หนึ่งแทบเล็ต หนึ่งเด็ก...จะรอดมั้ย
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
โดย : ศาสตราจารย์นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
จั่วหัวข้อเช่นนี้มิได้หมายความว่า ต่อต้านการลงทุนการศึกษาครั้งสำคัญของประเทศนับเป็นแสนล้าน ในการติดอาวุธการศึกษาให้เด็กไทย
ที่ ผู้เขียนมีความชื่นชมวิทยาการเทคโนโลยีของคอมพิวเตอร์ และการสื่อสารไร้สายมาตลอด ถ้าผู้ใดอยู่ในยุคที่ผ่านร้อนผ่านฝนเช่นผู้เขียนจากเด็กน้อย หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ จนหนุ่มระยะสุดท้าย คงจะจำได้สมัยที่ต้องเข้าห้องสมุดหารายชื่อวารสารที่ตีพิมพ์ในเรื่องที่ต้องการจากหนังสือ Index Medicus ซึ่งจะรวบรวมไว้เป็นปี กองเป็นภูเขาเลากา
เมื่อหาได้ก็ต้องเอามาถ่ายเอกสารหรือจดรายการด้วยมือ และเดินค้นตามชั้นจนหาวารสารเล่มนั้นๆ ได้ ซึ่งเรื่องที่ต้องการจะค้นคว้าอยู่ในวารสารเล่มต่างๆ ตั้งแต่ 20-60 หรือเป็นร้อยรายการ และนำมาถ่ายเอกสารอีก ดังนั้น ถ้าหาข้อมูลได้ก็แทบจะยกมือไหว้กราบเจ้ากรรมนายเวรเท่ากับงานจบไปครึ่งหนึ่ง แล้วค่อยอ่านย่อยทำความเข้าใจ
กระบวนการพิมพ์ต้นฉบับเพื่อไปพิจารณาตีพิมพ์ในวารสาร ถ้าจะส่งไปต่างประเทศก็ลำบากยากเข็ญ พิมพ์ผิดไม่ได้ จนเมื่อเริ่ม ค.ศ. 1980 เป็นต้นมา พิมพ์ในเครื่องคอมพิวเตอร์ เริ่มหาข้อมูลทางการแพทย์จากแผ่น CD ซึ่งรวบรวมเป็นทุกครึ่งปี หรือทุก 3 เดือน และจนปัจจุบันซึ่งสามารถหาข้อมูลได้โดยตรงจากกูเกิล (Google) หรือทางการแพทย์ เช่น จาก PubMed (http://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed) และถ้าอยู่ในสถาบัน มหาวิทยาลัย โรงเรียนแพทย์ สามารถดาวน์โหลดบทความเต็มฉบับได้เลย
ในขณะที่ค้นหา ดังนั้น สามารถตอบคำถามได้ในเวลาเป็นนาที หรือสามารถติดตามหัวข้อที่อยู่ในความสนใจอยู่แล้วได้อย่างต่อเนื่อง และเก็บบทความในแฟ้มข้อมูล เป็นระบบ การอ่านหนังสือบทความจากคอมพิวเตอร์ ยังช่วยให้ผู้เขียนยังคงมีความสุขอยู่ได้จากการอ่าน ทั้งนี้ จากที่สายตาเริ่มผันผวนกลับไปมาจากสั้นเป็นยาว เพราะฉะนั้นการอ่านจากคอมพิวเตอร์ สามารถขยายใหญ่เท่าตัวหม้อแกงได้ ยิ่งในแทบเล็ต ซึ่งสามารถกางหรือหุบนิ้วมือขยุกขยิกอยู่หน้าจอ หดนู่น ขยายนี่ เข้านั่น ออกโน่น ยังเป็นความสุขอย่างใหญ่หลวง อย่างน้อยก็สำหรับผู้เขียนแหละครับ
