สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คลังกางมาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยปี2554 ละเอียดยิบ

จากประชาชาติธุรกิจ

นายกรณ์  จาติกวณิช  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแถลงข่าวมาตรการเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี 2554 เนื่องจากได้เกิดอุทกภัย วาตภัยและดินถล่ม ในพื้นที่จังหวัดภาคใต้ก่อให้เกิดความเสียหายและเดือดร้อนรุนแรงแก่เกษตรกร ประชาชนและผู้ประกอบการอย่างกว้างขวาง ซึ่งต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนกระทรวงการคลังจึงได้กำหนดมาตรการใน การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ปี 2554 ดังนี้
๑.มาตรการด้านการเงิน
ได้ กำหนดมาตรด้านการเงินโดยผ่านสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐและ บมจ.ธนาคารกรุงไทย โดยมีหลักการในการให้ความช่วยเหลือเช่นเดียวกับมาตรการ ปี 2553 ดังนี้
1.1  ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.)
1.1.1  มาตรการให้ความช่วยเหลือ
  (1)  กรณีลูกค้าเสียชีวิตจากอุทกภัยดังกล่าว จะจำหน่ายลูกหนี้ออกจากบัญชีเป็นหนี้สูญ โดย ธ.ก.ส. รับภาระเอง
  (2) กรณีลูกค้าประสบภัยอย่างร้ายแรงและไม่เสียชีวิต 
(2.1)  หนี้เงินกู้เดิมที่มีอยู่ก่อนประสบภัย
 (2.1.1)  ขยายเวลาการชำระหนี้เงินกู้เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีบัญชี 2554-2556
 (2.1.2)  งดคิดดอกเบี้ยเงินกู้เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ปีบัญชี 2554-2556
 (2.1.3)  หากการให้ความช่วยเหลือข้างต้นยังคงเป็นภาระหนักแก่ลูกค้า ธ.ก.ส. จะพิจารณาให้ความช่วยเหลือด้วยการปรับโครงสร้างหนี้และฟื้นฟูอาชีพให้สอด คล้องกับความสามารถในการชำระหนี้
         
(2.2)  การให้เงินกู้ใหม่เพื่อฟื้นฟูการประกอบอาชีพและพัฒนาคุณภาพชีวิต
 (2.2.1)  กรณีลูกค้าทั่วไป :
1)  ให้เงินกู้รายละไม่เกิน 100,000 บาท
2)  ลดดอกเบี้ยเงินกู้จากอัตราปกติที่ ธ.ก.ส.เรียกเก็บจากลูกค้าลง ร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี  
3)  กำหนดชำระหนี้เงินกู้ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า
4)  ธ.ก.ส. จะลดหย่อนหลักประกันการกู้เงินจากหลักเกณฑ์ปกติ ดังนี้
     4.1)  กรณีกู้เงินโดยจำนองอสังหาริมทรัพย์เป็นประกัน ให้ขยายวงเงินกู้จากที่กู้ได้ไม่เกินครึ่งหนึ่งของวงเงินจดทะเบียนจำนอง เป็นให้กู้ได้ไม่เกินวงเงินจดทะเบียนจำนอง
      4.2)  กรณีกู้เงินโดยใช้กลุ่มลูกค้ารับรองรับผิดชอบอย่างลูกหนี้ร่วมตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ให้ขยายวงเงินในการค้ำประกันจากรายละไม่เกิน 150,000 บาท เป็นไม่เกิน 200,000 บาท
 
(2.2.2)  กรณีลูกค้าเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำหรือประมง :
1)  ให้เงินกู้แก่ลูกค้าที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เรือประมงขนาดเล็ก รายละไม่เกิน 500,000 บาท และสำหรับเรือประมงขนาดใหญ่ รายละไม่เกิน 1,000,000 บาท
2)  คิดดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้าในอัตรา MRR โดยลดดอกเบี้ยเงินกู้ที่ ธ.ก.ส. เรียกเก็บจากลูกค้าลงร้อยละ 3 ต่อปี เป็นเวลาไม่เกิน 3 ปี
3)  กำหนดชำระหนี้เงินกู้ตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้า
4)  ธ.ก.ส. จะลดหย่อนหลักประกันการกู้เงินจากหลักเกณฑ์ปกติ  ดังนี้
   4.1)  ให้มีอสังหาริมทรัพย์ที่มีราคาประเมินจำนองเป็นประกันหนี้เงินกู้ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของจำนวนเงินกู้และต้องมีบุคคลไม่น้อยกว่า 2 คน เป็นผู้ค้ำประกันร่วม
    4.2)  กรณีกู้เงินโดยใช้กลุ่มลูกค้ารับรองรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ให้ขยายวงเงินในการค้ำประกันจากรายละไม่เกิน 150,000 บาท เป็นไม่เกิน 200,000  บาท 
1.1.2  มาตรการให้ความช่วยเหลือด้านสินเชื่อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและเสริม สร้างคุณภาพชีวิต โดย ธ.ก.ส. ผ่อนผันเงื่อนไข  ดังนี้
       (1)  อัตราดอกเบี้ย
(1.1)  ปีที่ 1-3 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR-2 โดยใน 3 เดือนแรกของปีแรก คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 0
(1.2)  ปีที่ 4- 5 คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR-1
(1.3)  ตั้งแต่ปีที่ 6 ขึ้นไป คิดดอกเบี้ยอัตรา MRR (ปัจจุบัน MRR มีอัตราร้อยละ 6.75 ต่อปี)
 (2)  ลดหย่อนหลักเกณฑ์การกู้เงินโดยใช้ที่ดินจำนอง หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างจำนองเป็นหลักประกัน ให้ลูกค้ากู้เงินได้ไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาประเมินที่ดิน หรือราคาประเมินที่ดินและราคาประเมินสิ่งปลูกสร้างรวมกัน
1.1.3  มาตรการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อฟื้นฟู จากปัญหาอุทกภัย เพื่อเป็นการช่วยเหลือทางการเงินแก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้สามารถปรับ ปรุงพัฒนาและซ่อมแซมแก้ไขความเสียหายที่เกิดขึ้นจากปัญหาอุทกภัย ธ.ก.ส. จึงได้ผ่อนปรนเงื่อนไขการให้สินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ โดยคิดดอกเบี้ยที่อัตรา MLR-2.25 (ปัจจุบัน MLR มีอัตราร้อยละ 4.75 ต่อปี


