พฤกษาฯ ชี้ โครงการบ้านหลังแรก กระตุ้น ศก. ขยายตัวนับแสนล้าน
จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ผู้บริหาร พฤกษาฯ ปลื้มนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ ชี้ โครงการกู้บ้านหลังแรก 0% กระตุ้นเศรษฐกิจนับแสนล้านบาท เพราะบ้านทุก 1 ล้านบาท จะมีผลต่อเงินหมุนเวียน 2.9 เท่า "ทองมา" เผยส่วนแบ่งตลาด 30% ในรอบนี้
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการเงินกู้บ้านหลังแรก ธนาคมรอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ดอกเบี้ย 0 % เป็นเวลา 2 ปี จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจถึง 100,000 ล้านบาท เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการที่โอนบ้านได้ในช่วง 4 เดือนหลังจากนี้ จะต้องสร้างโครงการบ้านจัดสรรขึ้นมาชดเชยส่วนที่ขายออกไป
ขณะเดียวกันยังพบว่า ทุกราคาบ้าน 1 ล้านบาท จะมีผลต่อเงินหมุนเวียนทางเศรษฐกิจ 2.9 เท่า ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้างต่างๆ จึงถือว่าเป็นนโยบายที่ถูกต้องที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่ภาคอุตสาหกรรมรถยนต์ซบเซาลงจากปัญหาภัยพิบัติในญี่ปุ่น และยังเป็นโครงการที่มีผลอย่างรวดเร็วหลังมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไม่ทำให้เกิดภาวะชะลอการซื้อ
ส่วนการประหยัดค่าใช้จ่ายของผู้ซื้อจะได้ถึงร้อยละ 12 ในช่วง 2 ปี เพราะได้ส่วนลดดอกเบี้ยเฉลี่ยร้อยละ 5 ต่อปีและลดค่าจดจำนองและค่าธรรมเนียมการโอน โครงการนี้ยังทำให้ปัญหาสังคมลดลง เพราะผู้กู้คือผู้ที่ต้องการบ้านหลังแรกเพื่อที่อยู่อาศัย และเมื่อมีบ้านจะทำให้การใช้จ่ายเปลี่ยนไปโดยจะสุขุมมากขึ้น
ด้านนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ พฤกษาฯ กล่าวยอมรับว่า ราคาบ้านในปีนี้ มีราคาแพงขึ้นจากปีที่แล้วประมาณร้อยละ 5-7 จากราคาคอนกรีตที่สูงขึ้นร้อยละ 10 ราคาเหล็กสูงขึ้นร้อยละ 7-8
ส่วนโครงการบ้าน ธอส. สินเชื่อ 0% เป็นเวลา 2 ปี จะทำให้ พฤกษาฯ มีส่วนแบ่งร้อยละ 30 โดยกลุ่มลูกค้าที่ได้ประโยชน์ คือผู้ซื้อทาวน์เฮ้าสราคา 1-1.5 ล้านบาท คอนโดยูนิตละ 1 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวหลังละ 3 ล้านบาท เชื่อว่าจะทำให้ยอดโอนบ้านในไตรมาส 2 สูงขึ้น
ยอดกู้บ้านหลังแรกวันที่สองกว่า1.2หมื่นล้าน
จาก โพสต์ทูเดย์
แบงก์ธอส.เผยยอดยื่นกู้ขอสินเชื่อซื้อบ้านหลังแรก ปลอดดอกเบี้ย0% วันที่สองทั่วประเทศกว่า1.2หมื่นล้านบาท
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แจ้งว่า มีผู้ยื่นกู้ซื้อบ้านหลังแรกในวันที่สองทั่วประเทศ 8,397 ราย คิดเป็นยอดสินเชื่อกว่า 12,426 ล้านบาท เฉลี่ยรายละ 1,470,000 ล้านบาท โดยลูกค้าส่วนใหญ่มาใช้บริการที่สาขาพระราม 9 (สำนักงานใหญ่) มากที่สุด จำนวนผู้ยื่นกู้ 619 ราย วงเงิน 998 ล้านบาท
รองลงมาเป็นสาขาเชียงใหม่ จำนวนผู้ยื่นกู้ 296 ราย วงเงิน 461 ล้านบาท ศรีนครินทร์ จำนวนผู้ยื่นกู้ 278 ราย วงเงิน 457 ล้านบาท หาดใหญ่ จำนวนผู้ยื่นกู้ 278 ราย วงเงิน 454 ล้านบาท และพัทยา จำนวนผู้ยื่นกู้ 260 ราย วงเงิน 394 ล้านบาท ตามลำดับ
เพอร์เฟคโชว์ยอดพันล.เข้าเกณฑ์"บ้านหลังแรก"
จาก ประชาชาติธุรกิจ
โดย : โต๊ะข่าวธุรกิจการตลาด