จากที่เกริ่นมาอย่างยืดยาวให้เห็นความดีงามนี้ ยังไม่หมดนะครับ ประโยชน์ของการใช้ข้อมูลจากการสื่อสาร เว็บ อินเทอร์เน็ต ทำให้ความต้องการซื้อหนังสือน้อยลง หรือหมดความหมายไป ถ้านึกถึงเด็กนักเรียนประถม มัธยม มหาวิทยาลัย ที่เมื่อขึ้นชั้นเรียนใหม่ นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังต้องซื้อหนังสืออีก แถมยังต้องแบกหนังสือใส่กระเป๋า เดินเท้าหรือเดินขึ้นรถประจำทางไปโรงเรียนหลังแอ่น
ประโยชน์มหาศาลของการหาข้อมูลได้ทางอินเทอร์เน็ต เก็บข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่เห็นได้ชัดจากประสบการณ์ คือ เมื่อประมาณ 7 ปีที่แล้ว รุ่นน้องติดต่อปรึกษาผู้ป่วยจากต่างจังหวัด จากการให้ข้อมูลและวิเคราะห์ทำให้ได้ข้อวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้อง รุ่นน้องของผู้เขียนถามว่าจะหาอ่านได้ที่ไหน ซึ่งก็ได้บอกชื่อวารสาร หรือตำราและบทความ ซึ่งสามารถหาได้จากเว็บ
ปัญหา คือ หมอที่อยู่ต่างจังหวัด ถึงแม้จะมีอินเทอร์เน็ต ก็ไม่สามารถเข้าถึงบทความเต็มฉบับได้ทุกคน และเป็นที่มาที่ผู้เขียนและพี่ๆ น้องๆ ในคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ พยายามตั้งเว็บวิชาการชื่อ www.cueid.org ซึ่งความตั้งใจตอนแรกจะให้เป็นศูนย์ข้อมูลทางโรคติดเชื้ออุบัติใหม่ อุบัติซ้ำ (Emerging Infectious Disease -EID) แต่เมื่อทำไปแล้ว พบว่าการที่จะเป็นหมอรักษาโรคได้นั้น ไม่สามารถแบ่งแยกตัวเอง รู้แต่สิ่งที่ตัวเองทำอย่างเดียว ที่ตัวเองชอบ จำต้องรู้รอบ ถึงจะไม่ลึกเท่ากับของชอบของตัวก็ตาม
ทั้งนี้ คนไข้จะรอดจำต้องมีการทำงานของทุกระบบถูกต้องประสานคล้องจองกัน cueid.org จึงมีทั้งข่าวซึ่งสรุปจากหนังสือพิมพ์ต่างๆ ข่าวจากต่างประเทศ ประจำวัน บทความไทยและเทศ สื่อการสอน บทความในรูปของ Power Point ซึ่งก็รวบรวมจากน้องๆ แพทย์ประจำบ้าน ซึ่งต้องทำอยู่แล้ว บทความที่ผู้เขียนและอาจารย์บรรยาย จัดเป็น E-Learning และมี VDO Clip และหนังสือ E-Books ต่างๆ
จากที่เริ่มเปิดมาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2007 จนถึง ณ วันที่เขียนต้นฉบับ (8 ส.ค. 2011) มีผู้เข้าเยี่ยมชม และอ่านรวมทั้ง Down Load เป็นจำนวน 7,981,430 ราย ทุนเริ่มต้น 500,000 บาท จากมหาวิทยาลัย และหลังจากนั้น ได้รับความอนุเคราะห์จากบริษัท เช่น ไทยประกันชีวิตประจำปี ทำให้สามารถประคับประคองเว็บไปได้ จากที่พรรณนาจนถึงบรรทัดนี้ เพื่อแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ตสำคัญขนาดไหน ทั้งนี้ รวมถึงโทรศัพท์มือถือ หรือเครือข่ายชุมชน Facebook ซึ่งผู้เขียนทำการติดต่อกับลูกศิษย์น้อยๆ แพทย์ประจำบ้าน ข้อมูลสำคัญรวมทั้งลักษณะคนไข้ทาง VDO Clip และรูปภาพคอมพิวเตอร์สมอง ทั้งนี้ ทั้งในโรงพยาบาลเดียวกัน และที่ติดต่อจากต่างจังหวัดในภูมิภาคต่างๆ