1.2  ธนาคารออมสิน
ธนาคารออมสินได้จัดทำมาตรการ เพื่อช่วยเหลือประชาชนและลูกค้าของธนาคารออมสินที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุอุทกภัยและวาตภัย ดังนี้
1.2.1  ลูกค้าสินเชื่อเคหะที่ได้รับผลกระทบที่ส่งผลให้ทรัพย์สิน หรือที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย     ผ่อนผันการพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยสำหรับลูกค้าสินเชื่อเคหะของ ธนาคารออมสิน ไม่เกิน 6 เดือน หรือพักชำระหนี้เฉพาะเงินต้นไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับลดเงินงวด รวมถึงขยายระยะเวลาการผ่อนชำระตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด   นอกจากนี้ ลูกค้าเดิมสามารถยื่นกู้เพิ่มเติมกรณีฉุกเฉินในสัดส่วนไม่เกินร้อยละ 10 ของวงเงินกู้เดิม แต่ต้องไม่เกิน 300,000 บาท และไม่เกินร้อยละ 100 ของราคาประเมิน โดยคิดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 ร้อยละ 3.25 ต่อปี และปีที่ 3-5 คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำประเภทมีระยะเวลา หรือ MLR-1 ต่อปี (ปัจจุบัน MLR อยู่ที่ร้อยละ 6.25 ต่อปี) และชำระเงินกู้ในส่วนที่กู้เพิ่มเติมนี้ไม่เกิน 5 ปี
1.2.2  ผู้ได้รับผลกระทบที่ไม่ใช่ลูกค้าสินเชื่อเคหะ   สามารถกู้เพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัยได้ในวงเงินไม่เกิน 300,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยปีที่ 1-2 ร้อยละ 3.25 ต่อปี และปีที่ 3-5 เท่ากับ MLR-1  ต่อปี (ปัจจุบัน MLR อยู่ที่ร้อยละ 6.25 ต่อปี)
1.2.3  ลูกค้าสินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อโครงการแก้ไขปัญหาหนี้สินภาคประชาชน (หนี้นอกระบบ) สินเชื่อธุรกิจห้องแถว และสินเชื่อองค์กรชุมชน
(1) ให้พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 6 เดือน พร้อมทั้งปรับลดเงินงวด และ/หรือขยายระยะเวลาผ่อนชำระหนี้ได้ไม่เกิน 1 ปี
(2) สามารถยื่นกู้เพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR+1 ต่อปี (ปัจจุบัน MRR อยู่ที่ร้อยละ 6.75 ต่อปี) ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
(3) สำหรับลูกค้าสินเชื่อธุรกิจห้องแถว สามารถกู้เพิ่มเติมได้ไม่เกินรายละ 100,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MLR-1.50 ต่อปี ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี
(4) สำหรับผู้ได้รับผลกระทบที่ไม่ใช่ลูกค้า สามารถยื่นกู้ได้ในวงเงินและเงื่อนไขเดียวกันกับลูกค้าของธนาคารออมสิน
1.2.4  ลูกค้าสินเชื่อธุรกิจและ SMEs
(1) ให้พักชำระหนี้เงินต้นและผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ยในระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน พร้อมทั้งขยายเวลาผ่อนชำระหนี้จากสัญญากู้เดิมได้ไม่เกิน 1 ปี
(2) สามารถยื่นกู้เพิ่มเติมได้ในวงเงินไม่เกิน 500,000 บาท ระยะเวลาชำระเงินกู้ไม่เกิน 5 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ MLR-1.50 ต่อปี โดยลูกค้ากลุ่มนี้จะต้องไม่เคยเป็นหนี้ค้างชำระกับธนาคารออมสิน 
1.3  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.)
 ธอส. ได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อลดภาระหนี้ ปลูกสร้าง และซ่อมแซมที่อยู่อาศัย
แก่ผู้ประสบภัยปี 2554 ดังนี้
   1.3.1  คุณสมบัติผู้กู้ :
-  เป็นลูกหนี้เดิมของ ธอส. หรือลูกค้าใหม่ ซึ่งที่อยู่อาศัยอันเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรสได้รับความเสียหายจาก การ ประสบภัยอุทกภัย วาตภัย และดินถล่ม
-  เป็นลูกหนี้เดิมของ ธอส. ที่ประกอบอาชีพในพื้นที่ประสบภัย และได้รับผลกระทบต่อรายได้
-  เป็นลูกหนี้เดิมของ ธอส. ซึ่งมีที่อยู่อาศัยหรือประกอบอาชีพในพื้นที่ประสบภัยเสียชีวิต หรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง
1.3.2  วัตถุประสงค์การกู้ :
- เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และภาระหนี้ที่ผ่อนชำระกับ ธอส. ตามสัญญาที่ทำไว้ก่อนวันที่กำหนดเริ่มโครงการ
-  เพื่อปลูกสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิม เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง
-  เพื่อซ่อมแซมอาคารที่เสียหาย ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองหรือคู่สมรส
1.3.3  วงเงินให้กู้ :
-  กรณีกู้ปลูกสร้างหรือซ่อมแซมอาคาร ให้กู้ไม่เกินร้อยละ 100 ของราคาประเมินค่าก่อสร้างอาคาร/ค่าซ่อมแซมอาคาร
1.3.4  ระยะเวลาการกู้ :
- ไม่เกิน 30 ปี และอายุผู้กู้รวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 75 ปี
1.3.5  อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ :
(1)  ลูกหนี้เดิมของธนาคาร
 (1.1)  กรณีหลักประกันได้รับความเสียหาย ให้ลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนที่ 1-4 = 0% ต่อปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้
แบบ ที่ 1 : ปีที่ 1 เดือนที่ 1-4 = 0% ต่อปี  เดือนที่ 5-12 = MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 2 = MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 3 = MRR-1.00% ต่อปี หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยลอยตัวตามประกาศธนาคาร  ทั้งนี้ การผ่อนชำระแบ่งเป็น เดือนที่ 1-4 ปลอดการผ่อนชำระเงินงวด และเดือนที่ 5 เป็นต้นไปผ่อนชำระตามปกติ
แบบที่ 2 : เดือนที่ 1-4 = 0% ต่อปี เดือนที่ 5-16 = 1% ต่อปี หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยลอยตัวตามประกาศธนาคาร  ทั้งนี้ การผ่อนชำระแบ่งเป็น เดือนที่ 1-4 ปลอดการผ่อนชำระเงินงวด เดือนที่ 5-16 ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย และหลังจากนั้นผ่อนชำระเงินงวดตามปกติ
 (1.2)  กรณีได้รับผลกระทบเรื่องรายได้ ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 1% ต่อปี เป็นระยะเวลา 1 ปี หลังจากนั้นคิดดอกเบี้ยลอยตัวตามประกาศธนาคาร
 (1.3)  กรณีเสียชีวิต / ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0.01% ต่อปี ตลอดระยะเวลาที่เหลืออยู่
(2)  กู้เพิ่มหรือกู้ใหม่ปลูกสร้างอาคารทดแทนอาคารเดิม / ซ่อมแซมอาคารที่ได้รับความเสียหาย    คิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้คงที่ 5 ปี โดย ปีที่ 1-5 = 2% ต่อปีหลังจากนั้น คิดดอกเบี้ยลอยตัวตามประกาศธนาคาร


