จาก ประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ โรดแมปประเทศไทย



ใน ฐานะนักธุรกิจต่างชาติที่อยู่เมืองไทยมานานถึง 23 ปี นายนานดอร์ วอน เดอ ลู ประธานหอการค้าต่างประเทศในไทย มองว่า ในภาพรวมไทยมีพัฒนาการดีขึ้นหลายด้าน แต่ก็มีบางปัญหาที่หยั่งรากลึก และรอการแก้ไขปฏิรูป พร้อมเสนอแนะแนวทางสำหรับประเทศไทยไว้ดังนี้

- ลดความซับซ้อน

ไทย เป็นประเทศที่มีกระบวนการทำงานและข้อบังคับต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมาก ซึ่งส่งผลเสียต่อธุรกิจเพราะทำให้การตั้งบริษัทใหม่ทำได้ช้าลง อีกทั้งนำไปสู่ปัญหาคอร์รัปชั่น ทั้งนี้เมื่อกระบวนการซับซ้อนและช้า บางครั้งภาคธุรกิจก็ต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อความสะดวก

โดยอยากเห็นไทย ปฏิรูปกฎข้อบังคับต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากเกินไป ต้องทำให้ซับซ้อนน้อยลงและมีความชัดเจน เพราะจะช่วยลดปัญหาคอร์รัปชั่น และทำให้กระบวนการต่าง ๆ ดำเนินไปได้เร็วขึ้น

- ต่างชาติลงทุนสาขาที่ดึงดูดใจ

นัก ลงทุนต่างชาติต้องการลงทุนในประเทศที่มีความน่าดึงดูดใจมากที่สุด มีอุปสรรคน้อยที่สุด สามารถเข้าไปตั้งธุรกิจและดำเนินกิจการไปได้ การลงทุนของต่างชาติไม่ได้คิดถึงปัจจุบันเท่านั้น แต่ยังคิดถึงในอนาคตหลังเกิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยจะพิจารณาว่าจะตั้งสำนักงานในประเทศใดในอาเซียนที่ทำได้ง่าย และสามารถเข้าถึงตลาดภูมิภาคนี้ได้สะดวกที่สุด ถ้าไทยเป็นประเทศที่เข้มงวดและปิดกั้นมากเกินไป คนก็จะโยกเงินลงทุนไปที่อื่น และนี่คือความท้าทายหนึ่งที่ไทยต้องรับมือ ประเทศที่มีข้อจำกัดมากเกินไปไม่ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจ ไทยควรเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่เศรษฐกิจ โดยการเปิดใจให้กว้างมากขึ้น การสร้างข้อจำกัดเพื่อปกป้องคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่เอื้อประโยชน์แก่คนจำนวนหนึ่งเท่านั้น

- หนุนเปิดเสรี สร้างเวทีแข่งขัน

ไทย ประสบความสำเร็จในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ ขณะที่ภาคบริการยังไม่ประสบความสำเร็จมากนัก ซึ่งแนะนำให้เปิดตลาดภาคบริการมากขึ้น ควรสร้างเวทีการแข่งขันที่ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เป็นการแข่งขันอย่างอิสระและยุติธรรม (free and fair)

"ผมคิดว่า อุตสาหกรรมต่าง ๆ ของไทยจะพร้อมสำหรับการแข่งขันอย่างเข้มข้นที่จะเกิดขึ้นในไม่อีกกี่ปีข้าง หน้า การพยายามปกป้อง (protection) บางอุตสาหกรรมไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ไทยควรเป็นที่ที่ดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถ หากไทยเป็นประเทศเปิดกว้างสำหรับการแข่งขัน และน่าดึงดูดใจ คนดี ๆ ก็จะเข้ามาเมืองไทย แต่หากแข่งขันยากลำบาก คนก็จะถามตัวเองว่าจะมาเมืองไทยทำไม น่าจะไปสิงคโปร์ หรือมาเลเซียมากกว่า"

การ ปกป้องก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับการเป็นเศรษฐกิจแบบปิด เช่น พม่า มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ แต่เป็นเศรษฐกิจแบบปิด ไม่ค่อยเปิดโอกาสให้ต่างชาติไปลงทุน ซึ่งจะเอื้อประโยชน์ต่อคนกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้ส่งผลดีต่อคนทั่วไป ขณะที่ฮ่องกง ที่ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ แต่เป็นเศรษฐกิจแบบเปิดและแข็งแกร่ง เป็นตลาดเปิด การเริ่มทำธุรกิจเป็นไปอย่างสะดวกและง่ายดาย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่าย และสามารถประสบความสำเร็จได้เพราะเป็นเศรษฐกิจแบบเปิด

- เปลี่ยนความคิด พิชิตคอร์รัปชั่น

ผล วิจัยระบุว่า คนไทยกว่า 60% รับได้กับการเกิดคอร์รัปชั่น หากเศรษฐกิจยังดีอยู่ก็ปล่อยให้โกงกินกันไป ตรงนี้ไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้อง เพราะคอร์รัปชั่นที่ดีไม่มี (good corruption doesn"t exist) เศรษฐกิจไม่ได้ดีเพราะมีคอร์รัปชั่น ถ้าไม่มีคอร์รัปชั่นเศรษฐกิจจะดีกว่าเดิม เราควรจะปลูกฝังตั้งแต่เด็กว่าคอร์รัปชั่นเป็นสิ่งไม่ดี การทำแบบนี้เป็นแผนระยะยาว ต้องใช้เวลามาก ลงทุนมาก ต้องสอนให้สังคมรู้ ว่าคอร์รัปชั่นไม่ดี ซึ่งสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ที่ต้องเปลี่ยนกรอบความคิด (mindset)

- ขึ้นค่าแรง เพิ่มผลิตภาพ

นายนานดอร์เห็นด้วยกับ นโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่ย้ำว่าต้องเพิ่มผลิตภาพควบคู่ไปด้วย ทั้งนี้ปัจจุบันผลิตภาพของแรงงานไทยอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป ซึ่งหากเปรียบเทียบกับเวียดนาม คนเวียดนามขยันและทุ่มเทมากกว่า ส่วนคนไทยเป็นคนไนซ์ เป็นคนดี แต่ทำงานแบบ "สบาย ๆ" ซึ่งสำหรับธุรกิจ จะสบาย ๆ ไม่ได้ ต้องมีผลงานเวลาทำงานก็ต้องทำงานหนัก เวลา พักผ่อน ก็ต้องเต็มที่ (work hard, play hard) ดังนั้นหากสามารถเพิ่มผลิตภาพได้และเรียกร้องค่าแรงเพิ่ม ก็สมเหตุสมผล

สุด ท้าย ประธานหอการค้าต่างประเทศฯแสดงความคิดเห็นต่ออนาคตเมืองไทยด้วยการตั้งความ หวังว่า ความวุ่นวายทางการเมืองจะยุติลง และไทยจะหันมาจดจ่อกับการแก้ไขปัญหา ต่าง ๆ พร้อมปฏิรูปและขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าต่อไป เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีโลก

"ผมอยากเห็นเมืองไทย แบบที่เคยเป็นในอดีต คนไทยไม่ทะเลาะกัน ไม่ต่อสู้กัน มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ผมรู้ว่าการแบ่งข้างทางการเมืองลึกซึ้งขึ้น การแก้ปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะก้าวไปข้างหน้า และปล่อยสิ่งเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง ทั้งนี้ในที่สุดแล้วไม่ช้าก็เร็ว เศรษฐกิจจะต้องเป็นฝ่ายสูญเสียเพราะปัญหาทางการเมือง"