ฐานของการบริหารแบบยั่งยืน
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : ดร.ไสว บุญมา
เมื่อปีที่แล้ว มีหนังสือเล่มหนึ่งพิมพ์ออกมาชื่อ Success Made Simple : An Inside Look at Why Amish Businesses Thrive
หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาน่าสนใจมาก โดยเฉพาะข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจเกิดใหม่ในสหรัฐอเมริกาที่ว่ากว่าครึ่งจะล้มเลิกไปภายในเวลา 5 ปี ยกเว้นธุรกิจที่ก่อตั้งโดยกลุ่มอามิช ซึ่งมีอัตราความล้มเหลวเพียง 5% เท่านั้น ผู้เขียนพยายามค้นหาว่าอะไรทำให้ธุรกิจของกลุ่มอามิชแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญกับธุรกิจของชาวอเมริกันโดยทั่วไป
อาจเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า ชาวอามิชอพยพจากยุโรปไปอยู่อเมริกามากว่า 300 ปีแล้ว ส่วนใหญ่ตั้งหลักแหล่งอยู่ในสหรัฐอเมริกาและแคนาดา ลักษณะโดดเด่นของคนกลุ่มนี้ คือ ไม่ใช้เทคโนโลยีร่วมสมัยภายในบ้าน อาทิเช่น ไม่ใช้ไฟฟ้า ไม่ใช้โทรศัพท์ ไม่ใช้รถยนต์และเครื่องจักรกลต่างๆ ฉะนั้น พวกเขายังไปไหนมาไหนโดยการใช้รถม้าและไถไร่ไถนาด้วยม้าและล่อ ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและทำธุรกิจขนาดย่อมภายในครอบครัว
ผู้เขียนสรุปว่า ปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจของชาวอามิชล้มเหลวในอัตราต่ำมาก มาจากการทำธุรกิจแบบพอเพียงบนหลักการที่ว่า คนงานต้องมีศักดิ์ศรีโดยเฉพาะการจ่ายค่าแรงสูงเพื่อให้พวกเขาเลี้ยงตัวและครอบครัวได้เป็นอย่างดี แม้ผู้ประกอบการจะมีกำไรในอัตราต่ำกว่าที่น่าจะทำได้ก็ตาม หลักการนี้ตรงข้ามกับแนวคิดกระแสหลัก ซึ่งมักพยายามลดต้นทุนด้วยการจ่ายค่าแรงงานในอัตราต่ำที่สุดที่ภาวะจะอำนวย การทำงานอย่างมีศักดิ์ศรีมีผลดีต่อคุณภาพของสินค้าและบริการส่งผลให้ลูกค้าพอใจและธุรกิจมีโอกาสอยู่ได้อย่างมั่นคงสูง
อนึ่ง คงเป็นที่ทราบกันดีว่าเยอรมนีเป็นหัวจักรใหญ่ในเศรษฐกิจของยุโรป ในขณะที่หลายประเทศกำลังประสบปัญหาสาหัสบ้าง ไม่สาหัสนักบ้าง เศรษฐกิจของเยอรมนีเดินไปได้ดีมาก นิตยสาร The Economist ฉบับประจำวันที่ 7 มีนาคมที่ผ่านมา พิมพ์บทความจากการพยายามค้นหาคำตอบว่าเพราะอะไร บทความนำตัวอย่างน่าสนใจมาเสนอในตอนต้นเกี่ยวกับการผลิตเลื่อยลูกโซ่ของบริษัทสตีฮ์ล ซึ่งมีลักษณะของบริษัทส่วนใหญ่ในเยอรมนี นั่นคือ เป็นธุรกิจในครอบครัว