เพอร์เฟค โชว์สินค้าพร้อมโอนพันล้าน มีสิทธิ์ร่วมโครงการบ้านหลังแรก
พร้อมเกมขายบ้านเกิน 3 ล้าน ส่งมาตรการดอกเบี้ยต่ำ 1% คงที่ 2 ปีพ่วงสัญญากู้ 40 ปีประกาศรุกคอนโดฯ 1-3 ล้านต่อเนื่อง เตรียมเปิด 3 โครงการใหม่ 9.6 พันล้านบาททำเลใกล้รถไฟฟ้า
นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต รองประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่ภาครัฐบาลได้ประกาศมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ย 0% 2 ปี สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทนั้น โครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่อยู่ในข่ายได้รับประโยชน์จากมาตรการรัฐ ซึ่งขณะนี้สร้างเสร็จพร้อมโอน ภายใน 1-2 เดือน มีจำนวนประมาณ 1,000 ล้านบาท
โดยเป็นทาวน์เฮ้าส์ ในโครงการ เดอะ วิลล่า รามคำแหง/รามอินทรา/บางบัวทอง บ้านแฝด ในโครงการเพอร์เฟค พาร์ค พระราม5-บางใหญ่ และคอนโดในโครงการ เมโทร พาร์ค สาทร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการเมโทร พาร์ค สาทร ขณะนี้ มีจำนวนยูนิตสร้างเสร็จพร้อมโอนกว่า 500 ยูนิต ในราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท
ลูกค้าเมโทร พาร์ค นอกจากมีสิทธิ์ได้รับมาตรการรัฐแล้ว ยังจะได้รับบัตรรถไฟฟ้า BTS ฟรี 1 ปี Apple iPad2 และห้องพัก 3 วัน 2 คืน ที่ Centara ตราด โดยล่าสุด ทางโครงการยังได้เปิดตัวคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ริมทะเลสาบ ใช้เงินลงทุนกว่า 50 ล้านบาท มีจุดเด่นอยู่ที่สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ถึง 1,800 ตร.ม. และอาคารคลับฮ้าส์ซึ่งมีพื้นที่ 2,600 ตร.ม. ภายในประกอบด้วย ห้องฟิตเนส แอโรบิค ซาวน่า
“เพื่อเป็นการร่วมสนับสนุนมาตรการของภาครัฐ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จะมีแคมเปญ Perfect Worry Free สำหรับผู้ซื้อบ้านราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษคงที่ 1% 2 ปี กู้ได้เต็ม 100% อัตราผ่อนต่ำเพียงล้านละ 3,000 บาท/เดือน ระยะเวลาผ่อนนานสูงสุด 40 ปี โดยได้รับการสนับสนุนจากธนาคารธนชาติ นครหลวงไทย และออมสิน เพื่อลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้าน ที่ยังกังวลกับเรื่องของดอกเบี้ย โดยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ จะมีไปจนถึง 5 มิถุนายนนี้”
นายวงศกรณ์ กล่าว ส่วนตลาดคอนโดฯ นายวศกรณ์ กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมจะลดความร้อนแรงลง โดยในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ลดลงเกือบครึ่ง เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปี 2553 แต่เมื่อดูตัวเลขปีที่ผ่านมา อาคารชุดระดับราคา 1-3 ล้าน ทำยอดขายได้อยู่ในอัตรา 60% ของจำนวนที่เปิดขาย ซึ่งบริษัทก็เน้นพัฒนาโครงการในระดับราคานี้ โดยทิศทางการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในปีนี้ จะเน้นเป็นคอนโดมิเนียม 8 ชั้น ราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาท โดยมีทั้งทำเลที่ติดเส้นทางรถไฟฟ้า และ ทำเลใกล้ชุมชน ซึ่งเป็นทำเลสำหรับผู้ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย
ปีนี้เพอร์เฟคคาดว่าจะมียอดขาย 15,000 ล้านบาท โดยจะเป็นยอดขายจากคอนโด 7,000 ล้านบาท เมื่อรวมโครงการ “ยูนิลอฟท์” อีก 1,000 ล้านบาท ยอดขายจากโครงการแนวสูง จะมีสัดส่วนคิดเป็น 50% ของยอดขายรวมของทั้งบริษัท โครงการคอนโดมิเนียมของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในปีนี้ จะมีทั้งหมด 9 โครงการ เป็นโครงการดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน 6 โครงการ คือ (1)เมโทร พาร์ค สาทร (2) เมโทร สกาย สุขุมวิท (3)เมโทร สกาย รัชดา (4)ไอคอนโด สุขาภิบาล 2 (5)ไอคอนโด งามวงศ์วาน (6)ไอคอนโด สุขุมวิท 105
นอกจากนี้ ยังมีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ และขยายเฟสใหม่อีก 1 โครงการ จำนวนรวมประมาณ 4,380 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 9,600 ล้านบาท ได้แก่ เมโทร สกาย รัชดา เฟส 2 เป็นอาคารสูง จำนวน 1,200 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ไอคอนโด สุขุมวิท 103 จำนวน 900 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท และจะมีแบรนด์ใหม่ ใน 2 ทำเล คือ สุทธิสาร จำนวน 1,500 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,000 ล้านบาท และ พระราม 4 จำนวน 780 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
นายยิ่งพงศ์ เกษมสิน ผู้อำนวยการโครงการ ไอคอนโดและยูนิลอฟท์ เปิดเผยถึงความคืบหน้าโครงการ “ยูนิลอฟท์” โครงการในรูปแบบอพาร์ทเมนต์สำหรับนักศึกษา บนทำเลใกล้มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นการขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่ของบริษัทว่า ในปีนี้จะมีการเปิดตัวใน 2 ทำเล ซึ่งได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างโครงการแรกแล้ว ในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จำนวน 500 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท
ส่วนโครงการที่ 2 ใกล้มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา จำนวน 500 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และในปีหน้า จะขยายไปในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญเพิ่มขึ้นด้วย
“สำหรับโครงการ ไอคอนโด ในระหว่าง 20 พ.ค. - 30 มิ.ย.54 ยังได้จัดแคมเปญ iStyle มอบสิทธิพิเศษมากมายให้กับลูกค้า อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 1 ปี Apple iPad2 16 GB. และส่วนลด ณ วันโอนกรรมสิทธิ์ สูงสุด 40,000 บาท ห้องขนาด 1 ห้องนอน 30 ตร.ม. เริ่มต้นเพียง 1.13 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์ ผ่อนเริ่ม ต้นเดือนละ 3,500 บาท และสำหรับ แบบ 2 ห้องนอน 47 ตร.ม. เริ่มต้น 1.83 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์”
วิพากษ์!โครงการบ้านหลังแรก
จาก ประชาชาติธุรกิจ
โดย : โต๊ะข่าวธุรกิจการตลาด
เปิดบทวิเคราะห์มติคณะรัฐมนตรีเรื่องกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ย 0%2 ปีในโครงการบ้านหลังแรก "โสภณ พรโชคชัย " หวั่นไม่บรรลุวุตถุประสงค์ บิดเบือนตลาด
ตามมติของคณะรัฐมนตรีเรื่องกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ย 0% นั้น ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส ได้จัดทำบทวิเคราะห์ถึงมาตรการนี้และผลกระทบ เพื่อประโยชน์แก่รัฐบาลและสังคมในการคิดค้นและออกมาตรการที่เหมาะสมสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต
มติคณะรัฐมนตรีและมาตรการจริง
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พิจารณาวาระที่ 30 เรื่อง โครงการบ้าน ธอส. เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก โดยคณะรัฐมนตรีเห็นชอบโครงการบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังนี้:
1. ให้ขยายวงเงินปล่อยกู้ของโครงการเป็น 25,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังและธนาคารอาคารสงเคราะห์รับความเห็นของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติไปพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป
2. เห็นชอบในหลักการการขอชดเชยภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการฯ ดังกล่าว และให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ขอตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณ แล้วให้นำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ต่อมาธนาคารอาคารสงเคราะห์ แถลงมาตรการในรายละเอียด คือ “สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0 เปอร์เซ็นต์ 2 ปีแรก วงเงินให้กู้ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท ช่วยเหลือให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง โดยผู้กู้สามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 ถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2554 ที่ ธอส.สำนักงานใหญ่ และสาขา ธอส. ทั่วประเทศ และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2555 หรือภายใต้กรอบวงเงินที่ธนาคารกำหนด 25,000 ล้านบาท”
และ “ให้กู้สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแห่งแรกเป็นของตนเอง จะต้องไม่เคยมีชื่อเป็นเจ้าบ้านในทะเบียนบ้าน และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ให้กู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือ ห้องชุด ให้กู้เพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือเพื่อซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร โดยราคาที่อยู่อาศัยและวงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาการให้สินเชื่อเป็นไปตามระเบียบของธนาคาร ในอัตราดอกเบี้ยช่วง 2 ปี แรก 0 เปอร์เซ็นต์ ปีที่ 3 - 5 คิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ MRR - 0.50 ต่อปี (ลูกค้าสวัสดิการ) ส่วนลูกค้ารายย่อยทั่วไป คิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ MRR ปีที่ 6 เป็นต้นไป . . . รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระค่าจดจำนอง และค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่งหรือจ่ายตามจริงสูงสุดร้อยละ 1 จากค่าโอนปกติ ร้อยละ 2 ของราคาประเมิน”
การไม่บรรลุวัตถุประสงค์
สำหรับโครงการนี้ รัฐบาลมีวัตถุประสงค์คือ “เพื่อช่วยเหลือประชาชนผู้มีรายได้น้อยที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้สามารถซื้อบ้านเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง” แต่วัตถุประสงค์นี้อาจไม่บรรลุเพราะ
