สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

องคมนตรีเตือนสติ คนคิดไม่ดีต่อสถาบันจะมีอันเป็นไป

องคมนตรีเตือนสติ คนคิดไม่ดีต่อสถาบันจะมีอันเป็นไป

โพสต์ทูเดย์
'อำพน เสนาณรงค์' เชื่อใครทำไม่ดีต่อสถาบันมักมีอันเป็นไป

   นาย อำพน เสนาณรงค์ องคมนตรี ปาฐกถาเรื่อง “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อชาติ และประชาชนชน” ในงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) นนทบุรี ตอนหนึ่งว่า  เป็นโชคดีของคนไทยที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับข้าราชการและประชาชน

   "ในใจผมเชื่อเสมอว่าหากใครทำไม่ดีต่อสถาบัน คนเหล่านั้นมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เป็นต้น เพราะผมเคารพบูชาพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุข เป็นจอมทัพไทย ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อปวงชนชาวไทย และพระองค์ก็ไม่เคยล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญเลย อย่างที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีถึง 18 คน หรือ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีโอกาสเข้าถวายงานพระองค์ แต่บางคนเขากลับไม่เชื่อ และไม่ปฏิบัติตาม แต่ดีที่เขายังรับใส่เกล้าฯ" นายอำพล กล่าว

   องคมนตรี กล่าวด้วยว่า ความขัดแย้งในบ้านเมืองส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากปัญหาการคอร์รัปชันที่มีมาช้า นานจนกลายเป็นประเพณีไทย และนิสัยการคอร์รัปชันก็เกิดการแสดงสิทธิขึ้น จะมากจะน้อยแล้วแต่ฝ่ายบริหารที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง และมักเกิดขึ้นในกระทรวง กรมที่มีอำนาจสูง มีความสำคัญทางการเมือง มีงบประมาณมีเงินเพื่อจัดซื้อจัดจ้างจัดทำโครงการขนาดใหญ่ เมื่อมีเงินก็ต้องมีตำแหน่งสำคัญๆ โดยเฉพาะการติดต่อนายที่ส่วนมากจะเป็นนักการเมือง จนนำมาสู่การกล่าวหาทางการเมือง และเป็นการกล่าวหาที่เสื่อมเสีย

   ทั้งนี้ก่อนการปาฐกถา นายอำพนได้ยกรัฐธรรมนูญปี 2550 มาอธิบายถึงที่มาของคณะองคมนตรีว่า มาตรา 12 พระมหากษัตริย์ ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีอื่นๆ ไม่เกิน 18 คน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี หมายความว่าทั้งหมดจะมี 19 ท่าน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ ถวายความคิดเห็นต่อพระมหากษัตริย์ ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาและมีหน้าที่อื่นตามที่ บัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มาตรา 13 การเลือกและการแต่งตั้งองคมนตรี หรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัธยาศัย 

   “มาตรา 16 การพ้นจากตำแหน่งองคมนตรี กำหนดว่าองคมนตรีจะต้องตาย ลาออก ซึ่งขณะนี้องค์คณะองคมนตรีในปัจจุบันมีอายุอยู่ระหว่าง 6088 ปี ซึ่งมีความหลากหลาย และมีวุฒิการศึกษาทั้ง 19 คน ประกอบด้วย ด้านนิติศาสตร์ 8 คน ด้านการทหาร 4 คน ด้านวิศวกรรม 4 คน ด้านวิทยาศาสตร์ 1 คน ด้านรัฐศาสตร์ 1 คน และด้านการเกษตร 1 คน สถานะสมรส 14 คน และเป็นโสดหรือม่าย 5 คน”นายอำพนกล่าว


“องคมนตรี” เตือนสติแก๊งล้มเบื้องสูง มักมีอันเป็นไปทุกราย!

ASTVผู้จัดการออนไลน์
“อำพน เสนาณรงค์” แสดงความเป็นห่วงบ้านเมือง โดยเฉพาะการโฟนอินตีวัวกระทบคราด “แม้ว” ชี้ต้นตอปัญหาเกิดจากการคอร์รัปชันบ้านเมืองจนย่อยยับ ยกกบฏแมนฮัตตันเตือนสติขบวนการจ้องล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เชื่อคนเหล่านั้นมักจะมีอันเป็นไปทุกราย

       
       วันนี้ (2 เม.ย.) นายอำพน เสนาณรงค์ องคมนตรี แสดงปาฐกถาตอนหนึ่งเรื่อง “ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อชาติ และประชาชนชน” ในงานวันข้าราชการพลเรือนประจำปี 2552 ที่สำนักงานข้าราชการพลเรือน (กพ.) นนทบุรี ว่า ตนแสดงความเป็นห่วงต่อสถานการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในขณะนี้ โดยเฉพาะช่วงนี้มีการโฟนอินอะไรต่ออะไรมา ดังนั้น ในฐานะองคมนตรีจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ การมาพูดอะไรในที่ชุมนุมชนจึงต้องมีความระมัดระวัง ทั้งการใส่เสื้อสีต่างๆ หรือการพูดในเนื้อหาอะไร ดังนั้นอะไรที่ได้ยินมา จึงไม่กล้าที่จะนำข้อมูลอะไรใหม่ๆ มาเล่าได้ เพราะไม่สมควรที่จะมาเล่าในที่ชุมนุมชน
       
