แหล่งข่าวกล่าวว่า ขณะนี้ฝ่ายตรวจ สอบอยู่ในขั้นการตรวจสอบเชิงลึก โดยมีแนวทางการตรวจสอบลักษณะเดียวกับบริษัทพลังงานแห่งหนึ่งที่เคยถูกผู้ บริหารไซฟอนเงิน กระทั่งบริษัทประสบความ เสียหายขาดทุนต่อเนื่อง

สำหรับ การตรวจสอบโบรกเกอร์ที่มีข่าวรู้เห็นการออกใบหุ้นปลอม หรือบล. เคจีไอ ที่ยังเคลียริงค่าซื้อขายหุ้น SECC ไม่ได้นั้น อยู่ระหว่างการดำเนินการของตลาดหลักทรัพย์

แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า โดยปกติแล้วหากไม่ใช่คนในวงการโบรกเกอร์ การออกใบหุ้นจำนวนมากๆ เช่น 5 ล้านหุ้น หรือ 10 ล้านหุ้น ไม่สามารถรู้ได้ว่าเป็นใบหุ้นปลอม จนกว่าจะนำมาให้ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ตรวจสอบ แต่ถ้าเป็นโบรกเกอร์ต้องสงสัย เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนได้หันมาใช้ระบบไร้ใบหุ้น (สคริปเลส) ระยะหนึ่งแล้ว

แหล่งข่าวจากผู้ถือหุ้น กล่าวว่า กลุ่มผู้ถือหุ้นไม่มีใครลงเงินทุนให้กับ SECC ซึ่งต้องรอตรวจสอบความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนก่อน เนื่องจากเห็นว่าขณะนี้บริษัทมีหนี้สินจำนวนมากที่ยังไม่เปิดเผย

สำหรับการนำรถหรูออกแสดงในงานมอร์เตอร์เอ็กซ์โปที่ผ่านมา เป็นรถที่พันธมิตรและคู่ค้านำมาร่วมจัดแสดง รายได้จึงไม่เข้าบริษัท

“หนี้สินที่แท้จริงของ SECC ยังไม่เปิดเผยออกมา แม้ว่าจะมีการแต่งตั้งกรรมการอิสระขึ้นมาตรวจสอบ แต่เจ้าหนี้ไม่มั่นใจว่าจะเป็นตัวเลขที่แท้จริงหรือไม่” แหล่งข่าวกล่าว

อย่างไรก็ตาม SECC มีการแต่งตั้งนายสมบูรณ์ อาหุนัย นายสุดใจ แสงรัตน์ และนายไชยวุฒิ จิตธิวงษ์ ซึ่งเป็นกรรมการอิสระ ขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สิน SECC

ด้านวงการรถยนต์ตั้งข้อสังเกตว่า 2 ใน 3 กรรมการที่ตั้งขึ้นมา เคยเป็นกรรมการในกลุ่มบริษัทของเสี่ยรายใหญ่ อดีตรัฐมนตรีสมัยอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และกลุ่มบริษัทของเสี่ยรายใหญ่นี้ เป็นบริษัทที่งบการเงินมีปัญหาทุกบริษัท ขณะเดียวกันราคาหุ้นในกลุ่มนี้เคยถูกสร้างราคาขึ้นมา โดยเครือข่ายของเสี่ยรายใหญ่

ด้านราคาหุ้น SECC ซึ่งราคาต่ำกว่าบาท และใช้เกณฑ์ราคาขึ้น-ลง 30% เป็นวันแรกนั้นราคาหุ้นปรับตัวลงติดฟลอร์ปิดที่ 0.27 บาท ลดลง 0.11 บาท หรือ 28.95% มูลค่าซื้อขาย 36.71 ล้านบาท

แหล่งข่าวจากโบรกเกอร์ กล่าวว่า หุ้น SECC ยังถูกบังคับขายออกมา และ นักลงทุนบางส่วนที่ถือหุ้นอยู่ ตัดใจขายขาดทุน เพราะเห็นว่าขายตอนนี้ยังมีเงินเหลือกลับบ้าน ซึ่งแนวโน้มราคาหุ้นมีโอกาสต่ำลงหลุด 20 สตางค์ได้

“นักลงทุนควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หุ้นนี้ เพราะยังไม่ชัดเจนเกี่ยวกับหนี้สินและทรัพย์สินบริษัท การดำเนินธุรกิจ”