1.3.6  หลักประกัน : ที่ดินพร้อมอาคารที่มีเอกสารสิทธิเป็นโฉนด หรือ น.ส.3 ก. และตั้งอยู่ในพื้นที่ประสบภัย
1.3.7  กำหนดระยะเวลายื่นคำขอกู้ : ติดต่อยื่นคำขอกู้เงินได้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 จนถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 และจะต้องทำนิติกรรมให้เสร็จสิ้นภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2554
1.3.8  การให้ความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ : กรณีอาคารที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ตาม การตรวจสอบของธนาคาร  ธนาคารจะพิจารณาปลดภาระเฉพาะภาระหนี้ตามยอดหนี้คงเหลือในส่วนของอาคาร โดยผู้กู้ผ่อนชำระหนี้ในส่วนของที่ดินที่คงเหลือ (ถ้ามี) ในอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม
1.3.9  การพิจารณาให้กู้เงินและเงื่อนไขอื่น ๆ :
(1)  ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ทุกวงเงินกู้และค่าธรรมเนียม ค่าเบี้ยปรับ ในรายการที่เกี่ยวข้องทุกกรณี
(2)  การพิจารณาให้กู้เงินและเงื่อนไขอื่น ๆ รวมถึงกรณีผิดนัดชำระหนี้ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีปฏิบัติ และระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของธนาคาร

1.4  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.)
   ธพว. ได้จัดทำโครงการ สินเชื่อ SME POWER เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุอุทกภัย และวาตภัยในปี 2554 ดังนี้
   1.4.1  กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย : ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่ได้รับความเสียหายหรือได้รับผล กระทบจากอุทกภัยและวาตภัยในปี 2554
   1.4.2  วงเงิน : จำนวน 2,000 ล้านบาท หรือตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด
   1.4.3  ระยะเวลาโครงการ : สิ้นสุดวันรับคำขอสินเชื่อภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2554
   1.4.4  คุณสมบัติผู้กู้ :
(1)  ผู้ประกอบวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมที่เป็นบุคคลธรรมดา (ไม่จำกัดอายุ) หรือนิติบุคคล ที่มีบุคคลสัญชาติไทยถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 และ
(2)  มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัย วาตภัย และโคลนถล่มในปี 2554 ตามประกาศของทางราชการ และได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์อุทกภัยฯ
(3)  ไม่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์ ขายทอดตลาดทรัพย์ ล้มละลาย ยกเว้นคดีลหุโทษ
   1.4.5  วัตถุประสงค์การกู้ : เพื่อใช้ปรับปรุง ซ่อมแซม ฟื้นฟูกิจการ และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
   1.4.6  วงเงินสินเชื่อต่อราย : ตามความจำเป็นของกิจการ แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาทต่อราย การพิจารณาเป็นไปตามเกณฑ์ธนาคารกำหนด
   1.4.7  ประเภทสินเชื่อและระยะเวลากู้ยืม : เงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term Loan) ระยะเวลาการกู้ยืมไม่เกิน 6 ปี ระยะเวลาชำระเฉพาะดอกเบี้ยโดยไม่ต้องชำระเงินต้น(Grace Period)ไม่เกิน 2 ปี
   1.4.8  อัตราดอกเบี้ย : ธนาคารคิดดอกเบี้ยในอัตราคงที่ร้อยละ 6.50 ต่อปี ตลอดอายุสัญญากู้ 
   1.4.9  ค่าธรรมเนียม :
 (1)  ยกเว้นค่าธรรมเนียมวิเคราะห์โครงการ (ร้อยละ 1 ของวงเงินกู้)
 (2)  ยกเว้นค่าธรรมเนียมจัดทำสัญญาเงินกู้ (ร้อยละ 0.05 ของวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ)
 (3)  ยกเว้นค่าธรรมเนียมชำระคืนเงินกู้ก่อนครบกำหนด (Prepayment Fee) (ร้อยละ 2 ของยอดเงินที่ชำระคืนเสร็จสิ้นก่อนกำหนด)
   1.4.10  หลักประกัน : ไม่มีหลักประกัน (Clean Loan)
   1.4.11  เงื่อนไขอื่น :
 (1)  กรณีเป็นกิจการที่เกี่ยวข้องกัน หรือ กิจการที่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกัน ถ้าเป็นกิจการที่เข้าหลักเกณฑ์ของโครงการ  แยกการดำเนินธุรกิจ และ/หรือ สถานประกอบการได้อย่างชัดเจน อนุโลมให้สามารถเข้าโครงการได้ โดยสามารถกู้สูงสุดกิจการละไม่เกินวงเงินสูงสุดตามหลักเกณฑ์ของโครงการได้
 (2)  ยกเว้นการตรวจสอบประวัติทางการเงิน (Credit Bureau) และการประเมินความเสี่ยงลูกค้าสินเชื่อ (Credit Risk Rate : CRR)

1.5  ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.)
ธอท. มีการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่ผู้ประสบภัยภาคใต้ "โครงการสินเชื่อยิ้มสู้ฟื้นฟูอาชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัย" เพื่อฟื้นฟูสถานะทางการเงินและบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนที่ได้รับผล กระทบจากภัยพิบัติน้ำท่วม ดังนี้
1.5.1  สำหรับลูกค้าเก่าที่ไม่ขอวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม
(1)  ผ่อนปรนการชำระหนี้ทั้งส่วนเงินต้นและกำไร เป็นระยะเวลา 3 เดือน และ เดือนที่ 4-24 ให้ชำระทั้งส่วนเงินต้นและกำไรโดยคิดอัตรากำไรต่ำกว่าสัญญาเดิม 1% หลังจากนั้นคิดอัตรากำไรตามสัญญาเดิม หรือ
(2)  ชำระเฉพาะส่วนกำไร เป็นระยะเวลา 12 เดือน เดือนที่ 13-24 ให้ชำระทั้งส่วนเงินต้นและกำไร โดยคิดอัตรากำไรต่ำกว่าสัญญาเดิม 1% หลังจากนั้น คิดอัตรากำไรตามสัญญาเดิม
1.5.2  สำหรับลูกค้าเก่าขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อหรือลูกค้าใหม่ขอวงเงินสินเชื่อ
 (1)  ให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมสำหรับก่อสร้าง ซ่อมแซม/ต่อเติม ที่อยู่อาศัย และ/หรือสถานประกอบธุรกิจ ที่ได้รับความเสียหายตามความจำเป็น ให้สินเชื่อไม่เกิน 100% ของราคาประเมินหลักประกันเดิม/หลักประกันอื่นเพิ่มเติม
(2)  ให้วงเงินสินเชื่อเพิ่มเติม สำหรับใช้หมุนเวียนในธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องจากการได้รับผลกระทบทางอ้อม ให้สินเชื่อไม่เกิน 100 % ของราคาประเมินหลักประกันเดิม
(3)  มาตรการทั้ง 2 ข้อข้างต้น ธนาคารจะพิจารณาจากมูลค่าความเสียหายจริงเป็นหลักโดยไม่ได้กำหนดวงเงิน
1.5.3  เงื่อนไขตามแต่ละประเภทสินเชื่อ สำหรับลูกค้าเก่าขอเพิ่มวงเงินสินเชื่อ หรือลูกค้าใหม่ของวงเงินสินเชื่อ ที่ได้รับผลกระทบทางอ้อม


(1)  วงเงินสินเชื่อ : ธอท. พิจารณาจากมูลค่าความเสียหายจริงเป็นหลัก หรือตามความจำเป็น