       นายอำพนกล่าวต่อว่า ความขัดแย้งของข้าราชการการเมืองต่อข้าราชการเมือง ความขัดแย้งของข้าราชการประจำต่อข้าราชการประจำ และความขัดแย้งของข้าราชการการเมืองต่อข้าราชการประจำ มีจำนวนมาก และความขัดแย้งส่วนใหญ่สาเหตุที่วิเคราะห์กัน เกิดขึ้นจากปัญหาการคอร์รัปชันที่เกิดมาช้านานจนกลายเป็นประเพณีไทย และนิสัยการคอร์รัปชันก็เกิดการแสดงสิทธิที่เกิดขึ้น จะมากจะน้อยแล้วแต่ฝ่ายบริหารที่เข้ามาบริหารบ้านเมือง และมักเกิดขึ้นในกระทรวง กรมที่มีอำนาจสูง มีความสำคัญทางการเมือง มีงบประมาณมีเงินเพื่อจัดซื้อจัดจ้างจัดทำโครงการขนาดใหญ่ เมื่อมีเงินก็ต้องมีตำแหน่งสำคัญๆ โดยเฉพาะการติดต่อนายที่ส่วนมากจะเป็นนักการเมือง จนนำมาสู่การกล่าวหาทางการเมือง และเป็นการกล่าวหาที่เสื่อมเสีย
       
       องคมนตรี กล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญปี 2550 ตามมาตรา 259-280 และ พ.ร.บ.ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ในหมวด 5-11 มาตรา 28-129 ถือเป็นส่วนหนึ่งที่จะเป็นแนวทางให้ข้าราชการ สามารถนำมาปฏิบัติ ทั้งการตรวจสอบการใช้อำนาจ การกระทำที่ขัดต่อประโยชน์ของชาติ รวมถึงการดำเนินคดีอาญาและจริยธรรมทั้งข้าราชการ และนักการเมือง ซึ่งกฎหมายเหล่านี้ข้าราชการสามารถที่จะนำมาอุทธรณ์หากพบว่าไม่ได้ความเป็น ธรรมจากนักการเมือง ข้าราชการที่ไม่ต้องการพายเรือให้โจรนั่ง รวมทั้งสมาคมข้าราชการพลเรือนก็ถือเป็นทางออกต่อข้าราชการที่ดี
       
       “นอกจากนั้น เป็นที่โชคดีที่เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์องค์ปัจจุบัน ที่เป็นตัวอย่างที่ดีให้กับข้าราชการและประชาชน ในใจผมเชื่อเสมอว่าหากใครทำไม่ดีต่อสถาบัน คนเหล่านั้นมักจะมีอันเป็นไป เช่น เหตุการณ์กบฏแมนฮัตตัน เป็นต้น เพราะผมเคารพบูชาพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงเป็นพระประมุข เป็นจอมทัพไทย ทรงใช้พระราชอำนาจเพื่อปวงชนชาวไทย และพระองค์ก็ไม่เคยล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญเลย อย่างที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีถึง 18 คน หรือ รมว.เกษตรฯ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ มีโอกาสเข้าถวายงานพระองค์ แต่บางคนเขากลับไม่เชื่อ และไม่ปฏิบัติตาม แต่ดีที่เขายังรับใส่เกล้าฯ” นายอำพนกล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้าการปาฐกถา นายอำพนได้ยกรัฐธรรมนูญปี 2550 มาอธิบายถึงที่มาของคณะองคมนตรีประกอบการแนะนำตัวผู้นำปาฐกถาในเรื่องของการ ได้เข้ามาดำรงตำแหน่งองคมนตรีด้านการเกษตร ตลอดการทำงานเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มากว่า 36 ปีเศษว่า ตามรัฐธรรมนูญปี 2550 ในหมวด 2 หมวดพระมหากษัตริย์ กำหนดว่ามี 18 มาตรา คือ มาตรา 8-25 เกี่ยวข้องกับองคมนตรีดังต่อไปนี้ เพื่อท่านทั้งกลายจะได้รู้ว่าองคมนตรีคือใคร คือกลุ่มคนประเภทไหน และทำหน้าที่อะไร
       
       ตามมาตรา 12 พระมหากษัตริย์ ทรงเลือกและทรงแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิเป็นประธานองคมนตรี 1 คน และองคมนตรีอื่นๆ ไม่เกิน 18 คน ประกอบเป็นคณะองคมนตรี หมายความว่าทั้งหมดจะมี 19 ท่าน คณะองคมนตรีมีหน้าที่ ถวายความคิดเห็นต่อพระมหากษัตริย์ ในพระราชกรณียกิจทั้งปวงที่พระมหากษัตริย์ทรงปรึกษาและมีหน้าที่อื่นตามที่ บัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับนี้
       
       มาตรา 13 การเลือกและการแต่งตั้งองคมนตรี หรือการให้องคมนตรีพ้นจากตำแหน่งให้เป็นไปตามพระราชอัชฌาศัย มาตรา 14 องคมนตรีต้องไม่เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา กรรมการเลือกตั้ง ผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการศาลปกครอง กรรมการป้องกันและปราบรามการทุจริตแห่งชาติ และไม่ฝักใฝ่พรรคการเมืองใดๆ และมาตรา 15 ว่าด้วยการถวายสัตย์ฯเข้าเป็นองคมนตรี
       
