“หากทำระบบให้ดี ขจัดเรื่องคอร์รัปชันไปได้ ประเทศจะเจริญได้มากกว่านี้ แต่ที่ได้เท่านี้เพราะเกิดการคอร์รัปชันจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นต้นทุนของประเทศ” ม.ร.ว. จัตุมงคล กล่าว สำหรับพื้นฐานเศรษฐกิจไทยขณะนี้ถือว่าดีมาก อยู่ที่ประมาณ 5% ไม่แพ้ประเทศอื่น เพราะมีภาคเอกชนที่มีความแข็งแกร่ง เพียงแต่บรรยากาศเศรษฐกิจทำให้ทุกคนรู้สึกไม่อยากทำอะไร และคาดเดารัฐบาลบริหารงานไม่ได้
ด้าน น.ส.กิริฎา เภาพิจิตร นักเศรษฐศาสตร์ธนาคารโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า ปีนี้ปริมาณความต้องการสินค้าปรับตัวลดลง เพราะสภาพแวดล้อมในประเทศ ไม่เอื้ออำนวย ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจ บริโภคน้อยลง ประกอบกับเศรษฐกิจโลกก็ดูไม่ดี ราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง ก็ทำให้ความต้องการบริโภคลดลง ซึ่งขณะนี้คาดการณ์ได้ยากว่าปัญหาต่างประเทศจบเมื่อไร
“ถ้าในประเทศสมานฉันท์กันมากขึ้นก็คงช่วยได้ เพราะจริงๆ แล้วตอนนี้เงินเฟ้อก็เริ่มลดลง ราคาน้ำมันก็เริ่มลดลง การส่งออกยังไป ได้ดี ก็น่าจะช่วยกระตุ้นความมั่นใจ ผู้บริโภคบ้าง” น.ส.กิริฎา กล่าว
น.ส.กิริฎา กล่าวว่า ปีหน้าเศรษฐกิจในประเทศจะเริ่มฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ และการบริโภคเร่งตัวขึ้นอย่างน้อยก็ต้องดีกว่าปี 2550 และ 2551 เพราะเป็น 2 ปีที่อัตราการบริโภคครัวเรือน และการลงทุนภาคเอกชนต่ำมาก
สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ควรเร่งเบิกจ่ายการลงทุน ปรับปรุงกฎระเบียบที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องเสียงบประมาณ และเร่งฟื้นความมั่นใจของผู้บริโภคกับนักลงทุนให้ได้
นอกจากนี้ ยังเห็นว่ามาตรการ 6 เดือน 6 มาตรการ เป็นประโยชน์และควรดำเนินการต่อเพื่อเพิ่มความมั่นใจผู้บริโภคให้เห็นว่าภาครัฐไม่ได้ทอดทิ้ง แต่ควรเจาะกลุ่มประชาชนเป้าหมายให้ตรงจุด เพราะจะได้ใช้งบประมาณให้น้อยลง