 (2)  ระยะเวลาการผ่อนชำระ : 
- ระยะเวลาสูงสถดไม่เกิน 7 ปี สำหรับสินเชื่อธุรกิจ และสินเชื่อเอนกประสงค์
- ระยะเวลาสูงสุดไม่เกิน 30 ปี สำหรับสินเชื่อเพื่อซ่อมแซมที่อยู่อาศัย และสถานประกอบการ
(3)  หลักประกัน :  หลักทรัพย์ หรือบุคคลค้ำประกัน โดยให้วงเงินสินเชื่อไม่เกิน 100% ของราคาประเมินหลักประกัน
(4)  อัตรากำไร :
 (4.1)  สินเชื่อเพื่อก่อสร้าง ซ่อมแซม/ต่อเติม ที่อยู่อาศัย และ/หรือ สถานประกอบธุรกิจ  
เดือนที่ 1-3 เริ่มต้นที่ 1.0% สูงสุดไม่เกิน 1.75  
เดือนที่ 4-24 เริ่มต้นที่ SPRL-2.50% สูงสุดไม่เกิน SPRL-1.50 %  
ปีที่ 3 เป็นต้นไป เริ่มต้นที่ SPRL-1.50% สูงสุดไม่เกิน SPRL-0.50 %
 (4.2)  สินเชื่อวงเงินทุนระยะยาว
ปีที่ 1 เริ่มต้นที่ SPRL-1.75% สูงสุดไม่เกิน SPRL-0.25%
ปีที่ 2 เริ่มต้นที่ SPRL-1.25% สูงสุดไม่เกิน SPRL
ปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRL
 (4.3)  สินเชื่อวงเงินทุนหมุนเวียน และวงเงินเบิกถอนเงินสด
ปีที่ 1 เริ่มต้นที่ SPRR-1.75% สูงสุดไม่เกิน SPRR-0.25%
ปีถัดไป ให้พิจารณาตามความเหมาะสม
 (4.4)  สินเชื่อวงเงินเอนกประสงค์
เดือนที่ 1-3 เริ่มต้นที่ 0.75 % สูงสุดไม่เกิน 2.00%
เดือนที่ 4-24 SPRR+6.25%
ปีที่ 3 เป็นต้นไป SPRR+7.25%
ทั้ง นี้ อัตรากำไรข้างต้นเป็นไปตามประกาศของธนาคารในโครงการสินเชื่อยิ้มสู้ฟื้นฟู อาชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัย (ปัจจุบัน SPRL = 6.75% SPR = 7.0% และ SPRR = 7.25% ตามประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม 2552)
1.6  ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)
 1.6.1  สินเชื่อหมุนเวียนเพื่อการส่งออก
 -  กรณี Pre Shipment Financing เป็นการเบิกกู้เพื่อเตรียมการส่งออก คือ การส่งออกยังไม่เกิดขึ้น ผู้ส่งออกอาจไม่สามารถจัดเตรียมเอกสารหลักฐานจากผู้ซื้อมายืนยันระยะเวลาที่ จำเป็นต้องขยายหรือความชัดเจนในการส่งออกได้ พิจารณาความช่วยเหลือ ดังนี้
(1)  ขยายระยะเวลาการรับชำระหนี้ หรือการต่อตั๋วเกินเทอม โดยพิจารณาขยายระยะเวลาตามผลกระทบที่ได้รับครั้งละไม่เกิน 60 วัน เมื่อนับรวมอายุตั๋วเดิมแล้วไม่เกิน 240 วัน ทั้งนี้ กรณีที่ไม่มีเอกสารทางการค้ามาแสดงประกอบการขอขยายระยะเวลา ลูกค้าจำเป็นต้องมีจดหมายแจ้งความประสงค์และเหตุผลในการขอขยายระยะเวลา ประกอบคำขอด้วย
(2)  ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ต่อปีจากอัตราดอกเบี้ยเดิมที่ได้รับ  สำหรับภาระหนี้คงค้างในส่วนของระยะเวลาที่จำเป็นต้องต่อตั๋ว ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงแล้วต้องไม่ต่ำกว่า Prime - 2.75% ต่อปี
-  กรณี Post Shipment Financing เป็นการรับซื้อเอกสารส่งออก  โดยผลกระทบที่อาจได้รับเกิดขึ้นได้ทั้งในกรณีที่ส่งสินค้าออกไป โดยผู้ซื้อได้รับสินค้าแล้วแต่ยังไม่สามารถชำระเงินได้ หรือผู้ซื้อยังไม่ได้รับสินค้า ซึ่งจะมีผลให้ระยะเวลาของการรับชำระอาจยาวนานกว่ากรณีที่รับสินค้าแล้ว ให้กำหนดความช่วยเหลือ เป็นกรณีการรับชำระช้า (delayed payment) ระหว่างวันที่ 8 -  60 ให้คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับอัตราที่รับซื้อลดตั๋ว คือ Prime Rate ต่อปี โดยให้ชำระดอกเบี้ยในส่วนที่เกิดขึ้นนี้ในวันที่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า  ถ้าการรับชำระล่าช้านานเกิน 60 วันให้พิจารณาแนวทางการแก้ไขปัญหาต่อไป
 1.6.2  สินเชื่อหมุนเวียนเพื่อการนำเข้า
          (1)  ขยายระยะเวลาการกู้ Trust  Receipt โดยพิจารณาขยายระยะเวลาตามผลกระทบที่ได้รับครั้งละไม่เกิน 60 วัน เมื่อนับรวมอายุ Trust Receipt ทั้งหมดแล้วไม่เกิน 240 วัน   
          (2)  ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.5% ต่อปีจากอัตราดอกเบี้ยเดิมที่ได้รับ  สำหรับภาระหนี้คงค้างในส่วนของระยะเวลาที่ได้รับการขยาย ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับลดลงแล้วต้องไม่ต่ำกว่า Prime-2.75% ต่อปี
 1.6.3  สินเชื่อระยะยาว (กรณีวงเงินที่มีในปัจจุบัน)
 (1)  พักการชำระหนี้ต้นเงินกู้และดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 2 เดือน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่ได้รับ
 (2)  เลื่อนกำหนดการผ่อนชำระหนี้  และ/หรือ ปรับเงื่อนไขในการผ่อนชำระหนี้ในส่วนของ ระยะเวลา และ/หรือ จำนวนเงิน โดยพิจารณาจากความเสียหายที่ได้รับ
 (3)  ยกเว้นการคิดดอกเบี้ยในอัตราผิดนัดชำระ โดยให้คิดดอกเบี้ยในอัตราปกติที่ได้รับ สำหรับการปรับเปลี่ยนรายละเอียดการผ่อนชำระหนี้ตามแนวทางการช่วยเหลือข้าง ต้น
 1.6.4  สินเชื่อระยะยาว (กรณีของเงินกู้เพิ่มเติมเพื่อซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้น)
 (1)  อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ
ปีที่ 1 และ 2 = Prime- 1.75% ต่อปี
                ปีที่ 3 เป็นต้นไป= Prime Rate ต่อปี
       (ปัจจุบันอัตรา Prime Rate = 6.25% ต่อปี)
 (2)  ระยะเวลาการชำระคืน เงื่อนไขการผ่อนชำระ และเงื่อนไขอื่นๆ พิจารณาผ่อนปรนตามผลกระทบที่ผู้ประกอบการได้รับจากสถานการณ์