1. การให้กู้ได้สูงสุดถึง 3 ล้านบาทนั้น ครัวเรือนผู้ที่สามารถผ่อนชำระได้อาจต้องมีรายได้ประมาณ60,391 บาท ซึ่งย่อมไม่ใช่ครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยแต่อย่างใด สำหรับครัวเรือนผู้มีรายได้น้อยที่การเคหะแห่งชาติเคยกำหนดสำหรับการซื้อบ้านเอื้ออาทรคือ 15,000 บาท หรือเท่ากับซื้อบ้านได้ ณ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทเท่านั้น ตามหลักการอำนวยสินเชื่อ ครัวเรือนที่ยิ่งมีรายได้สูง ยิ่งมีความมั่นคงในการอำนวยสินเชื่อให้มากกว่า “ผู้มีรายได้น้อย” ตามที่รัฐบาลคาดหวัง
2. การกำหนดเพดานเงินกู้หรือราคาบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาทโดยไม่ได้กำหนดเพดานรายได้ของผู้ขอกู้ ย่อมทำให้ผู้มีรายได้สูง บุตรธิดาคหบดี หรือเครือญาติสามารถซื้อบ้านได้เช่นกัน และบุคคลเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยแต่อย่างใด ดังนั้นวัตถุประสงค์ข้างต้นตามมติคณะรัฐมนตรีจึงไม่อาจบรรลุ
3. ตามเงื่อนไขการอำนวยสินเชื่อข้างต้น แม้แต่บ้านพักหรืออาคารชุดตากอากาศริมทะเลราคาในพัทยาและหัวหินที่มีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ก็เข้าข่ายด้วยหากผู้ขอกู้มีคุณสมบัติครบถ้วนตามข้างต้น อสังหาริมทรัพย์กลุ่มนี้มีอยู่ในตลาดเป็นจำนวนมากเช่นกัน เฉพาะที่ยังเหลือขายในมือผู้ประกอบการ มีอยู่ประมาณ 1,400 หน่วยตามการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส
หากจะให้บรรลุวัตถุประสงค์ รัฐบาลควรลดระดับราคาบ้านลงให้ต่ำกว่านี้ และให้ครัวเรือนหนึ่ง ๆ ที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตนเอง สามารถซื้อบ้านได้ 1 หลัง ไม่เช่นนั้นก็อาจช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้น้อยมาก และทำให้ผิดวัตถุประสงค์ อาจกลายเป็นส่งเสริมการเก็งกำไร หรืออาจเกิดกรณีที่ไม่คาดคิดอื่น
ประโยชน์ต่อผู้ที่ได้
อย่างไรก็ตามโครงการนี้ย่อมได้ประโยชน์ต่อผู้ที่เข้าข่ายตามที่รัฐบาลกำหนด หากบุคคลหนึ่งซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาท ณ อัตราดอกเบี้ย 6.5% เป็นเวลา 20 ปี ในช่วง 2 ปีแรก จะผ่อนเป็นเงินประมาณ 363,026 บาท โดยเป็นดอกเบี้ยถึง 256,652 บาท แต่เป็นเงินต้นเพียง 106,374 บาท ดังนั้นหากรัฐบาลช่วยเหลือค่าโอนอีก 1% ของราคาบ้านหรือ 20,000 บาท ก็เท่ากับบุคคลนั้นได้ส่วนลดไปเป็นเงินประมาณ 276,652 บาท หรือ 13.82% ของราคาบ้านที่จะซื้อ ผู้ได้รับประโยชน์ย่อมดีใจเป็นธรรมดา หากบุคคลหรือนิติบุคคลใดมีบ้านจำนวนหลายหลัง ยังอาจให้ญาติมิตรมาซื้อเพราะจะได้ผลประโยชน์โดยตรง
อย่างไรก็ตามแม้ในยามวิกฤติ เราก็ควรส่งเสริมจิตสาธารณะ เช่นเมื่อเร็ว ๆ นี้ที่เกิดสึนามิในเมืองฟุกุชิมา มีตำรวจนายหนึ่งหยิบยืนอาหารให้กับเด็กอายุ 9 ขวบที่เข้าแถวยืนหนาวรอการปันอาหารอยู่ เด็กคนดังกล่าวก็ยังเอาอาหารที่ได้รับนั้นไปวางในในกองกลางเพื่อให้ทุกคนที่รอแถวได้รับการปันอาหารในสัดส่วนเท่า ๆ นี่คือวินัยการเสียสละและการช่วยเหลือกันที่ควรมี แต่หากรัฐบาลให้สิทธิพิเศษซื้อบ้านดอกเบี้ย 0% กับบุคคลเฉพาะกลุ่มเช่นนี้โดยไม่จำเป็น อาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี
อาจกล่าวได้ว่าผู้ได้รับประโยชน์ตามโครงการนี้มีเพียงส่วนน้อย หากบ้านหลังหนึ่งที่ขอกู้เป็นเงินเฉลี่ย 2 ล้านบาท เงิน 25,000 ล้านบาท ก็ช่วยได้เพียงการซื้อบ้าน 12,500 หลัง ในขณะที่ปีที่แล้วมีการผลิตบ้านใหม่ 116,791 หน่วย บ้านในกรุงเทพมหานครมี 4.4 ล้านหลัง จำนวนที่ช่วยก็เท่ากับ 1 ใน 352 บ้าน ส่วนทั่วประเทศมี 20.3 ล้านครัวเรือน รัฐบาลให้สิทธิพิเศษนี้เพียง 1 ใน 16,240 ครัวเรือนเท่านั้น
ตามข่าวกล่าวว่า “. . . การคาดการณ์กันว่า วงเงินที่เปิดให้กู้นั้น น่าจะหมดภายใน 2 สัปดาห์ แต่จะอนุมัติแล้วเสร็จเมื่อใด ก็ขึ้นอยู่กับหลักฐานการกู้ ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่า ขณะนี้ มีผู้ยื่นขอกู้แล้วคิดเป็นวงเงิน 1 หมื่นล้านบาท (ต่อมารองกรรมการผู้จัดการ ธอส. กล่าวว่ามีแค่ 3,000 – 4,000 ล้านบาท). . .” การนี้ชี้ให้เห็นว่า ผู้ที่ยังไม่มีบ้านจริงและวางแผนจะซื้อบ้านในวันนี้ ก็คงไม่ทันได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้เสียแล้ว ผู้ที่ได้รับประโยชน์จริงอาจเป็นผู้ที่กำลังจะโอนบ้านกับโครงการจัดสรรเป็นสำคัญ
ดังนั้นนโยบายของรัฐที่ไม่ได้อำนวยประโยชน์ต่อประชาชนส่วนใหญ่ และไม่บรรลุวัตถุประสงค์จริงของการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย จึงควรได้รับการทบทวน การช่วยเหลือประชาชนเฉพาะกลุ่มสมควรดำเนินการเฉพาะในยามเกิดวิกฤติ เช่น วิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 หรือปี 2551 แต่ในปัจจุบัน ไม่ได้มีวิกฤติใด ๆ เกิดขึ้น การดำเนินการเช่นนี้จึงมีความไม่เหมาะสม
ผลเสียของนโยบายนี้
นโยบายนี้อาจก่อผลดีกับบุคคลที่ได้รับสิ ทธิบางกลุ่ม แต่ก่อผลเสียในระยะยาว กล่าวคือ
1. เป็นการบิดเบือนตลาด รัฐบาลมอบหมายให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ดำเนินการ ทั้งที่มีธนาคารของรัฐอีกหลายแห่งที่อำนวยสินเชื่อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไท และยังมีธนาคารพาณิชย์อีกหลายแห่ง ดังนั้นการให้สถาบันการเงินเดียวดำเนินการ ก็อาจกระทบต่อสถาบันการเงินอื่นได้ แต่ยังดีที่งบประมาณที่ใช้ในครั้งนี้เป็นเงินจำนวนไม่มากนัก
2. ในการซื้อบ้าน หากผู้จะซื้อยังไม่พร้อม ก็ไม่ควรจะสนับสนุน เพราะอาจขาดกำลังในการผ่อนส่ง ทำให้เกิดปัญหาให้กับสถาบันการเงินในภายหลัง อาจก่อให้เกิดหนี้เสียได้ ยิ่งหากมีการอำนวยสินเชื่อถึง 95-100% ในช่วง 2 ปีแรก ก็เท่ากับเงินผ่อนถูกกว่าการเช่าเป็นอย่างยิ่ง
3. ในกรณีการยกเว้นค่าธรรมเนียมโอน 1% นั้น ปกติผู้ขอกู้ก็สามารถจ่ายค่านายหน้า 3%และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อยู่แล้ว ที่สำคัญรัฐบาลก็เพิ่งยกเลิกการยกเว้นภาษีและค่าธรรมเนียมโอนไปเมื่อเดือนมีนาคม 2553 กลับไปใช้การเก็บภาษีและค่าธรรมเนียมโอน 3% เช่นเดิม และไม่เคยมีเสียงคัดค้านว่าจะทำให้เกิดปัญหาแต่อย่างใด การผ่อนผันค่าธรรมเนียมโอนในอดีตก็เป็นเพราะปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ แต่ในปัจจุบันไม่มีปัญหาดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องยกเลิก เว้นแต่มีการประกาศใช้ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายไว้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการ <5> อย่างไรก็ตามอาจมีบางกรณีที่ผู้ซื้อบ้านบางรายอาจขาดเงินเพื่อการโอน แต่กรณียกเว้นที่น่าเห็นใจส่วนน้อยเหล่านี้ ไม่อาจยกมาเป็นข้อพิจารณาโดยรวมได้
