เศรษฐกิจและการศึกษาเวียดนาม
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : วิทยากร เชียงกูล
เวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรขนาดใหญ่ระดับ 90 ล้านคน แต่มีพื้นที่เล็กกว่าประเทศไทยและพื้นที่เป็นป่าเขาราว 2 ใน 3 มีที่ราบเพาะปลูกได้น้อย
แต่เวียดนามทำเกษตรแบบประณีต ชลประทานค่อนข้างดี พยายามใช้ที่ดินให้คุ้มค่า จึงมีผลผลิตสูง และประชากรขยันขันแข็ง เศรษฐกิจเวียดนามเติบโตในอัตราสูง
เศรษฐกิจเวียดนาม หลังจากการปฏิรูประบบเศรษฐกิจจากสังคมนิยม (พ.ศ. 2518) เป็นตลาดเสรีแนวสังคมเมื่อ 25 ปีที่แล้ว (ปี พ.ศ. 2529) เศรษฐกิจเวียดนามได้เติบโตในอัตราสูงราวปีละ 6-8% มาตลอด การออมในประเทศเพิ่มขึ้น 4 เท่า การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้น 3 เท่า (ค่าจ้าง แรงงานยังต่ำ ผลิตข้าวได้มากและค่าครองชีพถูกกว่าไทย) มูลค่าการค้าระหว่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 160% ของ GDP และกลายเป็นเศรษฐกิจเปิดที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูง
เกษตรกรเวียดนามขยัน ปลูกพืชปีละหลายครั้ง และให้ผลผลิตรวมสูง รวมทั้งมีพื้นที่ติดฝั่งทะเลมาก เป็นประโยชน์ต่อการประมงและการท่องเที่ยว สินค้าที่ส่งออกที่สำคัญ คือ อาหารแปรรูป สิ่งทอ บุหรี่ยาสูบ เคมีภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ข้าวและสินค้าเกษตรต่างๆ ด้านอุตสาหกรรม เวียดนามผลิตน้ำมันได้มากพอสมควร ราคาน้ำมันต่ำกว่าไทย อุตสาหกรรมไฮเทคต่างๆ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศในปี 2553 ตามบัญชีทางการอยู่ที่ 104,600 พันล้านดอลลาร์ แต่เนื่องจากเวียดนามมีประชากรมากถึง 90 ล้านคน ทำให้ GDPต่อหัวอยู่ที่ 1,168 ดอลลาร์ (ทั้ง GDPรวมและต่อหัวต่ำกว่าไทย) ปัญหาคนจนคิดเป็นสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมด ราวสิบเปอร์เซ็นต์ต้นๆ ต่ำกว่า จีน อินเดีย ฟิลิปปินส์ การที่เศรษฐกิจเวียดนามโตในอัตราสูงปีละ 6-7% ทำให้อัตราเงินเฟ้อ (ค่าครองชีพ) สูงด้วย ปี 2553 เงินเฟ้อสูงถึง 11.75% บริษัทโกลด์แมน แซคส์ คาดว่า ในอีก 14 ปีข้างหน้า เศรษฐกิจเวียดนามจะมี GDP ใหญ่เป็นอันดับที่ 17 ของโลก
การศึกษาของเวียดนาม
สังคมเวียดนามเป็นสังคมที่ส่งเสริมคนเก่งหรือผู้มีความสามารถพิเศษมาตั้งแต่สมัยก่อนที่มีการแข่งขันสอบเป็นขุนนางผู้มีความรู้ จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่สืบเนื่องมาถึงปัจจุบัน ประชาชนเวียดนามให้ค่านิยมเรื่องการศึกษาเล่าเรียนสูง สนับสนุนและชื่นชมกับคนเก่งหรือคนที่มีความสามารถพิเศษ และถือว่าคนเหล่านี้จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติ แม้รัฐบาลจะยังมีงบประมาณน้อยและการเติบโตของการลงทุนทางการศึกษาเชิงปริมาณยังต่ำกว่าไทย แต่ในเชิงคุณภาพทำได้ดีกว่าไทย (วัดจากผลการทดสอบระหว่างประเทศ ตามโครงการ PISA ของ OECD)
ระบบการศึกษาของเวียดนามมีการสรรหาและส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษ โดยเฉพาะทางด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์อย่างเป็นระบบต่อเนื่อง ตั้งแต่ระดับประถมถึงมัธยม โดยมีการจัดชั้นเรียนพิเศษและโรงเรียนพิเศษให้นักเรียนเหล่านี้ได้เรียนกับครูที่ดีที่สุด ทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกจังหวัด จะมีโรงเรียนสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษ แม้ในสมัยก่อนรัฐจะไม่ได้ส่งเสริมสนับสนุนทรัพยากรให้มากนัก ชุมชน โรงเรียนและครูก็สมัครใจที่จะสรรหาและจัดการศึกษาสำหรับผู้มีความสามารถพิเศษขึ้นเอง
ครูตั้งใจและเต็มใจสอนเพราะมีความรักในวิชา อยากสอนและถ่ายทอดให้กับคนเก่ง พ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชนสนับสนุน เพราะเป็นวัฒนธรรมของเวียดนามที่ชอบส่งเสริมและชื่นชมคนเก่ง มีการสอบแข่งขันทางวิชาการโดยเฉพาะในวิชาคณิตศาสตร์และวรรณคดีมานานแล้วในทุกระดับการศึกษา ตั้งแต่ประถมจนถึงมัธยมปลาย และในทุกระดับพื้นที่ ได้แก่ ระดับตำบล อำเภอ จังหวัด ประเทศและนานาชาติ ในปัจจุบันเวียดนามได้เพิ่มการจัดสอบแข่งขันในวิชาฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา สารสนเทศ (คอมพิวเตอร์) และภาษาต่างประเทศด้วย
การที่เวียดนามกระจายอำนาจการบริหารและทรัพยากรให้จังหวัดต่างๆ ค่อนข้างมากช่วยส่งเสริมการแข่งขันทางคุณภาพการศึกษา ประชาชนเองซึ่งสนใจการเรียนรู้และการพัฒนาตนเองมากอยู่แล้วก็สนใจลงทุนทางการศึกษาให้ลูกหลาน และการพัฒนาเศรษฐกิจแนวทางตลาดเสรี ทำให้ประชาชนบางส่วนเริ่มมีรายได้พอจะส่งลูกเรียนสถาบันการศึกษาเอกชนเพิ่มขึ้น
เวียดนามสามารถจัดการศึกษาในระดับหลังปริญญาตรีในสาขาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ได้มาก ในแต่ละปีจะมีนักศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในระดับปริญญาเอกประมาณ 1,000 คน ประเทศเวียดนามผลิตกำลังคนระดับปริญญาเอกทางวิทยาศาสตร์ได้มากกว่าประเทศไทยจำนวนมาก กำลังคนระดับสูงทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของเวียดนาม จึงมีจำนวนมากกว่าไทย ที่รัฐบาลเวียดนามวางแผนว่าอนาคตจะพัฒนาซอฟต์แวร์ส่งออกให้ได้มีความเป็นไปได้สูง เพราะเวียดนามมีกำลังคนด้านนี้อยู่มาก ดูจากแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและการศึกษาของเวียดนามแล้ว น่าจะไปได้ดีกว่าและคงจะแซงไทยได้ในไม่ช้า