       “มาตรา 16 การพ้นจากตำแหน่งองคมนตรี กำหนดว่าองคมนตรีจะต้องตาย ลาออก ซึ่งขณะนี้องค์คณะองคมนตรีในปัจจุบันมีอายุอยู่ระหว่าง 60-88 ปี ซึ่งมีความหลากหลาย และมีวุฒิการศึกษาทั้ง 19 คน ประกอบด้วย ด้านนิติศาสตร์ 8 คน ด้านการทหาร 4 คน ด้านวิศวกรรม 4 คน ด้านวิทยาศาสตร์ 1 คน ด้านรัฐศาสตร์ 1 คน และด้านการเกษตร 1 คน สถานะสมรส 14 คน และเป็นโสดหรือม่าย 5 คน” ฯพณฯ นายอำพนกล่าว


พล.อ.พิจิตร ข้องใจทักษิณหนีโทษซ้ำจาบจ้วง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์" องคมนตรี ข้องใจ"ทักษิณ" ไม่ยอมรับโทษ ซ้ำยังจาบจ้วงเบื้องสูงได้ แนะเร่งสกัดฟอกเงินผ่านชาติหมู่เกาะ

วันนี้ (3 เม.ย.) พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เปิดเผยภายหลังถูกเอ่ยชื่อถึงบนเวทีเสื้อแดงนปช. บริเวณทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า เหตุใดอดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่งถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง

รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มี ชื่อเรื่องการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ ประชาชนได้รับทราบ   


องคมนตรี จี้ถาม "ทักษิณ"ทำไมไม่รับโทษ

โพสต์ทูเดย์
องคมนตรี "พิจิตร กุลละวณิชย์" ถาม"ทักษิณ" อ้างสิทธิ์อะไร ไม่ยอมรับโทษ แถมยังจาบจ้วง จี้ ตรวจสอบ มีเงินจำนวนมากบนเกาะฟอกเงิน

พล. อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ถูกพาดพิง บนเวทีนปช.ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยได้ตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมาว่า เหตุใดการที่ อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มี ชื่อเรื่องของการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ ประชาชนได้รับทราบ
         

พล.อ.พิจิตร ยืนยันว่า ในปัจจุบันนี้ คณะองคมนตรี ไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันอีกด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง ตามที่มีผู้กล่าวอ้าง


อย่างไรก็ตาม พล.อ.พิจิตร ยืนยันว่า ในปัจจุบันนี้คณะองคมนตรีไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบาง คนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองตามที่มีผู้ถูกกล่าวอ้าง


“องคมนตรี” ชี้ชัด“นช.แม้ว” นั่งทำบุญในวัดพระแก้ว หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

ASTVผู้จัดการออนไลน์
“องคมนตรี พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์” ตั้งข้อสงสัยทำไมไม่มีการจัดการเด็ดขาด กับ “ทักษิณ” อย่างต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ถูกศาลพิพากษาจำคุก แต่ไม่ยอมรับโทษ งง อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด ซ้ำยังจาบจ้วงเบื้องสูง และการนำเงินจำนวนมากไปฝากไว้ตามเกาะที่มีชื่อ เรื่องการฟอกเงิน แนะควรมีการติดตามเรื่องทั้งหมด เพื่อนำข้อเท็จจริงออกมาตีแผ่ให้ ปชช.รู้ ขณะเดียวกัน เผย คณะองคมนตรีประชุมทุกอังคาร ยันไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบางคนออกมากล่าว และไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ชี้ชัด“ทักษิณ” เคยจัดพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระแก้ว สมัยเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ อีกทั้งยังเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ จี้รบ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด
       
       

       วันนี้ (3 เม.ย.) พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี เปิดเผยภายหลังถูกเอ่ยชื่อถึงบนเวที นปช.ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อคืนที่ผ่านมา โดยตั้งข้อสงสัยถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ว่า เหตุใดการที่อดีตนายกรัฐมนตรีคนหนึ่ง ถูกศาลพิพากษาจำคุกแล้ว แต่ไม่ยินยอมรับโทษนั้น อ้างความมีสิทธิพิเศษในเรื่องใด หรือการกล่าวถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่ไม่ถูกไม่ควร เหตุใดจึงไม่มีผู้ดำเนินการเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงการตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการนำเงินจำนวนมากไปฝากในเกาะที่มี ชื่อเรื่องการฟอกเงิน ทำไมจึงไม่มีการติดตามเรื่องเหล่านี้เพื่อนำข้อเท็จจริงให้ปรากฏออกมาให้ ประชาชนได้รับทราบ
       
       อย่างไรก็ตาม พล.อ.พิจิตร ยืนยันว่า ในปัจจุบันนี้คณะองคมนตรีไม่มีความคิดเห็นแตกต่างกันตามที่มีนักวิชาการบาง คนออกมากล่าว ซึ่งตนเองและคณะประชุมร่วมกันทุกวันอังคาร โดยมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นประธาน อย่างสม่ำเสมอ และยืนยันด้วยว่า ไม่มีการยุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการเมืองตามที่มีผู้ถูกกล่าวอ้าง
       