1.7  บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.)
 บสย. ได้กำหนดมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและ SMEs ที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ดังนี้
1.7.1  มาตรการพักการชำระค่าธรรมเนียมค้ำประกัน เป็นระยะเวลา 6 เดือน สำหรับลูกค้า บสย. ที่ได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ปี 2554  และถึงกำหนดชำระค่าธรรมเนียมต่ออายุการค้ำประกันตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2554 ถึง 31 มีนาคม 2555
-  ลักษณะของลูกค้าที่อยู่ในข่ายให้การช่วยเหลือ มีดังนี้
(1)  เป็นลูกค้า บสย. ที่มีสถานประกอบการตั้งอยู่ในพื้นที่จังหวัดที่ประสบอุทกภัยฯ โดยเป็นจังหวัดที่มีชื่ออยู่ในประกาศสถานการณ์อุทกภัยภาคใต้ ปี 2554  ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย  กระทรวงมหาดไทย
(2)  กิจการของลูกค้าได้รับผลกระทบโดยตรงจากอุทกภัย ทำให้กิจการได้รับความเสียหายจนไม่สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ หรือดำเนินงานได้เพียงบางส่วน โดยพิจารณาความเสียหายที่แท้จริง
-  ขั้นตอนและวิธีปฏิบัติในการขอรับความช่วยเหลือ
(1)  สถาบันการเงิน จะต้องดำเนินการตรวจสอบความเสียหายของลูกค้าที่ บสย. ให้การค้ำประกัน และรับรองความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยจัดทำรายงานการตรวจสอบความเสียหายตามแบบฟอร์มที่ บสย. กำหนด
(2)  ถ่ายภาพกิจการที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัย และจัดส่งให้แก่ บสย.
 1.7.2  มาตรการให้ความร่วมมือกับสถาบันการเงินที่ลูกค้าได้รับการค้ำประกันสินเชื่อ จาก บสย. ในการผ่อนปรนเรื่องการพักชำระหนี้ทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยรวมทั้งการปรับโครง สร้างหนี้เพื่อให้กิจการสามารถดำเนินต่อไปตามปกติ
วิธีปฏิบัติ คือ ให้สถาบันการเงินมีหนังสือแจ้งการพักชำระหนี้หรือการปรับโครงสร้างหนี้ เพื่อขอความเห็นชอบจาก บสย. ตามวิธีปฏิบัติปกติสำหรับโครงการค้ำประกันสินเชื่อที่มิใช่การค้ำประกันใน ลักษณะ Portfolio Guarantee Scheme  โดยสถาบันการเงินต้องจัดส่งเอกสารสำเนารายงานการพิจารณาของสถาบันการเงินให้ แก่ บสย. ด้วย

1.8  บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย (บตท.)
   บตท. ได้กำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
   พิจารณาพักชำระหนี้เป็นระยะเวลาไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับลดเงินงวด หรือขยายระยะเวลาการผ่อนชำระหนี้ออกไปรวมไม่เกิน 30 ปี และในกรณีที่ลูกค้ามีความประสงค์จะขอกู้เพิ่มเพื่อนำไปซ่อมแซมบ้านที่ได้รับ ความเสียหาย บตท. จะเป็นผู้ประสานงานกับสถาบันการเงินเพื่อให้กู้เพิ่มต่อไป โดยมาตรการดังกล่าวเป็นการให้ความช่วยเหลือลูกค้าของ บตท. ที่ได้รับความเสียหายจริงจากสถานการณ์อุทกภัยและได้มีการติดต่อเพื่อขอความ ช่วยเหลือ ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่ประสบภัยรวม 8 จังหวัด หรือพื้นที่อื่นเพิ่มเติม (โดยอ้างอิงข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธาณภัย กระทรวงมหาดไทย และข้อมูลจากลูกค้าที่แจ้งมา)

