทำเทนเดอร์ออฟเฟอร์ ราคาหุ้นละ 29 บาท แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากมีผู้มาเสนอขายหุ้นไม่ครบตามที่ต้องการ จึงต้องล้มเลิกการทำเทนเดอร์ฯ
ขณะที่ต่อมาช่วงปลายปี 2553 บมจ.เอสเอส เนชั่นแนล โลจิสติกส์ ได้ประกาศทำเทนเดอร์ฯ หุ้นเสริมสุขราคาหุ้นละ 42 บาท ซึ่งมีผู้มาเสนอขายหุ้น สัดส่วน 32.62% โดยรวมถึงกลุ่มของนายสมชาย บุลสุข ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งเสริมสุข ผู้บริหารและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ฝ่ายไทยด้วย
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์ ระบุว่า บริษัทเสริมสุขขอรายงานความคืบหน้ากรณีที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเป็นคดีหมายเลขดำที่ 112/2554 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนมติที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 2/2553 และศาลได้นัดไต่สวนคำร้องในวันที่ 28 มี.ค.2554 ว่า บริษัทได้ยื่นคำคัดค้านต่อศาลเป็นที่เรียบร้อยแล้วในวันที่ 25 มี.ค.2554 ที่ผ่านมา โดยศาลเห็นว่าเมื่อคดีนี้มีการคัดค้านคำร้องของฝ่ายผู้ร้อง ศาลจึงได้กำหนดให้มีการนัดสืบพยานอย่างต่อเนื่อง จำนวน 4 วัน คือ วันที่ 6-8 และ 13 ก.ย.2554
บริษัทเชื่อว่าได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างครบถ้วน โดยคำนึงถึงสิทธิอันพึงมีตามกฎหมายของผู้ถือหุ้นและได้ดำเนินการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของบริษัท และผู้ถือหุ้นโดยรวมแล้ว ทั้งนี้ บริษัทพร้อมที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่จะมีขึ้นในอนาคต