       พล.อ.พิจิตร กล่าวด้วยว่า การกระทำและคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เคยจัดพิธีทำบุญประเทศภายในพระอุโบสถวัดพระแก้วมรกต ในขณะที่ยังเป็นนายกรัฐมนตรี นั้นเป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ พร้อมทั้งยังเป็นการละเมิดพระราชอำนาจ รวมถึงการพูดปราศรัยที่เอ่ยถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เป็นการกระทำที่มิบังควรอย่างยิ่ง ทั้งนี้ รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรจะเร่งดำเนินการกับเรื่องนี้โดยเร็วที่ สุด
       
       อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวคงจะไม่มีอะไรที่จะฝากถึง พ.ต.ท.ทักษิณ แต่อยากจะฝากให้ประชาชนได้พิจารณาข้อมูลที่ได้รับมา
       
       “ไม่อยากฝากเพราะผมเป็นองคมนตรี แต่สิ่งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ล่วงล้ำพระราชอำนาจอย่างไร การทำบุญในวัดพระแก้วทำได้หรือไม่ เราเป็นคนไทยเรากราบพระแก้วมรกตได้ แต่ทำบุญในวัดพระแก้วไม่ได้ ทำไม่ถูก และเมื่อพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และโทรศัพท์มาพูดออกผ่านทีวีว่า ถ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โทรศัพท์มากระซิบข้างหูก็จะกลับมา ผมถามว่าพระองค์ท่านเป็นเพื่อนเล่นของเขาหรือ”
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า การกระทำดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ใช่ สิ่งนี้ทำไมไม่มีใครเอาเรื่อง ถือเป็นการกระทำที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้ว รับราชการเป็นถึงนายกรัฐมนตรีทำอย่างนี้ได้อย่างไร ทั้งนี้ยังมีกรณีอื่น พวกคุณที่เป็นนักข่าว เคยได้ยินเกาะคีย์แมน ซึ่งนายราล์ฟ แอล. บอยซ์ จูเนียร์ (H.E. Mr. Ralph L. Boyce, Jr.) อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย มาพบกับตน และประโยคแรกที่ถาม นายกรัฐมนตรีของไทย (พ.ต.ท.ทักษิณ) ไปยุ่งอะไรกับเกาะเคย์แมน
       
       ทั้งนี้ตนพอทราบมาบ้างจึงถามกลับไปว่าเกาะนี้เป็นเกาะอะไร นายราล์ฟ กล่าวว่า เป็นเกาะที่ฟอกเงินไม่ถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้น และมีนายกรัฐมนตรีของชาติอื่นด้วย อย่างนายกรัฐมนตรีของอิตาลีเป็นเจ้าของบ่อนคาสิโน เมื่อเขาสืบรู้ก็ต้องลาออก ดังนั้นเมื่อนายราล์ฟ รู้ ทำไมคนอเมริกันส่วนใหญ่ทำไมคนไทยจะไม่รู้ ทั้งนี้สื่อต้องไปตรวจสอบดูว่าเกาะคีย์แมนเป็นอย่างไร เขาเอาเงินไปฝากไว้ทำไม ลองคิดดูทำงานมาแค่ 5-6 ปีมีเงินฝากถึง 1 แสนล้านได้อย่างไร
       
       เมื่อถามว่า หน่วยงานของรัฐย่อหย่อนในการดำเนินการเรื่องนี้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ลองคิดเอาเอง เมื่อถามว่ารัฐบาลควรจะดำเนินการอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องนำมาแฉให้ประชาชนรับรู้ให้ได้ สืบมาว่ามันคืออะไร และหมิ่นพระบรมเดชาหรือไม่ การบอกว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโทรศัพท์มากระซิบข้างหู
       
       ต่อข้อถามที่ว่า การต่อสู้ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการจ้องล้มสถาบันกษัตริย์หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า แน่นอน ทั้งนี้ทำไมคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่ไปดำเนินการ ซึ่งการทำงานรัฐบาลในการดำเนินการเรื่องนี้ช้าไป การพูดว่ามากระซิบข้าง ๆ หูเป็นเพื่อนเล่นเขาหรือ พูดแบบนี้ได้อย่างไร เมื่อถามว่า ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์มีความเป็นห่วงกับสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ก็แป็นเรื่องที่เราต้องสร้างคน ต้องสร้างให้คนรักหวง และห่วงแผ่นดิน
       
       “ปัญญาชนต้องคิดตรอง และไปเชื่อเขาได้อย่างไร ผมเป็นทหารชั่วชีวิตใช้ไปรบที่ไหนก็ไป แต่เคยไปร่วมงานศพอยู่หน้าเชิงตะกอน และก็ยืนปลง คนเรามีแค่นี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างเอาไปไม่ได้ สตางค์สักบาทก็ยังเอาไปไม่ได้เลย กระดูกก็เอาไปไม่ได้ แล้วจะโลภโมโทสันกันไปทำไม ทั้งนี้ยอมรับว่าองคมนตรีได้มีการพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมืองทุกอาทิตย์ “ พล.อ.พิจิตร
       