1.9  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (บมจ. กรุงไทย)
 บมจ. กรุงไทย มีมาตรการให้ความช่วยเหลือ ดังนี้
   1.9.1  เงินกู้กรุงไทยสู้อุทกภัย  ให้วงเงินกู้ประจำ (T/L)
-  วงเงินสูงสุด : ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง
-  อัตราดอกเบี้ย : ปีที่ 1 ร้อยละ MLR-1 (MLR ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 6.625 ต่อปี) ปีที่ 2 เป็นต้นไป ร้อยละ MLR ต่อปี ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 5 ปี หลักประกันใช้หลักประกันเดิม
  1.9.2  เงินทุนหมุนเวียนกรุงไทยสู้อุทกภัย สำหรับเสริมสภาพคล่องให้ลูกค้าที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนเพิ่ม เติม ธนาคารจะพิจารณาให้ตามความเหมาะสม
  1.9.3  โครงการกรุงไทยสู้อุทกภัย สำหรับลูกค้าที่ได้รับความเสียหายแต่ไม่ประสงค์กู้เพิ่ม โดยให้ปลอดชำระเงินต้น (Grace  Period) ไม่เกิน 6 เดือน ชำระดอกเบี้ยตามเงื่อนไข
  1.9.4  สินเชื่อที่อยู่อาศัยกรุงไทยสู้อุทกภัยภาคใต้
            (1) ผ่อนปรนเงือนไขการชำระหนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย สำหรับลูกค้าที่ได้รับความเสียหาย โดยให้ปลอดชำระเงินต้น (Grace  Period) ไม่เกิน 6 เดือน ชำระดอกเบี้ยตามเงื่อนไข
                                        (2) สำหรับลูกค้าที่มีการผ่อนชำระสินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารอยู่แล้ว และได้รับความเสียหายจากสถานการณ์อุทกภัย ธนาคารจะมอบวงเงินสินเชื่อเพิ่มเติมเต็มตามจำนวนเงินที่ได้ผ่อน
ชำระกับ ธนาคาร เพื่อใช้ในการปรับปรุง ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย จัดหาเครื่องใช้ อุปกรณ์จำเป็นในการดำรงชีวิต หรือ เป็นค่าใช้จ่ายอเนกประสงค์
- อัตราดอกเบี้ย : ปีที่ 1 ร้อยละ MRR-1.75 (MRR ปัจจุบันเท่ากับร้อยละ 7.350 ต่อปี) ปีที่ 2 เป็นต้นไป ร้อยละ MRR-0.5 ต่อปี
- ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด :  60 งวด
  1.9.5  ธนาคารยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม   ธนาคารได้ยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยอุทกภัยทุก บัญชีแล้ว โดยมีผลตั้งแต่เดือนมีนาคม 2554 ไปจนกว่าสถานการณ์อุทกภัยจะคลี่คลาย หรือ ธนาคารจะมีประกาศเปลี่ยนแปลงต่อไป ดังนี้     
 -  บัญชีที่มีวัตถุประสงค์เพื่อรับบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมทุกบัญชี
 -  บัญชีลูกค้าที่ประสงค์จะโอนเงินเพื่อช่วยเหลือญาติพี่น้องที่อยู่ในพื้นที่ ประสบภัยพิบัติ ตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงมหาดไทย
  1.9.6  กรุงไทยจับคู่ธุรกิจสู้อุทกภัย โดยจัด Business Matching ระหว่างผู้ประกอบการที่ได้รับความเสียหาย กับ ผู้ประกอบการที่จำหน่ายวัสดุก่อสร้าง เครื่องจักรอุปกรณ์ และผู้รับเหมา เพื่อให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายสามารถปรับปรุงซ่อมแซมกิจการ หรือทดแทนและซ่อมบำรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ ในสถานประกอบการที่ได้รับความเสียหายในราคาพิเศษ
  1.9.7  โครงการสินเชื่อเพื่อการพัฒนาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สำหรับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
            - ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด : 60 งวด
 -  อัตราดอกเบี้ย : 6 เดือนแรกอัตราคงที่ร้อยละ 3 หลังจากนั้น เรียกเก็บดอกเบี้ย
ในอัตราเงินฝากประจำ 6 เดือนบุคคลธรรมดา + ร้อยละ 1.25 ต่อปี ปลอดเงินต้น 6 เดือน
 ทั้ง นี้ ผู้ประสงค์ขอรับความช่วยเหลือ แจ้งความประสงค์กันธนาคารได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2554 ยกเว้นมาตรการที่ 1.9.7 ให้ยื่นกู้ได้จนถึงวันที่ 30 กันยายน 2554