บทความเสนอว่าเลื่อยลูกโซ่ใช้เทคโนโลยีง่ายๆ ซึ่งจีนผลิตได้และขายในราคาถูกมานานแล้ว แทนที่จะตามก้นบริษัทอเมริกันส่วนใหญ่โดยการส่งงานไปทำยังต่างประเทศที่มีค่าแรงต่ำกว่า เพื่อหวังลดราคาลงมาแข่งขันกับจีน บริษัทสตีฮ์ลเน้นการผลิตทุกอย่างในเยอรมนีและส่งไปขายในต่างประเทศ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทราว 86% จึงส่งออกแม้ราคามักจะแพงกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศที่มีค่าแรงต่ำก็ตาม ปัจจัยที่ทำให้บริษัทสามารถขายสินค้าราคาแพงกว่าได้ คือ คุณภาพที่สูงจนเป็นที่ประจักษ์แก่ลูกค้า บทความอ้างถึงปัจจัยซึ่งมักไม่มีใครคาดคิดสองอย่าง คือ ในระหว่างที่เศรษฐกิจกำลังถดถอยร้ายแรงครั้งที่ผ่านมา แทนที่จะปลดคนงาน บริษัทนั้นให้ประกันแก่คนงานว่าจะจ้างต่อไปถึงปี 2558 นอกจากนั้น ยังจ้างพนักงานด้านวิจัยและพัฒนาเพิ่มอีกด้วย การให้ความมั่นคงแก่คนงานและการเน้นการวิจัยและพัฒนา เพื่อค้นหาคุณภาพที่ดีเป็นปัจจัยที่ทำให้บริษัทอยู่ได้อย่างมั่นคง
การให้ประกันการจ้างงานแทนการปลดคนงานในช่วงเศรษฐกิจถดถอยแบบนั้นเกิดขึ้นในเมืองไทยและได้ผลเช่นเดียวกับในเยอรมนี ตัวอย่างของเรื่องนี้อยู่ที่บริษัทขนาดกลาง ซึ่งทำธุรกิจติดตั้งหน้าต่างและกระจกให้อาคารและบ้านเรือนชื่อ โอเรกอนอะลูมิเนียม เฉกเช่นธุรกิจทั่วไป โอเรกอนฯ ได้รับผลกระทบใหญ่หลวงเมื่อเศรษฐกิจถดถอยในปี 2540 แต่แทนที่จะปลดคนงาน บริษัทตัดสินใจจ้างไว้ทั้งหมด 180 คน และจะขอล้มละลายร่วมกับคนงานหากการตัดสินใจนั้นผิด โอเรกอนฯ คำนวณว่ามีเวลา 5 ปีก่อนที่เงินสะสมของบริษัท 70 ล้านบาทจะหมด ในช่วงเวลา 5 ปีนั้น บริษัทจะรับงานเล็กใหญ่ในราคาต้นทุนเพื่อให้คนงานส่วนหนึ่งมีงานทำ ส่วนคนงานที่ไม่มีงานประจำให้ผลัดกันไปทำนา ปลูกกล้วย ปลูกข้าวโพด ปลูกมะละกอ เพาะเห็ด และปลูกผักต่างๆ พร้อมทั้งเลี้ยงปลาในที่ดินที่บริษัทรับซื้อไว้ ซึ่งทุกคนได้ค่าแรงตามปกติและนำผลผลิตมาปันกัน
โอเรกอนฯ ทำอยู่เช่นนั้นเป็นเวลา 4 ปีก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัว เนื่องจากคนงานยังอยู่ครบ บริษัทจึงสามารถรับงานใหม่ได้ทันที เมื่อมีโอกาสยังผลให้บริษัทมีกำไรและขยายตัวได้อีกครั้ง สำหรับที่นาและบ่อปลา บริษัทให้ผู้อื่นเช่าไป ส่วนที่สวนได้ปลูกต้นไม้จำพวกมะม่วง ขนุนและลำไยเพื่อนำผลผลิตที่ได้มาปันกันในหมู่คนงานเช่นเดิม ในกระบวนการปิดบ่อปลา บริษัทได้ปลาก้นบ่อหลายตัน ซึ่งคนงานนำมาทำปลาร้าได้ถึง 22 โอ่งมังกรราชบุรี ปลาร้านี้ คือ ต้นตำนานของการ "ทำปลาร้าไปฝากภาคอีสาน" เนื่องจากคนงานจำนวนมากมาจากภาคนั้น เมื่อพวกเขากลับไปเยี่ยมบ้านได้นำปลาร้าไปฝากญาติมิตรแทนที่จะไปขอปลาร้าเพื่อนำกลับลงมากรุงเทพฯ ส่วนประกอบของการดูแลคนงานเป็นอย่างดีและให้พวกเขาทำงานอย่างมีศักดิ์ศรีของบริษัทนี้ยังมีอีกมาก ซึ่งอาจหาอ่านเพิ่มได้ในนิตยสารธุรกิจกับสังคม ฉบับที่ 22 (ต.ค.-ธ.ค. 2553)
เท่าที่เล่ามานี้น่าจะชี้ให้เห็นว่า การบริหารธุรกิจที่เน้นการดูแลคนงานเป็นอย่างดีมีโอกาสอยู่ได้อย่างมั่นคงสูง ไม่ว่าจะตั้งอยู่ในประเทศไหน จึงกล่าวได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีความเป็นสากล