       เมื่อถามว่า ปัญหาความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในเวลานี้เป็นเพราะตัวอดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท.ทักษิณ คนเดียวใช่หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ไม่อยากพูด แต่สื่อลองไปคิดดูเอาเอง เมื่อถามว่า เสียงขององคมนตรีที่มี 18 เสียงจะสามารถสู้เสียงของกลุ่มคนเสื้อแดงได้หรือไม่ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า ต้องจี้ให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบทำ การกระทำของ พ.ต.ท.ทักษิณ หมิ่นพระบรมเดชานุภาพหรือไม่


ตร.ยืนกรานฟ้องนปช.บุกบ้านป๋า อัยการเล็งแก้กม.ผู้ร้ายข้ามแดน

โพสต์ทูเดย์
นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญา เปิดเผยว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)

ได้ ส่งความเห็นแย้งคดีที่อัยการฝ่ายคดีอาญาไม่สั่งฟ้องแกนนำกลุ่มแนวร่วม ประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ชุมนุมก่อความวุ่นวายหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2550 โดยผบ.ตร. มีความเห็นควรสั่งฟ้องแกนนำทุกคนในทุกข้อหา จึงเสนอสำนวนให้นายชัยเกษม นิติสิริ อัยการสูงสุด พิจารณาชี้ขาดว่าจะเห็นควรสั่งฟ้องตามผบ.ตร. หรือเห็นควรสั่งไม่ฟ้องตามอัยการฝ่ายคดีอาญา

นายกายสิทธิ์ กล่าวว่า คดีนี้เมื่อทางตำรวจมีความเห็นแย้งกลับมาคดีก็ยังไม่สิ้นสุด และต้องรอให้อัยการสูงสุดชี้ขาด จึงฝากเตือนไปยังแกนนำนปช. ที่นำความเห็นสั่งไม่ฟ้องของอัยการไปพูดบนเวทีทำนองว่าการบุกบ้านพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ไม่เป็นความผิด เพราะแม้ว่าอัยการเคยมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไปกระทำการในลักษณะเดิมซ้ำได้อีก

ด้านนายศิริศักดิ์ ติยะพรรณ อธิบดีอัยการฝ่ายต่างประเทศ กล่าวว่า สำนักงานอัยการฝ่ายคดีต่างประเทศกำลังดำเนินการเสนอแก้ไขร่างกฎหมายส่ง ผู้ร้ายข้ามแดน เพื่อให้มีการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้

ทั้งนี้ เนื่องมาจากกรณีพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี แต่ยังโฟนอินหรือวิดีโอลิงก์จากประเทศต่างๆ ไปแบบย้ายถิ่นที่อยู่ไปเรื่อยๆ ทำให้อัยการเกิดแนวคิดว่าประเทศไทยสมควรจะแก้ไขกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยให้สามารถส่งคำร้องผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ได้ เพื่อรวดเร็วในการดำเนินคดี

“สมมติพ.ต.ท.ทักษิณอยู่ฮ่องกงอีก 2 ชั่วโมง บินไปเมืองดูไบ อัยการก็ส่งอีเมลขอส่งตัวพ.ต.ท.ทักษิณเป็น ผู้ร้ายข้ามแดนจากไทยไปที่ดูไบ เพื่อให้ทางการดูไบ พิจารณา วิธีนี้จะเป็นเครื่องมือช่วยทำให้เจ้าหน้าที่ของรัฐจับกุมผู้ต้องโทษได้ อย่างรวดเร็ว เท่ากับศักยภาพการหลบหนีของผู้ต้องโทษ” นายศิริศักดิ์ กล่าว


อักขราทรปัดร่วมบ้านปีย์ ไม่รู้ปฏิวัติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
อักขราทรปฏิเสธร่วมก๊วนบ้านปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา ระบุให้ไปถามคนถูกพาดพิงการทำรัฐประหาร ยัน5เม.ย.ที่ธรรมศาสตร์รู้ตุลาการภิวัฒน์เป็นอย่างไร

ท่าอาศยานสุวรรณภูมิ - 3 เม.ย.นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด กล่าวถึงกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดงกล่าวพาดพิงสถาบันศาลว่าอยู่เบื้อง หลังการปฏิวัติ 19 กันยายน 2549 ว่า ไม่มี ตนอยู่ข้างนอก ถ้ามีอะไรจะพาดพิง ให้ไปถามคนที่ถูกพาดพิง คนที่ถูกเอ่ยชื่อแม้จะพูดเรื่องส่วนตัวยังพูดไม่ได้เลย จะไปพูดเรื่องปฏิวัติได้อย่างไร
เมื่อถามว่าเคยไปรับประทานอาหารที่ บ้านนายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา และพูดเรื่องปฏิวัติหรือไม่ นายอักขราทร กล่าวว่า เรื่องไปทานข้าวไปทานหลายบ้าน แต่ไม่มีเรื่องปฏิวัติ


สั่งจำคุก 20 ปี แพร่รูปหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศาลอาญาตัดสินจำคุก"สุวิชา ท่าค้อ" แพร่ข้อความรูปภาพหมิ่นพระบรมเดชานุภาพผ่านอินเตอร์เน็ต รับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่งจำคุก 10 ปี

ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ผู้พิพากษาศาลอาญาได้อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุวิชา ท่าค้อ อายุ 35 ปี เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย พระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์

โดยระหว่างวันที่ 15 - 16 สิงหาคม 2551 จำเลยได้กระทำผิดกฎหมาย ด้วยการเผยแพร่ข้อมูลรูปภาพ ซึ่งเป็นการดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ องค์รัชทายาทโดยพนักงานติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ เมื่อวันที่ 14 มกราคม ที่ผ่านมา ได้ที่บริเวณหน้าร้านสุวรรณการช่าง อ.เมือง จ.นครพนม

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยมีความผิดตามฟ้อง พิพากษาจำคุกจำเลย เป็นเวลา 20 ปี แต่จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยไว้เป็นเวลา 10 ปี

ทั้งนี้ ต้องหาถูกจับกุมได้เมื่อวันที่ 14 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รมว.ยุติธรรม สั่งการให้ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โดยการเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต จากนั้น พ.ต.อ.ทวี พร้อมด้วยพนักงานสอบสวนและเจ้าหน้าที่คดีพิเศษ นำหมายค้นเลขที่ 78/2552 เข้าตรวจค้นบ้านเลขที่ 277/149 ถนนกาญจนาภิเษก แขวงและเขตคันนายาว กทม. ภายหลังสืบทราบใช้เป็นสถานที่เผยแพร่ข้อความและคลิปวิดีโอหมิ่นสถาบันเบื้อง สูงลงในเว็บไซต์ต่างๆ เช่น เว็บไซต์ยูทูบ

ซึ่งเมื่อเข้าไปตรวจสอบ พบเป็นทาวน์เฮาส์ชั้นเดียว เนื้อที่ 25 ตารางวา ประตูบ้านมีกุญแจล็อกอยู่ จึงประสานให้ญาติของเจ้าของบ้านนำกุญแจมาเปิดประตู และร่วมเป็นพยานในการตรวจค้น เบื้องต้นได้อายัดเครื่องคอมพิวเตอร์ และบิลค่าโทรศัพท์จํานวนหนึ่งมาตรวจสอบ

จากการสอบสวนทราบว่า เจ้าของบ้านหลังดังกล่าว คือนายสุวิชา ท่าค้อ อายุ 35 ปี แต่หลบหนีไปอยู่กับญาติ จ.นครพนม ดีเอสไอจึงมอบหมายให้ พ.ต.ต.กล้าหาญ คล่องพยาบาล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และร.ต.อ.เขมชาติ ประกายหงส์มณี เจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน สำนักคดีอาชญากรรมระหว่างประเทศ ออกติดตามจับกุมได้
ต่อข้อถามว่า กรณีที่เกิดขึ้นกระทบกับสถาบันศาล และมีสาเหตุมาจากตุลาการภิวัตน์หรือไม่ นายอักขราทร กล่าวว่า ไม่กระทบ และย้อนถามว่ารู้จักตุลาการภิวัตน์หรือไม่ ว่าคืออะไร ซึ่งวันที่ 5 เมษายน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะจัดงานวันสัญญาธรรมศักดิ์ ให้สื่อมวลชนไปฟัง แล้วจะรู้ว่าตุลาการภิวัตน์เป็นอย่างไร


คุก 20 ปีหนุ่มโพสคลิปหมิ่นเบื้องสูง

โพสต์ทูเดย์
ศาลอาญา พิพากษา จำคุก 20 ปี มือโพสคลิปหมิ่นเบื้องสูง แต่รับสารภาพ ลงโทษเหลือจำคุก 10 ปี
ศาลอาญา อ่านคำพิพากษา ในคดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุวิชา หรือชินภัสร์ ท่าค้อ ในข้อหา ร่วมกันหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาทฯ พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ จากกรณีระหว่างวันที่ 15-16  สิงหาคม 2551 จำเลยได้เผยแพร่คลิปวิดีโอ ซึ่งเป็นการกระทำดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท อันไม่เหมาะสมและเป็นข้อมูลเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายแก่สถาบันพระมหากษัตริย์  โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า จำเลยกระทำผิดตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 112  ฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์ พิพากษาจำคุก 20 ปี  แต่เนื่องจากรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลงโทษกึ่งหนึ่ง คงจำคุก 10 ปี

พีเน็ตชี้ทักษิณหวังจลาจลคาดใช้เงิน40ล้าน

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
มูลนิธิองค์กรกลางชี้"ทักษิณ"ตีองคมนตรี เหตุโจมตีรัฐบาลไร้ผล หลังสงกรานต์ชุมนุมราว8หมื่นคนใช้เงินราว40ล้าน หวังขั้นจลาจลเชื่อทหารอาชีพสยบได้

ที่มูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตยหรือพีเน็ต แถลงข่าวเรื่องการอ่านเกมการเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และทางออกของประเทศไทย โดยนายสมชัย ศรีสุทธิยากร อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พล.อ.สายหยุด เกิดผล ประธานมูลนิธิองค์กรกลาง และนายสกุล สื่อทรงธรรม เลขานุการมูลนิธิองค์กรกลาง โดยแถลงการณ์ประกอบมีดังต่อไปนี้