ข้อห่วงใย
ในปัจจุบันนี้ก็ไม่มีปัญหาการขาดแคลนที่อยู่อาศัยของประชาชนแต่อย่างใด ยกเว้นชุมชนแออัด ซึ่งนับวันจะมีจำนวนลดลง ขณะนี้ยังไม่มีปัญหาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ไม่มีอะไรวิกฤติที่ต้องช่วยเหลือเป็นพิเศษ ผู้ประกอบการก็สามารถดำเนินโครงการได้ด้วยดี จากการสำรวจของศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก. เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส พบว่า โครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ประสบปัญหาจนล้มเลิกไปมีจำนวนน้อยมาก
การที่เงื่อนไขโครงการแตกต่างไปจากที่เคยแถลงไว้ เช่นข่าว “. . . ปล่อยกู้ซื้อบ้านหลังแรก ดอกเบี้ย 0% เป็นเวลา 2 ปี วงเงิน 5 หมื่นล้านบาท แถมใจดีตั้งงบ 600 ล้าน รับภาระค่าโอนและจดจำนองแทนประชาชน” และการที่รัฐบาลออกมาตรการนี้อย่างเร่งด่วนในการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างยาวนานที่มีวาระการพิจารณาและเกี่ยวข้องกับงบประมาณจำนวนมาก จนอาจบันทึกไว้ได้ใน Guinness World Record นั้น อาจทำให้เกิดความผิดพลาดและช่องโหว่ได้ จึงเป็นสิ่งที่รัฐบาลพึงให้ความสำคัญในการดูแลการปฏิบัติตามนโยบายดังกล่าวนี้
สิ่งที่ควรดำเนินการ
หากรัฐบาลให้งบประมาณ 25,000 ล้านบาทเพื่อการนี้นอกเหนือจากที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์จะดำเนินการอำนวยสินเชื่อตามปกตินั้น เงินจำนวนนี้ สามารถนำมาสร้างสรรค์ประโยชน์ทางอื่นแก่ประชาชน เช่น นำมาช่วยเหลือเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและซื้อบ้านในราคาถูก เช่นไม่เกิน 1 ล้านบาท โดยยังอาจกำหนดให้ซื้อเฉพาะบ้านมือสอง เพื่อเป็นการกระตุ้นการซื้อในหมู่ประชาชน และกำหนดรายได้ต่อครัวเรือนของผู้ขอกู้ เช่น ไม่เกินเดือนละ 20,000 - 25,000 บาท เป็นต้น
นอกจากนี้ยังสามารถนำเงินไปสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งในกรุงเทพมหานครยังมีสะพานอยู่จำกัด ทำให้ฝั่งธนบุรีมีความเจริญน้อยกว่ามาก หากสามารถสร้างสะพานเพิ่มเติม ก็จะเป็นการกระจายความเจริญ อุปทานที่อยู่อาศัยก็จะมีมากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสแก่ทุกฝ่ายโดยเสมอหน้ากัน ราคาอสังหาริมทรัพย์ในระยะยาวก็จะเพิ่มขึ้น
ค่าก่อสร้างสะพานก็เป็นเงินไม่มากนัก เช่น “สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณแยกเกียกกายเป็นสะพานขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 2.6 กิโลเมตร มูลค่า 4,400 ล้านบาท ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณท่าน้ำราชวงศ์-ท่าดินแดง เป็นสะพานขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 450 เมตร มูลค่า 1 พันล้านบาท สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ถ.จันทน์-ถ.เจริญนคร เป็นสะพานขนาด 4 ช่องจราจร ระยะทาง 450 เมตร มูลค่า 3,260 ล้านบาท และสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ ถ.ลาดหญ้า-ถ.มหาพฤฒาราม เป็นสะพานขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 210 เมตร มูลค่า 2,400 ล้านบาท”
ดังนั้นหากสะพานหนึ่งมีมูลค่าเฉลี่ย 2,500 ล้านบาท ก็เท่ากับว่าเงินจำนวน 25,000 ล้านบาทที่รัฐบาลจะอุดหนุนนี้สามารถใช้สร้างได้ถึง 10 สะพานด้วยกัน