แต่ประเด็นสำคัญของเทคโนโลยี ประดามีและแทบเล็ต มิได้อยู่ที่ตัวของมันเองอย่างเดียว อยู่ที่ความตั้งใจ จุดมุ่งหมายที่จะใช้ประโยชน์ ที่ cueid.org คงอยู่ได้ เป็นเครื่องแสดงว่ามีหมอ นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ประชาชนที่มีความสนใจ ตั้งใจ แสวงหาความรู้ เพื่อที่จะอธิบายข้อข้องใจ หรือเสริมสร้างความรู้ตนเอง ในการป้องกันตนจากโรคและรักษาโรค ถ้าปราศจากจุดประสงค์ดังกล่าว เว็บนี้ก็คงไร้ค่า และปิดตนเองไปในที่สุด
ในเรื่องของแทบเล็ตที่จะนำมาแจกเด็กตั้งแต่ชั้นประถม ก็น่าจะอยู่ในหลักการเดียวกัน ดังที่มีนักวิชาการ ผู้รู้ได้พยายามออกมาช่วยชี้แนะว่า การจะใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ได้อย่างเต็มที่และถูกต้อง เด็กนักเรียน นักศึกษา ต้องมีความกระตือรือร้น ในการเรียน ความใฝ่รู้ในวิชาการ จึงจะใช้เครื่องมือให้มีประโยชน์สูงสุด
ผู้เขียนได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมและประเมินกิจการควบคุมโรคพิษสุนัขบ้าที่เกาะโบฮอล (Bohol) ประเทศฟิลิปปินส์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญขององค์การอนามัยโลก และต้องเข้าเยี่ยมโรงเรียนของหมู่บ้านชั้นประถม 1-6 ซึ่งมีการเรียน-สอนด้วย ภาษาอังกฤษในวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมีชั่วโมงภาษาอังกฤษเฉพาะ ซึ่งมีการประยุกต์ความรู้เรื่องหมา และโรคพิษสุนัขบ้าปะปนแทรกในทุกวิชา ในทุกชั้นตั้งแต่ ป. 1-6 แต่ที่สำคัญ คือ วิธีการสอนทั้งครู และนักเรียน หน้าตาแจ่มใส เมื่อครูถาม เด็กจะแย่งยกมือกันตอบ ตอบผิดไม่ว่า ตอบถูกให้เขียนคำตอบในกระดาน เมื่อครบหัวข้อมีการร้องเพลงทั้งห้อง โดยเด็กน้อยตัวจ้อย ดีดกีตาร์จิ๋ว (อูคูเลเล่ Ukulele) หรือคุณครูมันเขี้ยวก็มาดีดด้วย เป็นการเรียนที่สนุก เด็กอยากรู้ อยากค้นคว้า ทั้งๆ ที่อุปกรณ์การเรียนก็เก่าคร่ำคร่า
อยากจะจบตรงนี้ และเรียนย้ำว่า เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ แทบเล็ตเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม จุดสำคัญยังอยู่ที่คน อยู่ที่คุณครู และถ้าให้คุณครูตั้งหน้า ตั้งตาทำวิจัย หรือเขียนรายงาน ภาระงานเพื่อเสริมวิทยฐานะ แทนที่จะดูจากผลผลิตคือตัวนักเรียน ต่อให้มี แทบเล็ต อินเทอร์เน็ต เร็วเป็นจรวด เราก็คงล้าหลัง และต้องคอยซื้อหรือแบมือขอเทคโนโลยีอยู่ร่ำไป