1. การเปิดแนวรบกับ องคมนตรี ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลังรัฐประหาร แสดงให้เห็นว่า พตท.ทักษิณ ประเมินแล้วว่า การโจมตี นายอภิสิทธิ์ เริ่มไม่เป็นผล เนื่องจากรัฐบาลเพิ่มเริ่มงานเพียง 3 เดือน ไม่มีข้อผิดพลาดให้โจมตี ทั้งยังมีผลงานที่สะท้อนถึงความตั้งใจในการแก้ปัญหา การเปิดแนวรบกับองคมนตรี เป็นความอัดอั้นตันใจส่วนบุคคล เนื่องจากคนหนึ่งเป็นคนที่อยู่เหนือรัฐบาลในสมัยที่ตนเองมีอำนาจ อีกคนหนึ่งเป็นคนที่เป็นนายก หลังจากที่ตนหมดอำนาจ และยังดำเนินการในด้านคดีต่าง ๆ ทำให้ตนเดือดร้อนในปัจจุบัน

เชื่อว่า พตท.ทักษิณ มิได้กล้าหาญที่จะเปิดแนวรบในระดับที่สูงกว่านั้น แต่การดำเนินการดังกล่าว เป็นจุดอ่อนและเป็นประเด็นที่เปราะบาง เนื่องจากเข้าใกล้กับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่ไม่บังควรมาเป็นประเด็นในการเคลื่อนไหว

นอกจากนี้ การใช้คำ “อำมาตยาธิปไตย” ที่หมายความถึง องคมนตรี เป็นการใช้คำที่ผิดในทางวิชาการ เพราะอำมาตยาธิปไตย (Bureaucratic Polity) หมายถึง การปกครองที่ระบบราชการมีความเข้มแข็งครอบงำฝ่ายการเมือง ไม่ใช่บุคคลที่เกษียณจากราชการแล้วมีบารมีหรือมีอิทธิพลในทางการเมือง

2. การโฟนอินที่มีอย่างต่อเนื่อง มีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาระดับการชุมนุมให้ยังมีอย่างต่อเนื่อง และให้เป็นประเด็นในการโฆษณาเรียกคนมาฟังข้อมูลในช่วงเวลากลางคืน

การกล่าวเนื้อหาถึงการลงทุนเหมืองเพชรในอัฟริกา เป็นมูลค่าแสนล้าน เป็นการสร้างความเชื่อมั่นแก่กลุ่มเดียวกันว่ามียังเงินสนับสนุนอีกมาก ซึ่งอาจแปลความหมายได้ว่า แม้ในพวกเดียวกันก็มีกระแสข่าวแล้วว่าจะมีเงินเหลือเพื่อการดำเนินการอีกไม่ นาน

3.การชุมนุมของคนเสื้อแดง เป็นการชุมนุมที่ปิดกั้นตนเองจากคนภายนอก ไม่ต้อนรับคนใส่เสื้อสีอื่นหากจะมาร่วมชุมนุมด้วย ข่าวการทำร้ายประชาชนที่ ใส่เสื้อต่างสีที่เข้าไปในพื้นที่การชุมนุม ทำให้พื้นที่การชุมนุมเป็นพื้นที่ที่ไม่มีคนอยากผ่าน ทำให้สีแดงเป็นสีที่น่ารังเกียจของคนทั่วไป แม้จะมีการชุมนุมแบบดาวกระจาย เข้าไปในพื้นที่ใดก็จะไม่เป็นที่ต้อนรับ ดังนั้น แกนนำต้องทบทวนท่าทีและสร้างทัศนคติให้แก่คนในสังคมว่าเป็นการชุมนุมโดย สันติ ภายใต้กรอบแห่งรัฐธรรมนูญ หลีกเลี่ยวความรุนแรงทั้งด้านวาจา และ การแสดงออกทางพฤติกรรม

4.การนัดชุมนุมใหญ่ วันที่ 8 เมษายน เป็นการสำแดงกำลังครั้งสุดท้ายที่สามารถทำได้ก่อนเทศกาลสงกรานต์ จะสามารถยืดเยื้อได้ไม่เกินวันที่ 10 เมษา หลังจากนั้นกระแสจะลด และอาจนัดชุมนุมใหญ่ ได้อีกครั้งประมาณ วันที่ 20 หรือ 21 เมษายน

ประมาณจำนวนผู้ร่วมชุมนุม สูงสุดไม่น่าจะเกิน 80,000 คน โดยครึ่งหนึ่งจะเป็นมวลชนจัดตั้งจาก สส.ในฝั่งพรรคเพื่อไทยที่ระดมเข้ามาจากต่างจังหวัด อีก 1ใน 4 เป็นมวลชนจัดตั้งจาก สส.เพื่อไทยในเขตพื้นที่ กทม.และปริมณฑล อีก 1 ใน 4 เป็นผู้ตื่นตัวและสนใจการเมือง มีความนิยมพตท.ทักษิณ และต่อต้านพรรคประชาธิปัตย์ เป็นทุนเดิม