2.  มาตรการด้านภาษี
เพื่อเป็นการบรรเทาภาระภาษีให้แก่ผู้ประสบภัย พิบัติทางธรรมชาติ (อุทกภัย วาตภัย อัคคีภัย หรือภัยธรรมชาติอื่น) ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2554 เป็นต้นไป และเพื่อให้ผู้บริจาคได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีกรณีบริจาคเงินและสิ่งของ โดยมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นเป็นตัวแทนรับบริจาค เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติดังกล่าวกระทรวงการคลังจึงขอเสนอให้มี การดำเนินการ ดังนี้
  2.1  ให้มีการยกเว้นภาษีประเภทต่างๆ  โดยมีรายละเอียด ดังต่อไปนี้
  2.1.1  ยกเว้นภาษีเงินได้ให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ สำหรับเงินได้ที่ได้รับจากรัฐบาลเพื่อชดเชยความเสียหาย หรือที่ได้รับจากการบริจาคหรือช่วยเหลือเพื่อชดเชยความเสียหายในกรณีอื่นที่ ไม่เกินกว่ามูลค่าความเสียหายที่ได้รับ
  2.1.2  ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินค่าสินไหมทดแทนที่ได้รับจากบริษัทที่ ประกอบธุรกิจประกันภัย เพื่อชดเชยความเสียหายจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ เฉพาะส่วนที่เกินมูลค่าต้นทุนของทรัพย์สินที่เหลือจากการหักค่าสึกหรือและ ค่าเสื่อมราคา ตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่งประมวลรัษฎากร
  2.1.3  ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเท่าจำนวนเงินที่ได้บริจาคให้แก่ผู้ประสบภัย พิบัติทางธรรมชาติ โดยมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เป็นตัวแทนรับเงินบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยดังกล่าวแต่เมื่อรวม กับเงินบริจาคอื่นแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
  2.1.4  ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับเงินได้เป็นจำนวนเงินหรือทรัพย์สินที่ บริจาคให้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นตัวแทนรับเงินหรือทรัพย์สินที่บริจาคเพื่อนำไปช่วย เหลือผู้ประสบภัยดังกล่าว แต่เมื่อรวมกับรายจ่ายเพื่อการกุศลสาธารณะหรือเพื่อการสาธารณประโยชน์ตาม มาตรา 65 ตรี (3) แห่งประมวลรัษฎากรแล้ว ต้องไม่เกินร้อยละ 2 ของกำไรสุทธิ
  2.1.5  ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ประกอบการที่นำสินค้าไปบริจาคเพื่อช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ โดยมีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น เป็นตัวแทนรับสินค้าที่บริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยนั้น  

2.1.6  ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (5) (6) (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร ของผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งได้มีการลงทะเบียนไว้กับศูนย์หรือหน่วยงานให้ความช่วยเหลือของทางราชการ เท่าจำนวนความเสียหาย โดยให้ได้รับยกเว้นไม่ต้องนำมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
2.2 ให้มีการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีหรือนำส่งภาษี ดังต่อไปนี้ 
   2.2.1  ให้มีการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการภาษีและชำระภาษีเงินได้
บุคคล ธรรมดาสำหรับปีภาษี 2553 ที่จะต้องยื่นรายการภายในวันที่ 31 มีนาคม 2554 ออกไปเป็นวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 ทั้งนี้ เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมินจากการทำงานหรือการประกอบกิจการในท้องที่ที่ ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะนี้
   2.2.2  ให้มีการขยายเวลาการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีหรือนำส่งภาษีให้
แก่ ผู้ประกอบการที่อยู่ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นในขณะ นี้ สำหรับการยื่นรายการภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ (แต่ไม่รวมถึงกรณีการขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร) และอากรแสตมป์ ที่จะต้องยื่นรายการและชำระภาษีในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายน 2554 ออกไปเป็นภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2554
2.3  เนื่องจากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่นที่เป็นตัวแทน รับบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยระหว่างวันที่ 1 กันยายน 2553 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 แจ้งว่ายังมียอดเงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในครั้งดังกล่าวคง เหลือในบัญชีเดิมที่เปิดรับบริจาคในครั้งนั้น ซึ่งตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 513) พ.ศ. 2553 กำหนดให้นำเงินบริจาคไปช่วยเหลือเฉพาะผู้ที่ประสบอุทกภัยในครั้งดังกล่าว และให้ส่งมอบเงินที่เหลือให้แก่ส่วนราชการ หรือองค์การหรือสถานสาธารณกุศลตามมาตรา 47 (7) (ข) แห่งประมวลรัษฎากร ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 ดังนั้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ ทางธรรมชาติ กระทรวงการคลังจึงเห็นควรเสนอให้มีการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายฉบับเดิม (พระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 513) พ.ศ. 2553) โดยให้ขยายเวลาและขอบเขตของการบริจาคเงินให้ครอบคลุมถึงภัยพิบัติทาง ธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศไทย ในปี 2554 ด้วย
ทั้งนี้ การดำเนินการตาม 2.1 และ 2.3 สามารถดำเนินการได้โดยการตราพระราชกฤษฎีกา  ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... จำนวน 2 ฉบับ และออกกฎกระทรวง  ฉบับที่ .. (พ.ศ. ....) ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร แก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 (พ.ศ. 2509) ออกตามความในประมวลรัษฎากร  จำนวน 1 ฉบับ  สำหรับการดำเนินการตาม 2.2 สามารถดำเนินการโดยการอนุมัติของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และกรมสรรพากรจะมีการประกาศกำหนดเขตพื้นที่ที่ได้รับสิทธิการขยายเวลาการ ยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีหรือนำส่งภาษี ตลอดจนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในกรณีนี้ต่อไป

3.  ความช่วยเหลือของกรมบัญชีกลาง
   กรมบัญชีกลางได้ขยายวงเงินทดรองราชการในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรี ธรรมราช พัทลุง สุราษฎร์ธานี ชุมพร ตรัง กระบี่ สงขลา และพังงา จังหวัดละ 50 ล้านบาท เป็นจังหวัดละ 100 ล้านบาท  

Tags : คลัง กางมาตรการ ให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยปี2554 ละเอียดยิบ

view