แต่ก็นับว่า เป็นจำนวนมากกว่าทุกครั้งที่เคยมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง หาก ประมาณการค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1,000 บาท ต่อหัวสำหรับคนต่างจังหวัด ก็จะเป็นเงินถึง 40 ล้านบาท ในส่วนกรุงเทพและปริมณฑล 500 บาท ต่อหัว เป็นเงิน 10 ล้านบาท รวมแล้วเฉพาะการเคลื่อนไหวในที่ 8-9 จะต้องใช้เงินประมาณ 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะเป็นเงินที่ประชาชนเสียสละกันมาเอง หรือเป็นเงินจากแหล่งใดเป็นโจทย์ที่ต้องหาคำตอบ เป้าหมายในการชุมนุม หากเป็นเพียงเพื่อการสำแดงกำลัง ก็จะเป็นการใช้เงินที่เสียเปล่าไปอีกครั้งหนึ่ง

แต่หากต้องการเผด็จศึกภายใต้แนวทางการต่อสู้นอกสภา คือการทำให้รัฐบาลเห็นว่าเกิดภาวะวุ่นวายที่รัฐไม่สามารถควบคุมฝูงชนได้ หรือมีการใช้มาตรการทำร้ายประชาชนจนกลายเป็นภาวะจราจลที่รัฐไม่สามารถควบคุม ได้ แล้วประกาศลาออก หรือมีทหารเข้ามาทำการรัฐประหารตามแผนการที่ได้นัดแนะ โดยมีการจ่าย“ค่าจ้าง” ที่สูงมากในการดำเนินการ

ซึ่งทุกวิธีดังกล่าว ล้วนแต่เป็นวิธีการที่มุ่ง “เอาชนะ” บนความบอบช้ำของประเทศ ซึ่งอยากวิงวอนให้ทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้มีโอกาสคิด พิจารณา ถึงประโยชน์หรือผลเสียของการดำเนินการ ให้รู้จัก “คิด” ก่อน “ทำ”

5.การเจรจากับกลุ่มเสื้อแดงหรือแกนนำ นปช. ในไทย ไม่มีประโยชน์ ไม่สามารถมีคนกลางมาไกล่เกลี่ยได้ ต้องเจรจากับอดีตนายกทักษิณ เท่านั้น แต่คำถามคือจะเจรจาอะไร ในเมื่อโทษจำคุกเป็นเรื่องที่ศาลตัดสินแล้ว รัฐเข้าไปก้าวก่ายไม่ได้ คดีความต่างๆก็อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นทางออกของสังคมในขณะนี้ จึงมีได้เพียงไม่กี่แนวทางดังนี้

-ให้อดีตนายกทักษิณ ค่อยๆหมดเงิน หมดบารมีไปเอง ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 3 เดือนในขณะที่รัฐบาลก็จะค่อยๆเข้มแข็งมากขึ้น จากการแปรพักตร์ของ สส. เพื่อไทยและพรรคร่วมฝ่ายค้านอื่นๆ ซึ่งรัฐบาลต้องไม่เป็นเงื่อนไขในการสร้างความขัดแย้ง โดยควรตั้งใจบริหารประเทศ ไม่มีเรื่องผลประโยชน์แอบแฝงให้โจมตีได้
 -สังคม ต้องเรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมในประเทศ เห็นแก่ประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ ในภาวะที่ประเทศต่างๆทั่วโลกล้วนมีปัญหาวิกฤติทางเศรษฐกิจ หากยังมีปัญหาการไร้เสถียรภาพทางการเมือง ประเทศก็จะยิ่งเสียหาย และปัญหาเศรษฐกิจจะย้อนไปถึงทุกคนในด้านรายได้ และการไม่มีงานทำ
 -ใน กรณีที่ยังมีการชุมนุมอย่างไร้เหตุผล ก่อให้เกิดผลเสียต่อประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมของฝ่ายเสื้อสีใดก็ตาม ประชาชนควรแสดงท่าทีรังเกียจ ไม่คบค้า ไม่ร่วมสังฆกรรม เพื่อเป็นการสะท้อนถึงความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อสถานการณ์ดังกล่าว
 -ประเด็นที่ฝ่าย นปช. ควรสร้างแนวร่วม คือ การเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองโดยทุกฝ่าย และให้มีฝ่ายที่เป็นกลางเข้ามาร่วม เพื่อวางรากฐานประชาธิปไตยให้แก่ประเทศ เพราะแม้จะยุบสภา เลือกตั้งใหม่ สิ่งที่ได้มาก็ไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริง เป็นการเลือกตั้งที่เงินและอิทธิพลยังมีอำนาจ ในขณะที่ กกต. ก็ยังทำงานแบบราชการ ไม่ทำให้ผลการเลือกตั้งได้ตัวแทนที่ดีมีคุณภาพมาบริหารบ้านเมือง

และหากเห็นว่า การที่รัฐบาลมอบหมายให้สถาบันพระปกเกล้า เป็นเจ้าภาพในการปฏิรูปการเมืองไม่เหมาะสม ก็ควรเสนอสูตร หรือเสนอแนวทางในการดำเนินการ มากกว่า การไปไกลถึงการล้มระบอบอำมาตยาธิปไตย ซึ่งมีตัวตนจริงหรือไม่ก็ไม่มีใครรู้ และเป็นประเด็นที่บอบบางและมีโอกาสสร้างความแตกแยกในสังคมได้อย่างสูงยิ่ง

 

 

view